อธิษฐานอย่างไรให้ได้ผล(ทบทวนอีกครั้ง) คำสอนพระอาจารย์ธรรมบาล 7 มิถุนายน 2558

ก็ ได้รับคำถามมา เหมือน ๆ กัน หลายสิบท่าน ทั้งรุ่นเก่า รุ่นใหม่ และรุ่นลายคราม ว่า

    ทำอย่างไร "อธิษฐาน" จึงจะได้ผลทุก ๆ ครั้ง 

    ที่จริง ก็ตอบไปหลายตอนแล้วเช่นกัน แต่ไม่เป็นไร ในเมื่อขยันถามก็จะ ขยันตอบ ด้วยความเต็มใจยิ่ง 




การอธิษฐาน เมื่อจะเริ่มต้น สิ่งสำคัญที่สุดคือ "การเปลี่ยนสถานะตัวเรา" นั่นคือ "การถวายชีวิต และภพชาติ เป็นพุทธบูชา" 

   คงจะมีคำถามว่า "ทำอย่างไร ? "

    คำตอบคือ " ให้ วาจา(ปาก) กับ ใจ ออกเสียงพร้อมกัน จึงกล่าวคำถวายชีวิต  มีขั้นตอน ที่ส่วนใหญ่จะ พลาด ดังนี้


1. เริ่มต้นสวดมนต์ในใจก่อน (เริ่มตรง นะโม ... ง่ายดี) อย่าเพิ่งออกเสียงทางปาก

2. เมื่อได้ยินเสียง "ใจ" ชัดเจน (หมายถึงเสียงสวดมนต์...นะโม) ก็เริ่มออกเสียงทางปาก ตามไปอย่าดังนัก กะว่าให้รู้สีกว่าได้ยินเสียง "ใจ" เราพร้อมไปด้วย

3. สวดปาก+ใจ ไปเรื่อย ๆ ไล่ไป จากนะโม ไป อิอิทโธ...แต่ละบท คอยระวังอย่าให้ปากไปก่อนใจ หรือ ใจไปก่อนปาก

4. เมื่อปาก กับ ใจ พร้อมกันอย่างแท้จริง "จะเกิดลักษณะอาการที่เรารับรู้ได้ ที่แตกต่างไป เช่น ขนลุก ง่วง หรือ หาว ฯลฯ 

 5. ลักษณะของข้อ 3 เรียกว่า "เข้าสู่ภาวะปิติ คือ ปาก กับใจ พร้อมกันจริง" ไม่ต้องสวดมนต์ต่อ แต่ให้ต่อด้วย "อิมาหัง ภัณเต ภควา อัตตะภาวัง ตุมหากัง ปริจะชามิ ... ข้าพเจ้าขอมอบกายถวายชีวิต และภพชาตินี้เป็นพุทธบูชา...(แค่นี้ สั้น ๆ พอ เพราะ ปิติที่เกิดขึ้นแรก ๆจะสั้นมาก)

  6.  หลังจากกล่าวถวายชีวิตเป็นพุทธบูชา - กล่าวคำปรารถนาอย่างยิ่ง(ที่ต้องการ) ให้ทำสมาธิต่อในทันที เสร็จจากทำสมาธิ(น้อย...มาก ไม่เป็นไร แต่ต้องทำ) จากนั้นให้ ยาเทวะตา..ขอบคุณเทพยดา ผู้รักษาพระพุทธศาสนา และผู้ประพฤติชอบ

      เป็นอันเสร็จ สมบูรณ์...

ถ้าทำได้ตามที่กล่าว ให้เริ่มสังเกตุชีวิต กิจการงานของเราได้เลยว่า สิ่งต่าง ๆ จะเปลี่ยนไปในด้านดี เรียกว่าชีวิตเปลี่ยน ไม่เกิน 3-7วัน หลังที่ทำได้อย่างนี้

หากจะถามว่า ชีวิต กิจการงาน ฯลฯ ของเราเปลี่ยนในด้านดีขึ้น แม้บางเรื่องที่เหนือธรรมชาติ ก็เป็นไปได้นั้น เกิดขึ้นได้อย่างไร ?
คำตอบก็คือ

    ในขณะที่ ปาก กับ ใจ พร้อมกันนั้น ได้เกิดลักษณะแห่งปิติ เป็นสภาวะแห่ง "พรหม" สูงกว่าเทวดา และมนุษย์ทั้งหลาย แต่มันสั้นมากจึงเรียกว่า "ปริต=ปริตารมย์" ถือว่า "เป็นพรหมขั้นต้นคือ ปริตาพรหม" 

ด้วยเหตุนี้เราจึงถวายชีวิตของเราได้ชีวิต ณ ขณะมีปิติเป็นชีวิตระดับสูง จึงถวายของสูงคือชีวิตเราขณะนั้นแก่ ชีวิตเก่า ณ ขณะเวลานั้นได้หยุดลงไป ณ เวลาปิติ 

อานิสงค์เพียงแค่ปฏิบัติได้ "ปิติ" คือ วาจา กับ ใจ ตรงกัน เมื่อถึงกาลกิริยา(ตาย) ก็จักไปบังเกิดเป็น พรหม ชื่อว่า "ปริตาพรหม" พ้นจากกามาวจรภูมิ คือ สูงกว่า มนุษย์และเทวดา เมื่อถึงกาลกิริยา(ตายจะไม่กลับมาเป็นมนุษย์หรือเทวดาอีก ยกเว้นอธิษฐานขอเกิดในกามาวจรภูมิ)

เทวดาที่มีหน้าที่ดูแลรักษาผู้ปฏิบัติชอบมิให้เกิดความลำบากทั้งปวง เมื่อได้ยินการถวายชีวิตเป็นพุทธบูชาของเรา ท่านจึงอนุโมทนาและคำกล่าวปรารถนาของเรา อารักขเทวตา จึงจัดให้ในสิ่งที่เราขาดหรือปรารถนาอย่างยิ่ง ให้เป็นจริงด้วยเทวฤทธิ์ (เพราะผู้กล่าวขอคือเรา ณ เวลานั้น มีฐานะสูงกว่าเทวดา) 

    สิ่งปรารถนาจึงปรากฏเป็นจริงได้ด้วยเหตุดังนี้
จึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่า คำตอบ และข้อแนะนำ คงเป็นเสมือนเทียนเล่มน้อย ท่ามกลางแสงตะวัน ให้ท่านทั้งหลาย ได้ปฏิบัติอย่างได้ผล ถูกต้องตามพุทธพจน์ อันปรากฏใน"สติปัฏฐาน-ปฏิสัมภิทามรรค"



ขอความเจริญผาสุข สวัสดี ก้าวหน้าในการปฏิบัติจงทั่วกันทุกท่านเทอญ  เจริญพร



คำสอนพระอาจารย์ธรรมบาล 8 มิถุนายน 2558


ความสงสัย ก่อให้เกิดคำถาม และคำถามย่อมนำไปสู่การพัฒนา ....

      ตามที่ได้ทบทวนเรื่องวิธีปฏิบัติ(อธิษฐาน ให้ได้ผล) ไปเมื่อวาน ก็มีผู้สงสัยใน ข้อ 6 (เมื่อวาน)ว่า สวดมนต์ยังไง บทไหน นี่ข้อ1 ข้อ 2 คือ เมื่อปากใจพร้อม ให้ "ถวายชีวิตเป็นพุทธบูชา" แล้วต่อด้วยการทำสมาธิ แบบไหน ? "






            ตอบข้อ 1 :: การสวดมนต์ใช้บทไหนก็ได้ ใครที่เคยสวดไง ก็สวดไป แต่สำคัญคือ ให้เสียงปาก กับเสียงใจตรงกัน ย้อนทบทวนที่เคยบรรยายไปแล้ว(ในหนังสือก็มี) คือ จะฝึกพูด ออกเสียง หรือร้องเพลงในใจก็ได้ ให้รู้สึกว่ามีเสียงใจ หรือได้ยินเสียงใจ ดังอยู่ข้างใน .... จากนั้นลองเปล่งเสียงออกทางปาก ให้พร้อมกับเสียงในใจ เมื่อเสียงสองอย่างพร้อมกันได้ทนั่นแหละ จึงมาเริ่มฝึกสวดมนต์

                       การสวมนต์ถ้าเสียงในใจนำเสียงปาก คือเริ่มจากในใจก่อน แล้วปากตาม พร้อมกันทั้งสองอย่างนี้เรียกว่า "ภวนา" (ภว=ภวังค  นา=มนัส คือใจ" ) เรียกว่า "ใจ" นำ

                            ถ้า ปากออกเสียงก่อน แล้ว "ใจ" ตาม นี้เรียกว่า "ปริต" ส่วนใหญ่จะปากไปก่อนทั้งนั้น เมื่อเสียงปากนำใจออกเสียงตามเรียกว่า "ปริกรรม"

                            นี่คือความแตกต่างระหว่าง "ปริกรรม" กับ " ภาวนา" จะเป็นมนต์บทสวดบทไหนก็ได้ แต่ที่ใช้กันก็จะเริ่มจาก นะโม ... เป็นต้นไป


                ตอบข้อ 2 :: เมื่อปากกับใจพร้อม คือ เกิด "ปิติ" ขณะนั้น ไม่ต้องสวดต่อ หมายถึงจะสวดถึงตรงไหนก็ตาม ไม่ต้องต่อ ให้ "อิมาหัง..." แล้วตามด้วย คำอธิษฐานที่เราต้องการอย่างยิ่งยวด ทันที....จากนั้นให้ทำสมาธิต่อ ใครเรียนมาสายไหน ทำแบบไหน ก็ทำไปตามนั้น เพราะยังไม่ได้เข้าถึงการทำสมาธิ จริง ๆ เวลาทำสมาธิ สำหรับคนใหม่ ๆ ไม่รู้อะไรเลย ก็ไม่ต้องนึกภาพอะไร แม้แต่แผ่นนะโม ตัวนะโม ก็ยังไม่ต้องนึก เพียงให้เรารู้ระลึก จำอารมณ์ที่เกิด ปิติ แล้วทำให้เรากล่าวถวายชีวิตนั่นไว้ให้ได้เท่านั้น พอแล้ว นี้เรียกว่า "ฝึกสติ สติ=ธรรมชาติระรึกรู้อารมณ์"


การปฏิบัติ เรียนรู้จากที่ไหนก็ได้ หากจะเอากันแค่รู้.... เพื่อไป "เม้าส์" ต่อ หรือ ไว้โชว์ว่าเป็นผู้รู้ธรรม แต่จะมีประโยชน์อันใด เพราะ
    " สิบหมื่นรู้  ยังมิเท่า หนึ่งผู้ปฏิบัติได้ผล "
    ดังนั้น  ที่นี่ จึงมุ่งเน้นที่ "ผล" ไม่ใช่ที่ "ภาพ" สอนแล้วคนเรียน ต้องเอาไปทำได้ ได้ผลจริง เพราะ "ความจริง" คือ "สัจจธรรม" เท่านั้นที่จะสืบทอดพระพุทธศาสนา
   ขอจงเจริญในธรรมทั่วกัน


 ขออนุโมทนาบุญ กับข้อสงสัย ที่สาธุชนมี ให้ได้เป็นทางสร้างความสว่าง และหนทางปฏิบัติแก่กัลยาณชน ขอกุศลนี้จงส่งผลให้เจริญก้าวหน้า ในการปฏิบัติ เทอญ
          เจริญพร

อธิษฐานให้ได้ผล (ทบทวน)


วิธีอธิษฐาน by พระอาจารย์ธรรมบาล



ว่าด้วยขั้นตอนการปฏิบัติ


  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS