Crack RNA Code By Meditation / 8 (คำสอนพระอาจารย์ธรรมบาล 25 มิถุนายน 2558)






เราได้ทราบถึงการการค้นคว้าของนักวิทยาศาสตร์ เรื่อง “คลื่นความถี่ของเสียง” เพื่อใช้ใน “ด้านทำลาย” มาแล้ว
เมื่อมีดีก็มีชั่ว เมื่อมีมืด ก็มีสว่าง เป็นเรื่องปกติธรรมชาติของมนุษยโลก จึงมีนักวิทยาศาสตร์-การแพทย์อีกพวกหนึ่ง ที่มองเห็นความสำคัญของคลื่นเสียง ที่สามารถใช้เป็นประโยชน์ของมนุษย์ได้  

จึงพยามพัฒนาเพื่อปรับเปลี่ยนรูปแบบของคลื่นเสียง ให้เข้ากันได้กับการทำงานของสมอง เพราะจากการค้นคว้าทดลองพบว่า สมองของเรานั้นสามารถพัฒนาให้อยู่ในระดับที่ดีขึ้นได้จริงๆ จากการใช้คลื่นเสียง ซึ่งแต่เดิมอาจจะเข้าใจว่าการพัฒนาของสมองจะเกิดขึ้น โดยอิทธิพลมาจากการถ่ายทอดทางพันธุกรรม(DNA) แต่อย่างเดียว 


การทำงานของสมอง คือการรับส่งข้อมูลเป็นสัญญาณไฟฟ้า และการเคลื่อนไหวของพลังงานเหล่านี้ ทำให้เกิดคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า หรือที่เราเรียกกันว่าคลื่นสมอง (brainwave) ซึ่งเราสามารถตรวจดูคลื่นสมองโดยใช้เครื่องมือที่เรียกว่า อีอีจี (EEG) หรือ Electroencephalogram โดยที่เครื่องมือชนิดนี้จะจับภาพสัญญาณไฟฟ้าบริเวณสมอง แปรผลออกมาเป็นรูปแบบของคลื่นต่างๆ จะกล่าวถึงในทางวิทยาศาสตร์การแพทย์ก่อน ซึ่งได้แบ่งคลื่นความถี่ของเสียงออกได้เป็น 4 กลุ่ม คือ 





กลุ่มที่ 1 คือ คลื่นเบต้า Beta Brainwave (ความถี่ระหว่าง 14 - 30 Hz)

เป็นคลื่นที่เร็วที่สุด และยังเป็นส่วนของสมองที่ควบคุมจิตใต้สำนึก เกี่ยวข้องในเรื่องการใช้สมองเปิดรับข้อมูลพร้อมๆ กับการใช้ระบบประสาทสัมผัสทุกด้าน เช่น การทำกิจกรรมต่างๆ และรับผิดชอบเรื่องของความทรงจำระยะสั้น


กลุ่มที่ 2 คือ คลื่นอัลฟ่า Alpha Brainwave (ความถี่ระหว่าง 8 - 13.9 Hz ) 

เกิดขึ้นในขณะที่เรามีการพักผ่อน และมีความสงบ (relaxation) แต่ยังอยู่ในภาวะที่รู้สึกตัว สภาวะเช่นนี้จะทำให้รับข้อมูลได้ดีที่สุด สามารถเรียนรู้ได้ดีมาก ในปัจจุบันมักเรียกว่า Super Learning พูดได้เลยว่า คลื่นระดับนี้ทำให้เราเข้าถึงสิ่งที่สนใจ มีความสุข และผู้ใหญ่ที่มีจิตสมดุล รวมถึงผู้ที่นั่งสมาธิเป็นประจำ ยังมักพบในขณะร่างกายและจิตใจผ่อนคลายมากๆ เช่น สภาวะก่อนนอนหลับ ในทางการแพทย์ คลื่นระดับนี้เหมาะกับการสะกดจิตเพื่อบำบัดโรค ถือเป็นช่วงที่ดีที่สุดในการป้อนข้อมูลให้แก่จิตใต้สำนึก เพราะสมองสามารถเปิดรับข้อมูลได้อย่างเต็มที่และเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว มีความคิดสร้างสรรค์ เป็นสภาวะที่จิตมีประสิทธิภาพสูง เด็กที่ฉลาดเรียนรู้ไวรวมถึงคนเรียนเก่งก็จะมีคลื่นนี้เด่นมาก 


ภาพการทดสอบวัดคลื่นสมอง ลามะธิเบต ขณะทำสมาธิ




ภาพผลด้านซ้าย จะเห็นสัญญาน ไฟฟ้า=อารมณ์ภายนอกรบกวน



กลุ่มที่ 3 คือ คลื่นธีต้า Theta Brainwave (ความถี่ระหว่าง 4 - 7.9 Hz) 

เป็นความถี่ที่พบได้ในขณะที่มีการผ่อนคลายระดับลึก ความคิดสร้างสรรค์เป็นคลื่นที่เราสามารถดึงข้อมูลจากจิตใต้สำนึกได้ (subconscious mind) เกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหาโดยไม่รู้ตัว ถือได้ว่าเป็นคลื่นในชนิดเดียวกันกับสมาธิระดับลึก สามารถเรียกความทรงจำระยะยาวได้ดี สภาวะนี้จะมีความสุข ลืมความทุกข์ มีแต่ความปิติยินดี เป็นคลื่นสมองที่สะท้อนการทำงานของจิตใต้สำนึก มักพบในกลุ่มผู้ทรงศีลหรือผู้ถือกรรมฐานเป็นต้น 


กลุ่มที่4 คือ คลื่นเดลต้า Delta Brainwave (ความถี่ระหว่าง 0.1 - 3.9 Hz)

เป็นคลื่นสมองที่ช้าที่สุด เกิดขึ้นในขณะนอนหลับสมองทำงานตามความจำเป็นเท่านั้น แต่กระบวนการของจิตใต้สำนึกจะจัดและเก็บข้อมูลอย่างต่อเนื่อง เป็นช่วงที่ร่างกายอยู่ในภาวะที่กำลังพักผ่อนอย่างเต็มที่ หลับลึกโดยไม่มีความฝัน จะรู้สึกสดชื่นเป็นพิเศษเมื่อยามตื่นแล้ว




เราจะเห็นว่า หากเราทำให้คลื่นสมองมีความถี่ต่ำๆ เช่นคลื่นสมองที่อยู่ในระดับ Alpha Brainwave (ความถี่ระหว่าง 8 - 13.9 Hz) ซึ่งอย่างที่ทราบแล้วคลื่นนี้จะ เป็นคลื่นทำให้เป็นคนจิตใจสงบ เยือกเย็น สุขุม มีอารมณ์ดี เบิกบาน ความคิดสร้างสรรค์สูง มีสมาธิและความจำดี มีสติปัญญาฉลาด ไหวพริบปฏิภาณเป็นเลิศ และมีพลังความคิดด้านบวกสูง มองโลกในแง่ดี โดยมากก็จะพบในกลุ่มของนักบวช พระสงฆ์ ผู้ปฏิบัติธรรม ผู้ที่กำลังมีความสุข โดยเฉพาะผู้ที่กำลังสวดมนต์


วิธีปรับคลื่นสมองเพื่อให้มีความถี่ดังกล่าวนั้น สิ่งแรกเราต้องอยู่ในสภาวะแวดล้อม ที่ค่อนข้างเงียบสงบ ห่างจากสนามแม่เหล็กไฟฟ้า เช่น เตาไมโครเวฟ สายไฟฟ้า หม้อแปลง คอมพิวเตอร์ เพราะจากงานวิจัยพบว่าสนามแม่เหล็กจากคลื่นรบกวนพวกนี้จะทำลายคลื่นสมอง เช่นโทรศัพท์มือถือ เป็นต้น





    ในทางพระพุทธศาสนา ความเจริญก้าวหน้าทาง วิทยาศาสตร์การแพทย์ สาขาอายุรเวชวิทยา ก้าวหน้ากว่าปัจจุปันมาก นอกจากจะ สามารถ เข้าถึงความแก่นแกนความลับของเสียงแล้ว ยังสามารถควบคุม ปรับระดับความถี่ของคลื่นเสียงที่ต่ำกว่า 0 (ศูนย์) คือระดับที่เครื่องมือใด ๆก็ไม่อาจวัดระดับความถี่นั้น เพื่อควบคุมการทำงานของเซล์ลในร่างกายได้ รวมทั้งเปลี่ยนแปลงธรรมชาติ หรือเหตุการณ์ได้ตามประสงค์ โดยผู้ปฏิบัติสามารถพิสูจน์ผลเชิงประจักษ์ได้ด้วย

พระพุทธองค์ได้ทรงถ่ายทอดวิทยาการนี้แก่พุทธบริษัทให้นำไปประพฤติ-ปฏิบัติ นั่นเมื่อกว่า2558ปีมาแล้ว ก่อนที่โลกจะให้กำเนิดอคีมีดีสซะอีก

การใช้ "ความถี่ของคลื่นเสียง" ในพระพุทธศาสนา ปรากฏอยู่ในคัมภีร์ปฏิสัมภิทามรรค ที่พระสารีบุตรอรหันตเถรเจ้าบันทึกไว้ ซึ่งมีขั้นตอนหลายระดับ ซึ่งได้กล่าวไปแล้วว่า จะแยกออกเป็น 2 หมวดใหญ่ๆ คือ ปริกรรม กับ ภาวนา


ในชั้นแรกจะกล่าวถึงหมวดแรกก่อน คือ

ปริกรรม(ปริกมฺม) มาจากคำว่าปริต หมายถึงสวด หรือ เสียง กรรม หมายถึง การกระทำ รวมความแปลว่า ทำให้เกิดเสียง(เป็นที่มาของคำว่าปาก คือ ป ปลา มาจากคำว่า ปริต ใส่สระอา เป็น ปา ตัว ก ไก่ มาจากคำว่า กรรม รวมเป็นคำคือ ปาก แปลว่าอวัยวะอันทำให้เกิดเสียง)

การทำสมาธิให้เกิดโดยอาศัยคลื่นความถี่เสียงนั้น ในทางปฏิบัติเรียกว่า "อัปปนาโกศล" (หมายความว่า วิธีเข้าถึงสมาธิอันแนบแน่นหนึ่งเดียว) จัดอยู่เป็นข้อแรก คือ "วจสา(อ่านว่า วะจะสา) คือใช้วาจาเป็นตัวนำ ถามว่า นำไปไหน คำตอบคือ นำไปสู่ "เส้นทางของใจ" และให้อยู่บนเส้นทางแห่งใจ ตามคัมภีร์เรียกว่า "มโนทวารวิถี"





ซึ่งระดับความถี่คลื่นเสียงของใจ ไม่อาจวัดด้วยเครื่องใด ๆ ได้ แต่เราได้ยิน ยกตัวอย่างง่าย ๆ เราร้องเพลงในใจ หรือสวดมนต์ในใจ จะตะโกนในใจ ดังแค่ไหนก็ตาม ให้ใครเอาหูมาแนบอก ก็ไม่ได้ยิน เอาเครื่องมาวัดก็ไม่มีสัญญาณ แต่เราได้ยินเสียง...หวังว่าคงเข้าใจตรงกันนะ


ซึ่งความเป็นสมาธิอย่างแนบแน่น อันเรียกว่า "อัปนาสมาธิ" จะเกิดไม่ได้ ถ้าไม่ฝึกฝน หรือ ฝึกไม่ถูกวิธี(นี่แหละที่เรียกว่า ปฏิบัติชอบ=ปฏิบัติถูกทาง คือ ทางอื่นไม่มี ทำไม่ได้ เพราะวิธีทำท่านกำหนดไว้ให้แล้ว) เพราะความสำคัญของการเป็นหนึ่งเดียว ของ วาจา และใจ อย่างแนบแน่น (เรียกว่าอัปนาวิถี) ย่อมก่อให้เกิด อัปปนาจิต ในขณะนั้นทันที 67 ดวง





และตรงนี้แหละ ที่สัญญานคลื่นความถี่ใหม่ ที่ป้อนเข้าไปสู่RNA จะBypass ไม่เอาข้อมูล(รหัสพันธุกรรม)จาก DNA ทะลุผ่านไปเลย เรียกว่า "พ้นกรรม" ในทางปฏิบัติเรียกว่า "โลกุตรจิต) ซึ่งจะถูกบันทึกถาวรใน DNA ทับของเก่า ไม่ว่ากรรมอะไร ก็ไม่ต้องรับอีก การบันทึกนี้ เรียกทางอภิธรรมว่า "อัปปนาชวนะ(อัปปนา=แนบแน่น ชว=บันทึก  น =ไม่แปรเปลี่ยน=ถาวร) ดังนั้นจึงเรียกว่า "หลุดพ้น" หรือพ้นจากโลก=โลกุตร


ก็ ยาวไปนิด ที่จริงอยากจะต่อนะ เอาไว้ติดตามพรุ่งนี้ ละกัน
ขอพลังแห่งพุทธานุภาพ จงดลบันดาลความผาสุขสวัสดี สมปรารถนา ก้าวหน้าในการปฏิบัติ จงบังเกิดแด่สาธุชนทุกท่านทั่วกัน เทอญ
เจริญพร







Crack RNA Code By Meditation / 9









สารบัญทั้งหมดจะอยู่ทางด้านขวามือของหน้า (ทุกหน้า)


  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS