Crack RNA Code-Appendix II. (คำสอนพระอาจารย์ธรรมบาล 22 มิถุนายน 2558)






เมื่อกล่าวถึงการทะลุเวลา-ข้ามมิติ เป็นเรื่องเหลวไหล เป็นไปไม่ได้ มีแต่ในนิยายหลอกเด็กพวกSci-Fi  หากทำได้จริง ทำไมนักวิทยาศาสตร์เก่ง ๆ ของโลกปัจจุบันซึ่งเจริญทางเทคโนโลยีมีSmart Phone ใช้แล้ว ยังทำไม่ได้
          แต่นักวิทยาศาสตร์-ฟิสิกส์ยุคปัจจุบัน ก็ไม่ได้บอกว่า "เป็นไปไม่ได้" ส่วนใหญ่เป็นฝรั่งตะวันตกทั้งนั้น 99.99% เพราะอะไร นักวิทยาศาสตร์เหล่านี้จึงบอกว่า "ยาก" ก็เพราะใน DNA ของเขาเหล่านั้น ไม่ได้บรรจุข้อมูลใด ๆ ทางพันธุกรรมจากบรรพบุรุษ นับตั้งแต่เริ่มเป็นสัตว์เซลเดียวเป็นต้นมา 

ดังนั้น ใน DNA จึงไม่มีข้อมูลให้ RNA ไปสืบค้น คือหายังไงก็ไม่มี เหมือนห้องสมุดที่ไม่มีหนังสือประเภทนั้น ด้วยเหตุดังนี้ชาวตะวันตก ส่วนใหญ่จึงเชื่อใน "วัตถุ" เพราะขาดพื้นฐาน ทั้ง ๆ ที่สมการคำนวณ ก็คิดขึ้นมาเอง ดังนั้น เมื่อ DNA ไม่มีข้อมูล จึงทำให้เกิด "ความคิด หรือภาพ ว่า ทำไม่ได้" เกิดอารมณ์ปฏิเสธที่จะทำสิ่งนั้น เพราะคำ ๆ เดียวว่า "ยาก"





ความยาก ง่าย ไม่ได้อยู่ที่สิ่งสำผัส เหตุการณ์ หรือการกระทำ ก่อนที่เขาจะเริ่มทำ เขาจะเห็นภาพนั้นจากภายใน โดยภาพ(image)ที่เขาสร้างมันขึ้นมา กระบวนการทำงานทางชีวะจะนำภาพนั้นไปเข้ารหัส จากนั้นจะถูกนำไปเทียบกับข้อมูลที่ถูกเก็บไว้ก่อน(ไม่ว่าจากยุคสมัย หรือ ภพชาติไหน ๆ) ภายใน DNA เป็นลักษณะของภาพเขิงซ้อนสามมิติ(Holographic) ว่าเคยมีสิ่งนี้หรือไม่ ทางพระพุทธศาสนาเรียกว่า "สัญญาเดิม" หากเคยมีสิ่งนั้นอยู่ คือซ้อนกันสนิท RNA(ไม่ว่าจะเคยทำได้ หรือ ไม่ได้ และ/หรือ ไม่เคยทำ) ก็จะนำพิมพ์เขียวต้นแบบออกมาสร้างสัญญานไฟฟ้าชีวภาค เริ่มกระบวนการให้ส่งสัญญานสั่งการไปยังสมอง ให้ออกมาเป็นความรู้สึก ตอบรับ ปฏิเสธ นี่แหละที่เราเรียกว่า "อารมณ์" ซึ่งมาจากภายใน ที่เรียกว่า "ใจ" 


แม้ว่าบางครั้ง สิ่งที่เข้ามากระทบ ให้ได้รับรู้ สัมผัส ในชีวิตของเขาชาตินี้ จะไม่เคยพบเห็นมาก่อน ไม่เคยเรียนรู้ จากที่กล่าวแล้ว โดย "สัญญาเดิม" จะทำให้เขาเรียนรู้ และสามารถเข้าใจ ทำได้รวดเร็ว เปรียบง่าย ๆ เหมือนเราเคยเรียนวิชานี้มาตอนมัธยม และทิ้งไปแล้ว ลืมไปแล้วเพราะไม่ได้ใช้นาน พอมาเรียนปริญญาเอก เจอเข้าอีกก็คลับคล้าคลับคลา ทบทวนนิดเดียวก็เข้าใจและทำได้ อย่างรวดเร็ว เพราะเคยเรียนและทำสิ่งนั้นมาก่อน


ทีนี้มาดูกันว่า ทางพระพุทธศาสนา ทะลุมิติ-ข้ามเวลาได้อย่างไร ดังนั้น การที่เราสวดมนต์จากใจ เราจะอยู่ในอีก Dimension หนึ่ง ที่แตกต่างไปจากที่เราอยู่
    ดังนั้น การทำสมาธิ คือการก้าวข้าม ภพ อันมาจากคำว่า ภว(อ่านว่า ภะวะ) จึงเรียกว่า "ภวนา" คำว่า นา มาจาก "มนัส" แปลว่า "ใจ"
     สรุปรวม ปฎิบัติ ภวนา คือการปฏิบัติ "เพื่อให้ใจข้ามภพภูมิ" ได้ ขณะที่ยังไม่ตาย


  ด้วยเหตุดังกล่าว เมื่อปฏิบัติได้ระดับหนึ่ง จึงเกิดอารมณ์ "เป็นสุข" นั่นเพราะเป็นอารมณ์ จากอีกภพภูมิ(Dimension) หนึ่ง ที่แตกต่างกัน แต่อารมณ์นั้นยังคงอยู่  เหมือนออกไปทานข้าวนอกบ้าน  อร่อย อิ่ม ความอร่อย และอิ่ม ก็ติดกลับมาถึงบ้านด้วย


ดังนั้น การฝึก "สติ"=ธรรมชาติระลึกรู้อารมณ์ คือ ต้องจำให้ได้ จึงสำคัญมาก ถ้าจำอารมณ์ไม่ได้ ก็เหมือนเดินทางไกล ไปไหนไม่รู้แต่หิวข้าวเลยลงไปทานข้าว อร่อยมาก ติดใจ  แต่ขึ้นรถขับต่อไป กลับลืมว่า ร้านไหน อยู่ตรงไหน ก็เหมือนการ "ระลึกอารมณ์ไม่ได้=ขาดสติ"


เพราะขาดสติ ก็ไปตามเวรตามกรรม เลือกภพภูมิเอาเอง กำหนดที่เกิด ที่ไปไม่ได้ จึงตกนรก ไง

    พอเกิดใหม่ ก่อนตาย ขาดสติ ก็ไปตามยถากรรม ตามเฮงตามซวย ทำกินไม่ขึ้น

     พระพุทธองค์จึงทรงตรัสว่า "สติ คือ ธรรมอันมีอุปการะยิ่ง"


แม้สุดท้ายก่อนปรินิพพาน ท่านยังย้ำในปัจฉิมโอวาท ถึงความสำคัญของสติ มิให้ประมาทในการระลึกว่า "อปฺมาเทน สมฺปาเทสา สิฯ ท่านทั้งหลาย จงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อม

นี่คือความสำคัญว่า ทำไมต้องมีมีสติทุกลมหายใจเข้าออก ที่ซ่อนอยู่ที่คนทั่วไปเข้าใจคือ สติที่รับอารมณ์ คนที่ตั้งลม(ระงับ อัสสาสะ-ปัสสาสะ)บ่อยบ่อย จนเป็นอัตโนมัติ RNAจะทำงานแบบbypass  ลอกรหัสตามคำสั่งที่ป้อนเข้าไปใหม่ ไม่เข้าไปCopyข้อมูลจากDNA ทำให้สามารถกำหนด เหตุการณ์และสถานที่ได้ตามปรารถนา


สำหรับผู้ฝึกสติ(สติปัฏฐาน-ปฏิสัมภิทามรรค) เป็นหนทางเดียว ....เอกมคฺโค ที่สามารถเลือกที่ไป ได้เลย ไม่ต้องรอตาย และรู้ด้วยว่า ตายจะไปไหน อยู่ที่ไหน และจะไม่ไปอยู่ที่ไหน อีกทั้งยังสามารถไปดูที่เราจะไปอยู่ใหม่ หรือเลือกที่ถูกใจได้ก่อนด้วย อันไหนไม่ถูกใจไม่เอา เหมือนเลือกบ้าน แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับ "ปัจจัย" (บุญ) หรือทางโลกก็คือเงิน ในอีกมิติหนึ่งนั้นเงินใช้ไม่ได้ ใช้ได้แต่"บุญ" ที่จะแลกมากับที่อยู่ใหม่ จะสวยงามขนาดไหน ขึ้นอยู่กับว่าเราทำบุญไว้มากน้อยแค่ไหน


พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ว่า "ไม่มีบุญใด ยิ่งใหญ่ไปกว่า การถึงพร้อมด้วย กาย วาจา ใจ ในวาระจิตเดียว...แม้ชั่วขณะอึดใจเดียว(ระยะตั้งลม) ก็มีค่ากว่าสร้างเจดีย์ทองคำจากมนุษย์ถึงพรหมโลก


    นี่คืออานิสงค์ของการฝึกสติปัฏฐาน วิธีอื่นทำไม่ได้ อย่างที่เขียนอยู่นี้ ก็เขียนด้วย "สติ" เอาความรู้มาจากใจ จากการปฏิบัติ เหมือนเราเคยไปกินร้านอร่อย แล้วจำได้ ว่าอยู่ตรงไหน ก็มาบอกคนอื่นให้ไปกินจะได้อร่อยด้วย คนบอกก็ดีใจ เมื่อคนไปกินเขามาว่าอร่อยจริง ๆ ไม่โกหก
     แต่บางจำพวกไม่เคยไปกิน จำเค้ามาบอก พอถามเข้าว่า ร้านไปทางไหน เลี้ยวซ้ายหรือขวา ใบ้ ไปไม่เป็น รู้แต่ชื่อร้าน  ยังงี้เยอะ !!





ในการเดินทางทะลุเวลาข้ามมิติ (Time Travel) นักวิทยาศาสตร์ยุคปัจจุบัน(พศ.2558) บอกว่า "มันเป็นเรื่องยากมาก" เพราะยังทำไม่ได้ (แต่ยอมรับว่าเป็นไปได้) ซึ่งหากเราย้อนหลังดูในแนวทางของพระพุทธศาสนา เมื่อ 2558 ปีมาแล้ว จะเห็นได้ว่า พระพุทธองค์ไม่ใช่ทรงตรัสรู้เท่านั้น พระพุทธองค์ยังทรงเดินทางข้ามมิติ เด็จไปเทศโปรดพุทธมารดาบนดาวดึงสวรรค์ 

สวรรค์นั่นน่ะอยู่คนละมิติ(คนละภพภูมิกับมนุษย์) คือไปอยู่มิติอื่นถึง 9,000ปี(ตามเวลามนุษย์ เมื่อเทียบกับเวลาสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ 100ปีมนุษย์=1วันสวรรค์) เพียงแต่เมื่อทรงเสด็จกลับยังโลกมนุษย์พระองค์ได้ทรงย้อนเวลา ให้กลับมาเป็นเวลามนุษย์ปกติ (เพราะตามหลักแห่งฟิสิกส์ เวลาจริงReality Time ไม่มี ตรงกับพระพุทธองค์ทรงตรัสว่า เวลาเป็นสมมุติ) ปรากฏการจารึกบันทีกไว้ในพระไตรปิฏกที่ชาวพุทธเรียกว่า "พระพุทธเจ้าเปิดโลก" นั่นเอง


นอกจากพระพุทธองค์ได้ทรงกระทำปาฏิหารย์ทะลุมิติ ข้ามกาลเวลา(time Travel) ด้วยพระองค์เองแล้ว ยังทรงสั่งสอนถ่ายทอดวิชชาการ และวิธีปฏิบัตินี้ ให้กับพุทธบริษัทประพฤติปฏิบัติได้เช่นพระองค์ด้วย โดยพระสารีบุตรอรหันตเถรเจ้า ได้จารึกไว้ปรากฏในพระสุตันตปิฏกชื่อว่า "คัมภีร์ปฏิสัมภิทามรรค" ซึ่งจะปฏิบัติควบคู่ไปกับ "สติปัฏฐาน" จึงเรียกว่า "สติปัฏฐาน-ปฏิสัมภิทามรรค" ที่สาธุชนผู้ใฝ่ในกุศลได้เรียนรู้ สืบทอดและปฏิบัติอยู่ในขณะนี้


การเดินทางทะลุมิติ หรือท่องเที่ยวไปในจักรวาลอื่น ๆ ที่พระพุทธองค์ทรงถ่ายทอดให้พุทธบริษัทนั้นปรากฏหลักฐานในพระไตรปิฏกว่า พระภิกษุในพระพุทธศาสนามากมายหลายร้อยรูป ที่ยังไม่ได้เป็นพระอรหันต์ ก็ได้ท่องจักรวาลไปถึงพรหมโลก
 
ยกตัวอย่างพระโมคคัลลานะ ครั้งปฏิบัติสำเร็จใหม่ ๆ ได้เข้าฌานทะลุเวลา ข้ามมิติ(Time Travel) จนหลงจักรวาล ไปยังจักรวาลของพระโพธิสัตว์ โดย ไปคลานไต่อยู่ปากบาตรพระโพธิสัตว์องค์หนึ่ง(คล้ายมด...คุณคิดว่าในมิตินั้นผู้คนตัวใหญ่ขนาดไหน) พระโพธิสัตว์รูปนั้นจึงหยิบพระโมคคัลลานะขึ้นมาแล้วถามว่า ท่านมาจากไหน พระโมคคัลลาตอบว่ามาจากโลกมนุษย์ แต่ตอนนี้หลงกลับไม่ถูก พระโพธิสัตว์รูปนั้นจึงส่งพระโมคคัลลานะกลับโลกมนุษย์ให้ดังเดิม....และเรื่องของพระโมคคัลลานะนี้ ทำให้โลกมนุษย์ได้รู้จักพระโพธิสัตว์รูปนั้น ที่มีนามว่า พระอวโลกิเตศวร ปรากฏในคัมภีร์ของจีนและธิเบตมาแต่พุทธกาล ตราบเท่าปัจจุบัน




แนวทางการปฏิบัติเพื่อทะลุเวลา ข้ามมิติ(Time Travel) แทบจะเรียกได้ว่า "เป็นหลักสูตรบังคับ" ของโยคาวจรผู้ที่มุ่งสู่พระนิพพานจะต้องผ่านขั้นตอนนี้ ไม่มีข้อยกเว้น(เหมือนกับหน่วยกิตที่ต้องลง สอบไม่ผ่านไม่จบ นั่นแหละ) ขั้นตอน แนวทางการปฏิบัติเพื่อทะลุเวลา ข้ามมิติ พอสรุปได้ โดยสังเขป คือ


           1. รวมวาจาใจ เป็นหนึ่ง ต้องระลึกรู้อารมณ์ขณะรวมเป็นหนึ่งนั้นได้ เรียกว่า "สติ"

           2. รวมวาจา-ใจ ให้เป็นหนึ่งกับ กาย ให้เป็นหนึ่งเดียวกัน(เพื่อให้มีความเร็วเท่ากัน =คนขับรถ อยู่ในรถ จะมีความเร็วเท่ากับรถที่วิ่งไป) รวม Mass กับ Plasma ให้เป็นหนึ่งเดียวกัน ความเร็วของกายเท่ากับใจ (ไม่มีสิ่งใดเร็ว หรือ ไกล เกินกว่าใจจะไปถึง)





           3. ฝึก-รู้จักสร้าง แสงสว่าง ในลักษณะต่าง ๆ (กสิณ = เครื่องยังให้เกิดแสงสว่าง) เพราะในจักรวาลบางจุดมืดมิด 

           4. ฝึกการใช้แสงสว่าง และเพิ่มพลังแสงให้ได้สูงสุด(อัปปมัญญา)

            5. ฝึกสลายมวล(mass+plasma to Energy) เรียกว่า Transformation ในทางพระพุทธศาสนาเรียกว่า "ติโลกภาพ" ตอนแรกจะฝึกเดินทะลุกำแพง แทรกแผ่นดินก่อนในโลกมนุษย์ก่อน ทำได้แล้ว ผ่านแล้ว ชำนาญแล้วจึงจะข้ามมิติได้


การไปสู่โลกอนาคต ทางพระพุทธศาสนาเรียกว่า "อนาคตังสญาณ"  การย้อนเวลาสู่อดีตเรียกว่า "อตีตังสญาณ" ซึ่งที่กล่าวมานี้ เป็นบทเรียน หรือหน่วยกิต ที่โยคาวจรในพระพุทธศาสนา อันมีเป้าหมายมุ่งสู่พระนิพพาน จะต้องผ่าน และต้องทำให้ได้อีกด้วย (รายละเอียด การปฏิบัติโปรดศึกษาในพระสุตันตปิฏก ปฏิสัมภิทามรรค)


ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ จะเห็นได้ในเชิงเปรียบเทียบว่า ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์Quantum Phisic ของพระพุทธศาสนา ก้าวหน้าล้ำยุคกว่าในปัจจุบันมากมายหลายล้านเท่า จนไม่รู้จะเอาอะไรมาเปรียบ

เป็นเรื่องของความโชคดีชนิดบรมโชค ที่สาธุชนอย่างพวกเราเกิดมาเป็นชนชาติไทย มี DNA ที่บรรพบุรุษไทย อันมีใจใฝ่กุศลปฏิบัติ ได้ฝังข้อมูลพันธุกรรมให้แก่พวกเราไว้ เมื่อเราได้ศึกษา ฟังธรรม และปฏิบัติ ก็สามารถแยกแยะได้ว่า สิ่งไหนจริง สิ่งไหนเท็จ สิ่งไหนหลอกลวง เพราะRNA จะเอาสัญญานไฟฟ้า(อายตนะภายนอก) ส่งเข้าไปค้นข้อมูลใน DNA ยังไงก็เจอ เพราะบรรพบุรุษไทยเราได้ประพฤติปฏิบัติมาแล้ว และไม่มีคำว่า "ยาก" สำหรับผู้ปฏิบัติชอบ โดยสิ้นเชิง ชนิดปราศจากข้อสงสัย




ขอความสวัสดีมีโชคชัย ปรารถนาสิ่งใดอันเป็นกุศล  จงสัมฤทธิผล ตามกาลที่ในปรารถนาเทอญ   เจริญพร



https://www.facebook.com/notes/930355117007948/







Crack RNA Code By Meditation / 8








สารบัญทั้งหมดจะอยู่ทางด้านขวามือของหน้า (ทุกหน้า)

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS