ถาม-ตอบ (คำต่อคำ) ศุกร์ 30 ตุลาคม 2552


ถาม-ตอบ (คำต่อคำ) ศุกร์ 30 ตุลาคม 2552

ถาม : วิธีปฏิบัติคือตั้งลมที่จุด1และวิวัฒน์เป็นจำนวนเงินค่ะ ค่อยๆผ่อนลมออกช้าๆเคลื่อนตามจุดต่างๆไม่ทราบว่าถูกต้องหรือเปล่าคะ

ตอบ : เริ่มต้นน่ะ ยังไม่ต้องเคลื่อนไปไหน ตั้งไว้จุดที่1 ก่อน จนกระทั่งสุด ๆ ของ สุด ๆ จึงผ่อนออกผ่านตามจุดต่าง ๆ ให้ภาพนิ่งที่สุด ใสที่สุด เป็นภาพที่เราไปต่างประเทศ ไม่ใช่ภาพว่าได้สตังค์ นะ หมายถึงภาพที่เราไปถึงประเทศนั้น ๆ แล้ว 1 วินาที=หัวใจ 1 ตุ๊บ 10,000 ก็ 10 วินาที ดังนั้น ก็ให้เอาภาพผลสรุป คือ เป็นภาพความสำเร็จว่าเราไปอยู่นอกแล้ว จะเป็นวิธีไหน เป็นเรื่องโอปะปาติกะจัดให้ ถึงบอกไม่ต้องติดที่ภาพเงิน คล้ายกะว่า ต้องการรวย ก็ไปติดว่ามีเงินร้อยล้าน นั่งนึกไม่หายใจเป็นปี ใช้วิธีอย่างนี้มาตลอด เพราะค่าของเงินมันเปลี่ยนแปลง แต่ภาพของความสุขมันไม่เปลี่ยนแปลง เป็นภาพ อารมณ์=สติ ไง



ถาม : ตอนนี้เริ่มนับประคำใหม่อีกแล้วค่ะ

ตอบ : ดีแล้ว ตรงไหนเราคิดว่าขาด ก็เริ่มใหม่ อย่าไปคิดว่าจะช้า Slow but Sure ดีที่สุด เพราะการทำสมาธิแบบสติปัฐฐาน คือการยกระดับตัวเองให้เป็น "คนเหนือคน" การที่เราอยู่กับสังคมมนุษย์ หากเราอยู่แบบทั่ว ๆ ไป หายใจไปวัน ๆ รอว่าเมื่อไรถึงเวลาย้ายที่=ตาย จะมีความหมายอะไร ดังนั้น หากจะเป็นมนุษย์หรือคน ต้องฝึกให้เหนือคน จึงจะไม่ต้องไปแย่งอะไรกับใครเขา เพราะคนทั่วไป แก่งแย่งชิงดี เพียงแค่กระดาษใส่สีมีตัวเลข=เค้าเรียกกันว่า เงิน แต่สำหรับคนเหนือคน แค่นึกเอาก็ได้ มีทุกข์ก็นึกเอา=อธิษฐาน ก็หลุดพ้นจากปัญหา มีแต่พระพุทธศาสนาเท่านั้นที่สอนวิธีการปฏิบัติ ถึงอยู่รอดมากว่า2552 ปี ....



ถาม : แต่ตอนนี้ฝึกแบบว่า พอตั้งจุด1 แล้วเลื่อน 2 3 4 5 มันชอบลืมจุดอะค่ะ ตำแหน่งไม่ตรงซักที ตรงมั่งไม่ตรงมั่ง ชอบสะดุดตรง 3 กับ 4 อะค่ะ


ตอบ : เวลานึก อย่าเอาภาพสตางค์ ให้เอาว่า เรารวยแล้ว ขี่โรสรอยส์ หรือ รัมบากินี่ ก็เหมือนเราจะไปซื้อเสื้อ ก็ต้องเห็นว่ามันสวยใช่ไหม เราจึงไปหาเงินมาซื้อใส่ เสื้อสวยมันจึงเป็นของเรา ไม่เป็นไรเรื่องสะดุด แต่ตรงจุดที่ 1 ภาพต้องนิ่ง และชัด



ถาม : ถ้าอย่างนั้นถ้าเราต้องการเลื่อนตำแหน่งเราก็นึกถึงภาพที่เราได้ตำแหน่งนั้นเลยใช่ไหม๊คะ


ตอบ : การอธิษฐาน ต้องเอาจุดสรุปแท้ ๆ ว่าเราต้องการให้ผลเป็นอะไร เราเอาที่ผลนะ รักษาภาพจากฐานที่ 1 แล้วเลื่อนขึ้นไปยัง 2345 ภาพไม่หาย ถึงจะมัวก็ไม่เป็นไร เน้น ฐานที่ 1 ภาพต้องชัด ใสสสสสสสสสส นะจ๊ะ ส่วนฐานอื่น ไม่ใช่วัตถุ เป็นวัตถุเฉพาะฐานที่ 1 ฐานอื่นเป็นความรู้สึก



ถาม : การตั้งลมที่ฐานที่1 นึกให้เห็นภาพที่เราต้องการแต่ต้องระลึกอารมณ์ ของตัวนะหรือตัวโมที่เราได้ด้วยใช่ไหม๊คะ


ตอบ : การที่เราใช้สมาธิ และกำหนดภาพอธิษฐาน โดยการใช้เสียง นะโม ซึ่งเป็นภาษาโอปปาติกะ นั่นก็คือ การใช้กำลังสมาธิโค้งงอเส้นเวลาให้อนาคต มาบรรจบ ณ ปัจจุบัน หรือเวลาที่ต้องการ ดังนั้นภาพต้องชัด การเชื่อมต่อของอนาคต และจุดเวลา จะได้มากน้อย หรือไม่ได้ อยู่ที่ว่าจะทรงสภาพการโค้งนั้นได้นานแค่ไหน อย่างที่เคยอธิบายไว้ว่า สิ่งที่เกิดขึ้นในอนาคต ความจริงมันเกิดแล้ว แต่เรายังเดินไปไม่ถึง ดังนั้นเราจึงต้องอาศัยกำลังสมาธิ และกำหนดจุดโดยการอธิษฐาน ว่าจะเอาอะไรเมื่อไร



ถาม : ถ้าให้นึกภาพสิ่งที่เราต้องการและมีความสุขก็น่าจะง่ายกว่าการนึกภาพเงินเพราะนึกถึงเงินทีไรมักสงสัยว่าจะได้มาอย่างไร เลยไม่ได้ซักทีค่ะ


ตอบ : ความสงสัย=วิฉิกิจฉา เป็นหนึ่งในอาการที่จะเกิดขึ้นจากการปฏิบัติ เรื่องปกติ การแก้ข้อสงสัยคือ วางเฉย=อุเบกขา เพราะรู้ว่ากินยังไงก็ต้องโต ไม่ต้องสงสัยว่า ตกลง แขนกับขาเนี่ยะ อะไรมันโตก่อนกันตอนเรากินอาหาร


มาต่อเรื่องของการอธิษฐาน

เมื่อเราตั้งคำอธิษฐาน คือการกำหนดว่าต้องการอะไร เหมือนว่าเราจะไปไหน ก็ต้องรู้ที่จะไป ไม่งั้นบอกคนขายตั๋วไม่ได้

การอธิษฐาน คือ การเลือกหน้าอ่าน อย่างที่เคยบอก ชีวิตเหมือนหนังสือที่จบเล่มแล้ว จึงเกิดเป็นเรา ทุกข์ หรือ สุข รวย หรือ จน


ในการโค้งงอเวลาเข้ามาหากัน โดยกำหนดจุดให้แน่นอน ไม่เปลี่ยนแปลง การโค้งงอเวลา เหมือนการขีดสี่เหลี่ยมบนวัตถุทรงกลม จะใช้กฏเรขาคณิตไม่ได้ ต้องใช้กฏกาลอวกาศ Time-Space ใจ มีค่าเป็นอานุภาค เรียกสมัยนี้ว่า QUARK (เอาแบบง่าย ๆ นะ)


ดังนั้นเมื่อเรากำหนดจุดแล้ว ใช้พลังสมาธิ การโค้งงอ และการบรรจบกันของปลายขั้วตำแหน่งเวลาที่เราต้องการก็จะเป็นรูปเกือกม้า การถ่ายเทจะเกิดขึ้นระหว่างช่วงที่เราใช้พลังสมาธิกดการโค้งงอนั้นไว้ ดังนั้น ในพระไตรปิฏก จึงบอกว่าพระโมคคัลลาน ฯลฯ ในอดีตสามารถบรรดาลทุกอย่างได้ตามประสงค์ ก็ด้วยพลังสมาธิ ซึ่งสมาธิที่ว่านี้ ต้องเป็นการคุม ใจ=อานุภาค ซึ่งเป็นหนึ่งเดียวกับโอปปาติกะ เชื่อมต่อกันได้ ทั้งสภาพ และภาษา ภาษาในนะโม เป็นภาษาเทวดานะ ไม่ใช่ภาษามนุษย์(อ่านในพระไตรปิฏกดู) 


ดังนั้น สมบัติเทวดาก็คือ นึกเอา หรืออธิษฐานเอาก็ได้ดั่งใจ ภาษาเทวดา เรียกว่าภาษาใจ หรือ ภาษาโอปปาติกะ ซึ่งในอนาคต โดยเฉพาะโยม จะสามารถใช้ในทางธุรกิจได้ = ใช้มาโดยตลอดตอนเป็นฆาราวาส ดังนั้น จุดสำคัญคือ วาจา ใจ ต้องเป็นหนึ่งเดียว พูดภาษาเทวดาให้ได้ก่อน ทำสมาธิตั้งลมยังไม่ได้ ไม่เป็นไร แค่นี้ก็ขอเทวดาได้แล้ว....แต่ได้เท่าที่เขาจะให้ ส่วนอธิษฐาน ได้ตามที่เราต้องการ ต่างกันตรงนี้ คงสงสัยนะว่าขอแบบไหน ก็ขอแบบพูดกับคนนี่ บอกว่าเราต้องการอะไร จะเป็นประโยชน์ต่อสังคมส่วนไหน บางวันร้อนมาก ๆ ก็บอกว่า นี่เทวดา จะเอาบุญไม๊เนี้ยะ ร้อนอย่างนี้ทำสมาธิไม่ได้ ถ้าอยากเอาบุญก็ให้เย็น ๆ หน่อย = ฝนตก


ถาม : การกำหนดจุดที่แน่นอนไม่เปลี่ยนแปลงหมายความว่าอย่างไรคะ


ตอบ : การกำหนดจุดแน่นอน ก็คือ การกำหนดคำอธิษฐาน ที่แน่นอนภาพที่ต้องการคืออะไร สัญญาณที่ ใจ สื่อออกไปในห้วงจักรวาล ก็จะค้นในสิ่งที่เราอธิษฐานหรือปรารถนาได้ถูกต้อง เหมือนค้นคำในGoogle ไม่ใช่เขียนแล้วลบ มันจะหาเจอได้ไง ลองง่าย ๆ ลองเขียนใส่ช่อง Google แค่เปลี่ยนสระ วรรณยุค อักษร วรรคตอน การค้นหาก็ผิดไปจากเดิม การส่งสัญญาณ ภาษาใจ คือคำอธิษฐานออกไป ถึงความสำคัญในการใช้เป้าหมายถูกต้อง เที่ยงตรง 



แท้จริง คืออะไร สำคัญอย่างไรกับคำอธิษฐานก็เปรียบเช่นเดียวกัน แล้วก็บ่นว่าไม่ได้สักที ก็เปลี่ยนคำอธิษฐาน เปลี่ยน ภาพ เปลี่ยนอารมณ์ไปเรื่อย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ต้องเป็นรูปสามเหลี่ยม เรา เขา สังคม ได้ประโยชน์ สิ่งนั้นจะได้เร็วที่สุด ข้อนี้ขาดไม่ได้ ถือว่าเป็นกฏแห่งการอธิษฐาน
ในการอธิษฐาน จะเห็นว่าการเขียน หรือ การพิมพ์นี้ไม่ต้องใช้การคิดเลย เพราะถ่ายทอดออกมาที่นิ้วมือ ดังนั้น เมื่อใจอยู่ที่มือ จึงทำได้อย่างรวดเร็ว ที่ภาษาไทยเรียกว่า ใช้ได้ตามใจปรารถนาไง




โอปปาติกะ จะจัดสรรมาให้เหมาะสมกับความสุข สมหวังที่เราปราถนา อย่ากำหนด เอาว่าได้แล้วเป็นสุขสมหวัง นะ

อย่าง..... อยากได้เงิน เป็นไง ได้เงินเป็นแสนล้าน แต่หาแผ่นดินอยู่ไม่ได้ ครอบครัวแตกแยก นี่ไง เงิน



เงิน คือ กระดาษใส่สีมีตัวเลข เอาไว้สะสมตัวเลขแปลก ๆ เรียงกัน เหมือนสะสมแสตมป์ แต่เราสะสมสตางค์ แต่ไม่ใช่เพราะว่าอยากได้เงิน แต่เอาเลขแปลก เช่น 55555555555555555555 เป็นต้น ยังงี้ จริงนะไม่ได้พูดเล่น ขอให้ให้มีความรู้สึกอย่างนี้กับเงิน แล้วเราจะอยู่เหนือความโลภ แต่อธิษฐานให้มีความสุข แบบมหาเศรษฐี อยากใช้สักพันล้านก็มีใช้ อธิษฐานอย่างนี้ถูกทางนะ สนับสนุน



คำถามตบท้าย :อธิษฐานให้มีความสุข แบบมหาเศรษฐีต้องใช้ภาพไหนครับ


ตอบ : ก็ใช้ภาพความสุข อยากใช้มีใช้ไม่ติดขัด ครอบครัวมีความสุข










สารบัญทั้งหมดจะอยู่ทางด้านขวามือของหน้า (ทุกหน้า) เวอร์ชันสำหรับเว็บ

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

ถาม-ตอบ (คำต่อคำ) พฤหัสบดี 29 ตุลาคม 2552

ถาม-ตอบ (คำต่อคำ) พฤหัสบดี 29 ตุลาคม 2552

ถาม : เรื่องวัตถุธรรมหมายถึงอะไรคะ


ตอบ : วัตถุธรรม หมายถึง สิ่งที่นำมาซึ่งแนวทางการปฏิบัติ คือ พระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธองค์ วัตถุ หมายถึง สิ่งจับต้องได้ สัมผัสได้ นี่แปลตามพยัญชนะ ไม่ได้แปลโดยอรรถ หรือโวหาร การที่เราจะปฏิบัติให้ได้ผล อันที่จริงต้องทำตลอดเวลา และทำด้วยใจ ดังนั้น ไม่ว่าจะทำบุญด้วยวัตถุทาน หรือ วัตถุธรรม ก็ไม่เท่ากับการปฏิบัติโดย มนสิการ สิการ = การปฏิบัติ ด้วยความเคารพ เรียกว่า มนสิการ = มน = ใจ สิการ = การปฏิบัติ ด้วยความเคารพ ดังนั้น ไม่ว่าจะทำบุญด้วยวัตถุทาน หรือ วัตถุธรรม ก็ไม่เท่ากับการปฏิบัติโดย มนสิการ อันได้แก่การปฏิบัติ ให้ถึงพร้อมด้วยกายวาจาและใจ เพื่อเข้าสู่พุทธวิถี คือ ถึงพุทธคุณ หรือ พุทธานุภาพ อันเป็นปฐมบทแห่งพระรัตนตรัย ซึ่งมีอยู่ 3 คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ การปฏิบัติโดยวิถี มหาสติปัฎฐานคือ ให้พิจารณาให้เห็นกายในกาย นั่นคือ ที่เรากำลังฝึกกันอยู่นี้ เริ่มก็ต้องให้ได้ยินเสียง คือ เสียงกายใน=ใจ กับวาจา เพื่อให้รู้จักว่ากายในกายมีอยู่จริง เมื่อได้ยินเสียง กายในแล้ว ต่อจากนั้นก็จะเห็นกายใน เป็นปกติ เมื่อเห็นกายใน อันมีสภาพเป็น โอปะปาติกะ ก็จะเห็นเทวดาอารักข์ ที่เป็นสิ่งมีชีวิตสภาพเดียวกับกายในเช่นกัน นี่คือการผ่านปฐมบทของมหาสติปัฎฐาน คือข้อ1 พิจารณาให้เห็นกายในกาย


ถาม 1: แล้วที่หลวงพ่อว่า การพ้น จากวัตถุ คือไม่ต้องอาศัยตัวอักขระหรือแผ่นกสิณก็สามารถเห็นนิมิตได้ หมายความว่าอะไรคะ


ถาม 2 : ที่ว่าเห็นกายใน เป็นปกตินั้นเห็นเป็นอย่างไร เป็นรูปร่างเลยหรือครับ
?

ตอบ : ก็หมายความว่า เมื่อเราจำได้แล้ว ว่าอารมณ์ที่เกิดขึ้น(ขนลุกฯลฯ) เกิดที่ตัวไหน อย่างแน่นอน ไม่เพี้ยน หรือไม่ได้นึกเอาเอง ทดสอบคือ สมมุติว่าเราได้ปิติ จากตัว โม ลองนึกตัว โม สัก 10 ครั้ง ดูซิว่า ปิติจะเกิดครบไหม จับต้องได้เหมือนกับตัวเรานี่แหละ หากครบ 10 ครั้ง ก็ทิ้งปะคำ ทิ้งแผ่นกสิณ ได้เลย

เหมือนนั่งเรือถึงฝั่ง ไม่ต้องแบกเรือไปบนฝั่งด้วย (เป็นพุทธพจน์ พระพุทธองค์สอนพระอานนท์)

แต่เริ่มใหม่ ๆ ต้องใช้ประคำ และ แผ่นกสิณ เพื่อให้เกิดนิมิต

ตอบ : เหมือนเด็ก ก็ต้องเขียนลงสมุดก่อน พอเรียนไป ๆๆ ไม่ต้องมีสมุด ก็นึกภาพ ก.ไก่ ในอากาศได้ เป็นคำ ๆ

อย่าใจร้อน ค่อย ๆ ไป ยังไงก็ได้ รับรอง ไม่ได้เป็นไม่มี อย่างกับ ขับรถไง ทำไมเราขับได้ล่ะ ยากกว่าปฏิบัติหลายพันเท่า จริง ๆนะ


ถาม 2 : ผมทำ 4-5 ถึงจะได้ สักครั้งครับ

ตอบ : เป็นปกติ ....ฉันทำมากว่า 60 ปีนะ ตอนเด็ก ๆ น่ะ กว่าจะได้เกือบ 7 เดือน แถมโดนตีตะหาก ตอนเป็นเณรไม่รู้หรอกว่า ดีหรือเปล่า แต่ต้องทำ ไม่งั้นอดข้าว โดนตี ฉันเป็นเณร ถูกบังคับให้ทำทั้งวัน กลางคืนก็ทำ ทำกันทั้งวัด เราก็ต้องทำ ไม่มีใครไปวิ่งเล่น(เพราะมันหนาว ...!!)


ถาม 2: ตอนที่รู้ว่าได้เป็นยังไงครับยังจำได้หรือเปล่าครับ แล้วครูของอาจารย์มีวิธีตรวจผลอย่างไร

ตอบ : ตอนที่รู้ว่าได้ ก็ไม่อยากพบคนอื่น ๆ เพราะไม่สนุก นั่งสมาธิสนุกกว่า เพราะพบแต่สิ่งที่ชอบ ที่ถามมาว่าอาจารย์เขาตรวจสอบได้อย่างไร นี่แหละคือคำตอบ ก็ มาจากคำถามของศิษย์นั่นแหละ


ถาม 1 : แล้วอาการที่เรียกว่าหูแว่วหรือพรายกระซิบเสียงจะเหมือนกับเสียงของตัวเราในตอนที่เราสวดนะโมหรือเปล่าคะ

ตอบ : เหมือนหรือไม่ เราจะรู้เอง เมื่อเสียงเรากับเสียงใจ เราแยกออกได้ เราก็จะแยกเสียงที่ได้ยินมาใหม่นั้นได้ เป็นอานิสงค์ BENEFIT ของการทำอาปานสติ ข้อแรกเลยนะ คนทำได้ ต้องได้ยินก่อน เป็นเรื่องปกติ แต่ทั่วไป(ทั่วโลก=ยกเว้นพวกเรา) ไม่มีวิธีปฏิบัติอย่างเปิดเผย เลยกลายเป็นเรื่องผีสาง


ถาม 1 : เสียงที่ว่าจะเกิดขึ้นตอนไหนคะหรือเกิดได้ตลอดเวลา

ตอบ : ทำแล้วจะรู้เอง (บางอย่างพระตอบฆาราวาสไม่ได้=ข้อห้าม=แม้ว่าจะเป็นการเขียนก็ตาม)ทำได้ จะไม่ต้องถาม 


ถาม 1 : เหตุที่ถามเพราะว่าเหมือนได้ยินเสียงคนแต่ไม่รู้ว่าพูดอะไรเหมือนอาการหูแว่วค่ะ
ตอบ : เพราะคนปฏิบัติ ได้จริง เห็นจริง คำถามจะไปอีกแบบนะ

แสดงว่า ในภาคเสียงใจ กับ ปาก ยังไม่ตรงกัน กลับไปเริ่มฝึก ปากกับใจ อีกครั้งนะ

ฝึกให้แยกเสียงให้ออก ว่าเสียงไหนคือเสียงเรา(ปาก) กับเสียงไหนเป็นเสียงกายใน(ใจ) แยกได้เป็นอันว่าผ่านขั้นแรก เมื่อเสียงปาก กับ ใจ ตรงกัน นั่นก็คือ วาจากับใจ เป็นหนึ่งเดียวแล้ว ต่อไปคือฝึกเวลาพูดกับคนให้พร้อมทั้งวาจาและใจ การพูดให้ออกมาจากที่สุดของลมหาใจ(ที่ตั้งของใจ) จึงเรียกว่า ตั้งใจพูด นี่แหละภาษาไทย ลึกซึ้งมาก มีความหมายมาก

เมื่อฝึกผ่านพูด ปาก ใจ ตรงกันได้แล้ว จากนั้นเข้าสู่ขั้นที่ 2 คือ หาปิติจากคำภาวนา หรือ หานิมิต โดยการชักปะคำ จากนั้นก็ปฏิบัติไปตามที่บอกไปแล้ว หากติดขัด ให้ทบทวนตัวเองว่าขาด หรือ พร่องตรงไหน ให้ฝึกซ้ำ อย่าอายตัวเอง



ถาม 2 :ขอถามครับ ขณะที่ผมพูดคุยกับอาจารย์อยู่ อาจารย์จะทราบหรือไม่ว่าคำไหนจากปากคำไหนจากใจครับ

ตอบ : รู้ .....เสียงจากใจ จะลึกและกังวาล เสียงจากปากจะแหลม เพราะเสียงจากปากมาจากกล่องเสียง แต่เสียงจากใจ จะมาจากที่สุดของลม และลมจะช่วยให้เสียงดังกังวาล จึงเรียกว่า สีหนา(เสียงราชสีห์) จะ มีเสียงกังวาล และมีอำนาจ เพราะเป็นเสียงที่มาจากใจ เป็นภาษาของใจ จึงเข้าไปสู่ใจ ของผู้ฟังได้ เราจึงถือสัจจะ พูดแต่ความจริง พูดแล้วต้องทำ เขาเรียกว่า จริงใจ เพราะ มาจากใจจริง

ที่หนังพลังภายใน เอามาเขียน แต่ความจริงวัดเส้าหลิน ก็ฝึกอย่างนี้นะ ใช้หลักมหาสติปัฏฐานนี่และ โดยปรมาจารย์ ตั๊กม้อโจว


ถาม 2 : ผมไม่สามารถรู้ได้เลย อย่างนี้แสดงว่ามันปนกันอยู่เป็นปกติใช่ไหมครับ

ตอบ : นี่ไง เราต้องสังเกตุ การสังเกตุ หรือ การระลึกรู้อยู่ทุกขณะลมหายใจเข้าออก ดังนั้นเวลาพูดเราจึงต้องใช้ลมหายใจ เป็นตัวนำ



ถาม 2 : ใช้ลมหายใจ เป็นตัวนำ คือลมหาใจตอนเข้าใช่ไหมครับ

ตอบ : ใช่ ถูกต้อง10000% นำคำพูดที่เราจะพูดเข้าไป แล้วนำออกมาพร้อมลมหายใจ คำละวินาที จะไม่ช้าหรือเร็ว จนเกินไป เรียกว่า เป็นการพูดอย่างมีจังหวะ เป็นจังหวะของหัวใจ


ถาม 2 : เข้าใจแล้วครับ แต่เราก็ลืมทุกครั้ง

ตอบ : นั้นแหละ จึงต้องมีสติ สติคือธรรมชาติระลึกรู้อารมณ์



ถาม : แล้วถ้าบางที ตัวในทำเอง โดยเราไม่ได้ขออะไรตอนนั้น ไม่ได้ปฏิบัติตอนนั้นด้วย เราก็จะมีอาการ ขนลุก เหงื่อแตกได้ใช่ไม๊คะ เดินอยู่ในห้างแท้ๆ เย็นอยู่แต่เราเหงื่อแตก

ตอบ : อย่างนั้นเรียกปิติ อย่างหนึ่ง แต่เกิดที่ตัวไหน ล่ะ นี่ซิ เราต้องรู้ จะได้เอามาใช้ได้ สมาธิ ธรรมดามนุษย์ที่เป็นคนไทย เรามีอยู่แล้ว เพราะถ่ายทอดทางพันธุกรรมจากพบรรพบุรุษ แต่เราควบคุมไม่ได้ ดังนั้นจึงต้องฝึกบังคับใจ เหมือนกับพ่อแม่มีตังค์ซื้อรถให้ แต่เราต้องหัดขับเอง นะ




ถาม : เมื่อก่อนเวลาชักประคำเป็น10รอบไม่เหนื่อยเลย ทำไมเดี๋ยวนี้3รอบก็จะเหนื่อยมากๆคะ

ตอบ : ไม่ต้องตั้งใจเกินไป อย่าเคร่ง หรือ เกร็ง ปล่อยสบาย ๆ ได้แค่ไหนเอาแค่นั้น หากเหนื่อยก็ มาอ่านหนังสือ จะเป็นหนังสืออ่านเล่น กาตูน ฯลฯ แต่ออกเสียงให้ปากพร้อมใจ ก็ได้ ไม่เสียเวลาเปล่าด้วย หากเซ็ง ก็ร้องเพลงซะเลย แต่ก็ต้องปากกะใจตรงกันให้ได้ นี่คือเป้าหมายหลัก ส่วนเป้าหมายรอง คือการอธิษฐาน เพราะหาก กาย วาจา ใจ พร้อม อธิษฐานยังไงก็ได้ เรื่องตัวเลข มันแค่สมมุติ


วันนี้คิดว่าคงได้เนื้อหาสาระ มากพอประมาณ คงเข้าใจ เห็นมะ เข้าใจ คือ เข้าไปอยู่ในใจ

อย่างที่พิมพ์นี่ก็เหมือนกัน จะเห็นว่าฉันพิมพ์ด้วยใจ ไม่ต้องคิดนะ นิ้วมันไปเองเลย

พอเราทำได้ จะถ่ายทอดไปที่ไหน ส่วนไหนก็ได้

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS