Crack RNA Code By Meditation / 10 (คำสอนพระอาจารย์ธรรมบาล 30 มิถุนายน 2558)


ขอยกตัวอย่างการทดลองทางวิทยาศาสตร์ฟิสิกส์-การแพทย์ เกี่ยวกับเสียงสวดมนต์ของพุทธศาสนา บทขึ้นต้น คือ นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุท ธัสสะ ฯ ว่าส่งผลกับมนุษย์ในส่วนไหนบ้าง


ในทางปฏิบัติ การที่ให้เริ่มตั้งต้นที่ปถวีธาตุ จีนเรียกจุดตั่งชั้ง ทางวิทยาศาสตร์การแพทย์ ยอมรับว่าส่วนปลายสุดของกระดูกสันหลัง เป็นส่วนของจุดรวมประสาท ที่จะส่งขึ้นสู่สมอง ดังนั้น การเริ่มต้นให้คลื่นเสียงกำเนิด ณ จุดดังกล่าว กระบวนการทางชีวภาคของ RNA จึงส่งสัญญานไฟฟ้าไปยังเส้นประสาทในไขสันหลัง ขึ้นสู่สมองได้โดยตรง ไม่ต้องใช้ข้อมูลทางพันธุกรรมจากDNA มาแปลรหัส เรียกว่า Bypass ข้ามขั้นตอนปกติไปเลย โดยอาศัยคลื่นความถี่ของเสียงระดับต่ำกว่า Delta ซึ่งเป็นเสียงของPlasma(ใจ) จึงมีพลังสูงยิ่ง 

.....ดูภาพจากการค้นคว้าทดลอง คลื่นเสียงนะโม... ประกอบ


จากการค้นคว้าทดลอง ได้ผลว่า ในขณะที่ความถี่คลื่นเสียง นะโม... เคลื่อนที่ขึ้นสู่สมองนั้น ความสั่นสะเทือนของคลื่นเสียงส่วนหนึ่ง ได้กระตุ้นเซลล์ประสาทของหัวใจ ทำให้กล้ามเนื้อหัวใจ และลิ้นหัวใจทำงานได้ดียิ่งขึ้น จึงจะเห็นได้ว่า ผู้ที่สวดมนต์อย่างถูกวิธีจึงปราศจากอาการของโรคหัวใจ หรือที่เคยเป็นอยู่ก็จะทุเลาเบาบางและหายไปในที่สุด นี่คืออานิสงค์ในการ "ปริกมฺมฺ" หรือ สวดมนต์ จึงมีร่างกายแข็งแรง กว่าผู้ที่ไม่สวดมนต์ หรือสวดมนต์แบบผิดวิธี


ที่กล่าวมานั้นเป็นส่วนของวิทยาศาสตร์การแพทย์ ทีนี้มาดูข้อมูลในทางพระพุทธศาสนา เรื่องของคลื่นความถี่เสียง นะโม.... ส่งผลอย่างไร ต่อมนุษย์บ้าง (ต้องย้ำว่า นี่เป็นวิทยาการทางอายุรเวช-ฟิสิกส์ เมื่อ 2500กว่าปีก่อน ที่ถ่ายทอดสั่งสอนพุทธบริษัทให้ปฏิบัติ) 


อักขระที่ทำให้เกิดคลื่นเสียง นะโม ตัสสะ... ทั้งหมดมี 18 ตัว ความถี่ของอักขระแต่ละตัว จะทำหน้าที่กระตุ้นโปรตีน สารชีว ภายในซึ่งประกอบเป็นเซลล์ร่างกายเรียกภาษาอภิธรรมว่า "ธาตุ" ทั้งหมด 18 ธาตุ ซึ่งธาตุเหล่านี้จะทำหน้าที่ควบคุม ประสาทรับรู้ ไม่ว่า ตา หู จมูก ลิ้น สัมผัส ต่าง ๆ คือกระตุ้นเซลล์ ให้ทำงานด้วยคลื่นความถี่ของเสียงระดับต่ำกว่าDelta 

ดังนั้นผู้ปฏิบัติชอบ ในแนวทางแห่งสติปัฏฐาน - ปฏิสัมภิทามรรค จะไม่ต้องใส่แว่น ไม่ต้องใส่หูฟัง ไม่หลงลืมง่าย เพราะสัญญาณBio-Electromagnetic ได้ถูกกระตุ้นให้ทำงาน ข้ามจากขั้นตอนปกติ ซึ่งตามอายุจะต้องแก่ หง่อม สั่นแหง่ก ๆ ก็แข็งแรง สมบูรณ์ จึงจะเห็นได้ว่าผู้ปฏิบัติชอบ หากเป็นหญิง(จะเห็นชัด) คือ สวย งามสง่า กว่าเดิม ชายไม่แก่ เกินวัย เพราะเซลล์ทั้งหมดได้รับการกระตุ้น ด้วยความถี่ของคลื่นเสียง นะโม...ทั้ง 18 ตัว ทางปฏิบัติคือไปกระตุ้นธาตุ 18 เรียกว่า "อัฏฐารสธาตุ) อ่านว่า อัด-ถา-ระ-สะ แปลว่า สิบแปด 



ซึ่งการปฏิบัติที่ถูกทางเช่นนี้ ได้สืบทอดกันมาแต่พุทธกาล ปรากฏเป็นหลักในแผ่นดินไทย ครั้งสมัยสุโขทัยเป็นราชธานี บ้านเมืองยุคนั้นจึงเจริญรุ่งเรือง ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว ปราศจากศึกสงคราม ประชาชนมีความสุขกันถ้วนหน้า เข้าวัดถือศีลปฏิบัติชอบ กันทุกวันอุโบสถ เพราะของจริง ปฏิบัติแล้วได้ผลจริง โบราณจึงกล่าวติดปากกันมาว่า แค่ นะโมตัสสะ คุณพระก็คุ้มครอง ช่วยให้ขีวิตอยู่รอดได้แล้ว 


สำหรับผู้ที่เพิ่งได้อ่านข้อมูลนี้เป็นครั้งแรก หรืออ่านแล้ว เกิดกุศลจิตคิดอยากจะลองทำดูแต่ไม่รู้จะตั้งต้นตรงไหน เพราะไปสำนักไหน ถามอาจารย์เจ้าสำนักว่า "อาจารย์คะ ..."ใจ" อยู่ตรงไหนคะ ?"  นอกจากจะไม่ได้คำตอบจากเจ้าสำนักปฏิบัติแล้ว อาจมีของแถมที่ไม่พึงปรารถนาตามมาอีกตะหาก จริงแล้วคำตอบน่ะง่าย ๆ เพราะของจริง น่ะไม่ยาก อย่างที่คิด 

เราลืมกันไปหรือเปล่า ? ว่า ทำไม พระพุทธองค์ จึงทรงให้ใช้ "ลม" ในการทำสมาธิ ลมเข้าทางจมูกเรียกว่า "อัสสาสะ " ลมออกทางจมูก เรียกว่า "ปัสสาสะ" คำตอบคือ "ลม มีไว้สำหรับ หาใจ"(ไม่ใช่ "ลมหายใจ" คำนี้เป็นผลพวงแห่งการวิบัติทางภาษา) 


ดังนั้น จึงใช้ "ลม" เป็นตัวหาใจ พระพุทธองค์เรียกว่า "อาปานัสสติ" ใช้ในการหา "ที่ตั้งของใจ" เพื่อให้รู้ว่า "ใจอยู่ตรงไหน" เพราะหากไม่รู้ที่ตั้งของใจ ก็ไม่อาจปฏิบัติขึ้นสู่สมาธิขั้นสูงคือ "อัปปนาสมาธิ" เนื่องจากอัปปนาสมาธิจะเกิดขึ้นได้โดย "ใจเป็นสมาธิ" ซึ่งเป็นมิติของใจโดยเฉพาะ เรียกว่า "มโนทวารวิถี"(บาลีเรียก ใจ ว่า มโน) พระพุทธองค์จึงทรงตรัสยืนยันไว้ชัดเจนว่า "สิ่งทั้งหลาย มีใจเป็นใหญ่ มีใจเป็นประธาน สิ่งทั้งหลาย สำเร็จได้ด้วยใจ" ดังนั้น ถ้าหากหาใจไม่พบ ก็อย่าหวังเลยว่า จะประสบความสำเร็จได้ดั่งปรารถนา แล้วจะรู้ได้ไง ว่า ใจอยู่ตรงไหน คำตอบ ดูภาพละกัน



สรุปรวมความในส่วนของการสร้างระดับคลื่นความถี่ของเสียง ก็เพื่อปรับระบบการทำงานของRNA ให้ข้ามกระบวนการทางพันธุกรรม ที่สืบทอด หรือรับมาเก็บข้อมูลไว้ในDNA รวมทั้งปรับเปลี่ยนข้อมูลของDNA เสียใหม่ไม่เป็นไปตามนั้น ยกตัวอย่างง่าย ๆ เหมือนมะม่วงปลูกด้วยเมล็ด 3ปี ออกลูก แต่นักเกษตรที่เชี่ยวชาญเฉพาะ สามารถทำให้มะม่วงออกลูกก่อนเวลา และข้ามฤดูได้ ฉันใดก็ฉันนั้น เพียงแต่รู้วิธีที่ถูกต้อง คือรู้จริง นั่นก็คือการปฏิบัติชอบ ปฏิบัติถูกทางที่พระพุทธองค์ทรงสอนไว้ว่า "ทางอื่นนอกจากสติปัฏฐาน นั้นไม่มี " หากเราไม่เชื่อพระพุทธเจ้า แล้วเราจะมานับถือพุทธศาสนาทำไม ? จริงไม๊!!


การสร้างระดับคลื่นความถี่เสียง ด้วย นะโมตัสสะ... ก็เพื่อปรับให้สภาวะRNA พร้อม และเคยชินกับคำสั่ง(คลื่นเสียงของใจ) คือปรับสภาวะภายใน และร่างกายภายนอก ทั้งนี้เพื่อที่จะขึ้นสู่ระดับสูง คือการควบคุมสภาวะ ภายนอก อันได้แก่ เหตุการณ์ ธรรมชาติ วัตถุ สรรพสิ่ง ด้วยระดับคลื่นความถี่ที่มีพลังยิ่งไปกว่านั้น นั่นคือการเข้าสู่พลังแห่งพุทธานุภาพ ซึ่งเป็นพลังที่มองไม่เห็น เหนือธรรมชาติ แม้แต่นักวิทยาศาสตร์ปัจจุบันก็ยอมรับว่า พลังที่อธิบายไม่ได้ มองไม่เห็น มีอยู่ ทุกอณู และบรรยากาศ มีพลังมากขนาดผลักให้จักรวาลทั้งจักรวาลเคลื่อนที่ไปได้ คิดว่าเมื่อ คุณ และ/หรือ ผู้ปฏิบัติชอบทั้งหลาย สามารถเชื่อมประสาน(สัมปยุต) พลังดังกล่าวนี้ และสามารถนำมาใช้ได้ตามปรารถนา ก็จะปราศจากข้อกังขา ในการทำอิทธิฤทธิ์ ปาฏิหารย์ เหนือธรรมชาติทั้งปวง อันปรากฏตามจารึกไว้ในพระไตรปิฏก 


เพื่อไม่ให้เกิดข้อสงสัย และผู้ใคร่ศึกษา จะได้ค้นคว้าข้อมูลได้ยิ่งขึ้นไปในส่วนที่ขาด จึงนำหลักฐานDocument การค้นคว้าของนักวิทยาศาสตร์Quantum Phics เกี่ยวกับพลังที่มองไม่เห็น มาประกอบไว้ เป็นแนวทาง ตามLink นี้      http://youtu.be/Y64zNA8xImw


ด้วยพลังแห่งพุทธาภาพ ขอความผาสุข สวัสดี มีโชคชัย ก้าวหน้าในชีวิต กิจการงาน และการปฏิบัติธรรม ถ้วนทั่วกัน ทุกท่านเทอญ

.....ทาชิ  เดเล

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS