1. การจัดระบบ(Orgarization) หมายถึง สิ่งมีชีวิตที่มีโครงสร้างร่างกายภายในที่ซับซ้อน ประกอบขึ้นด้วยเซลล์จำนวนมาก และเซลล์เองก็มีโครงสร้างภายในที่แยกย่อยลงไปอีก
2. กระบวนการสร้างและย่อยสลาย(Metabolism) หมายถึง สิ่งมีชีวิตบริโภคอาหาร เพื่อการเจริญเติบโต และทำกิจกรรมต่าง ๆ
3. การขยายพันธุ์(Reproduction) หมายถึง การมีลูกหลาน สืบสายพันธุ์ต่อไป
4. การตอบสนองต่อสิ่งกระตุ้นเร้า(Irrtability) หมายถึง ปฏิกริยา(อารมณ์) ที่รับจากภายนอก(ปัญจทวารวิถี) ซึ่งครอบคลุมทั้งด้านพฤติกรรม ไปจนถึงการตอบสนองของพืช(Tropisms) ด้วย
เซลล์จึงเปรียบเสมือนโรงงานอุตสาหกรรม ที่คัดลอกผลิต โดยมีพิมพ์เขียวต้นแบบ เซลล์ที่ทำหน้าที่สำคัญนี้เรียกว่า ไรโบโซม(Ribosomes) ที่สำคัญที่สุดก็คือมันจะCopy ตัวของมันเองเป็นล้านๆ จากคำสั่งเพียงคำสั่งเดียวที่ออกมาจากการถอดรหัสพิมพ์เขียวเรียกว่า เรพลิโซม(Replisomes)
จากนั้นมันจะรวมตัวจับกลุ่มเป็นก้อนเป็นชุดตามต้นแบบ นั่นคือ "โครโมโซม(Chromosomes)" หรือ "รหัสพันธุกรรม" ที่เกิดจากคำสั่ง "อารมณ์" หรือ กระแสแรงกระตุ้นของแม่เหล็กไฟฟ้าชีวภาค(Bio-Electromagnetic) ที่ทำให้RNA ถอดรหัสจากกรดอมิโนที่เรียงตัวกันอยู่ในDNA ออกมา นี่คือความมหัศจรรย์ในการทำงานที่เกิดจากการเคลื่อนไหวของ "โมเลกุล"
คราวที่แล้ว เราได้กล่าวถึงตอนที่ว่า "ชีวิตเกิดมาทำไม คำตอบคือ ชีวิต เกิดมาเพื่อแสวงหาอารมณ์ อารมณ์คือเครื่องหล่อเลี้ยง ชีวิต"
"อารมณ์ ภายนอก" ที่เข้ามากระทบที่เห็นตัวอย่างได้ง่ายที่สุดก็คือ "เสียง" ที่เรารับรู้ได้ทาง "หู" ทางอภิธรรมเรียกว่า "โสตประสาท" จริงแล้ว เสียง ไม่มีอยู่จริง ที่เราว่าได้ยินเสียง ความจริงคือการเคลื่อนที่ของ "โมเลกุล" ในอากาศ
การเคลื่อนที่ของโมเลกุลในอากาศ ยังส่งความสั่นสะเทือน ที่แตกต่างกันตามระดับความถี่ของคลื่นเสียง ซึ่งทำให้เสียงทั้งหลายแตกต่างกันไปตามคลื่นความถี่นั้น ๆ การที่เราได้ยิน ก็เกิดจากโมเลกุลในอากาศที่เคลื่อนไหว กระทบกับโมเลกุลภายในส่วนที่ทำหน้าที่สัมผัสของอวัยวะส่วนหู
ตัวอย่างการใช้คลื่นความถี่สูงมีประโยชน์มากๆ ในวงการแพทย์ไทย เรารู้จักกันดีกับคำว่า อัลตราซาวน์ ซึ่งเอามาใช้ในการตรวจวินิจฉัยโรคต่างๆ เช่น คุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ก็จะไปตรวจเพศของลูกในครรภ์ หรือใช้ตรวจหลอดเลือด ซึ่งใช้ได้กับทุกส่วนในร่างกายและมีความแม่นยำสูง สามารถทำได้หลายครั้ง เพราะมีความปลอดภัย ไม่ก่อให้เกิดอันตรายจากรังสีด้วย
ในส่วนของคลื่นความถี่ต่ำ ทหารเรือมักจะใช้ในการสื่อสารระยะไกล แต่ถ้าไม่บอกก็ไม่รู้ว่าถ้าได้รับเกินความจำเป็นนั้นเป็นอันตรายถึงชีวิตด้วยเหมือนกัน ซึ่งในศตวรรษที่ 18 ได้มีการวิจัยไว้ว่า คลื่นชนิดนี้สามารถนำมาใช้เป็นอาวุธปราบปรามจลาจล เช่น ในฝรั่งเศส กับ ญี่ปุ่น โดยทหารจะยิงคลื่นเสียงอินฟราโซนิคที่กลุ่มฝูงชน คลื่นเสียงจะไปกระตุ้นการทำงานของสมอง เนื่องจากคลื่นถี่ต่ำจะมีผลต่อระบบประสาทโดยตรง ทำให้เหยื่ออุจจาระออกมาโดยไม่รู้ตัว
นอกจากนี้แล้วคลื่นอินฟราโซนิคยังส่งผลทำให้เกิดความมึนงง กล้ามเนื้อกระตุก อยากอาเจียน จนอาจถึงขั้นสลบได้ ดังนั้นคลื่นความถี่ต่ำนั้นก็เปรียบเสมือนอาวุธชนิดหนึ่ง แต่วิธีการช่างล้ำเลิศและลึกซึ้งมาก เพราะเป็นอาวุธที่เราจะไม่รู้เลยว่าคลื่นเสียงมันจะมาตอนไหน เนื่องจากความถี่ต่ำเราจึงไม่ได้ยินเสียง กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็ขี้แตกไปแล้ว !!!
ตัวอย่างสังเขป คลื่นความถี่ กับผลกระทบต่อร่างกายมนุษย์
7 Hz เป็นคลื่นระดับเดียวกับคลื่นสมอง (alpha brain wave) ถือว่าเป็นระดับความถี่ที่อันตรายที่สุด มีผลกระทบต่ออวัยวะมากที่สุด ทำให้ฉีกขาดได้ ถ้าร่างกายอยู่ในคลื่นความถี่นี้นานๆ อาจถึงแก่ชีวิตเลยทีเดียว
1 - 10 Hz เป็นความถี่ที่ส่งผลกระทบต่อระบบประสาทร่างกายและสมอง ดังนั้นสมองจะถูกบล็อก และถูกทำลาย ทำให้มึนๆ งงๆ และอาจส่งผลต่อระบบอื่นๆ ของร่างกายด้วย
43 - 73 Hz มีผลให้ขาดสติ การทำงานของสมองลดลง (IQ ลดลง 77%) หายใจไม่ปกติ มีปัญหาในการสื่อสาร
50 - 100 Hz อึดอัด เกิดอาการอกสั่น ลำไส้และระบบขับถ่ายปั่นป่วน เกิดอาการคลื่นไส้ มึนงง
ทั้งหมดนี้ เรียกโดยรวมก็คือ เกิดจากคลื่นเสียง แต่หากจะกล่าวให้ลึกลงไป นั่นคือ พลังที่ผลักให้โมเลกุล ทั้งในอากาศ และ เซลล์ในร่างกายมนุษย์
เปลี่ยนแปลง ถึงกับเป็นอันตรายถึงตายได้ และ คลื่นเสียงยังสามารถสร้างความพินาศเช่น Sonic Boom หรือ การใช้คลื่นเสียงสร้างแผ่นดินไหวเป็นต้น
เสียง เป็นสิ่งที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า หรือ แม้จะส่องกล้องใด ๆ ก็ไม่เห็น แต่คลื่นของเสียงกลับมีพลังยิ่ง สามารถใช้เป็นอาวุธทำลายล้างภูเขา ตึกรามบ้านช่องให้สลายไปในพริบตา นั่นคือ คลื่นที่ทำให้เกิดการเคลื่อน หรือ เปลี่ยนแปลง ของอานุภาคแห่งโมเลกุล นั้น
ซึ่งอันที่จริงแล้วโดยทางพระพุทธศาสนาปรากฏในพระอภิธรรมปิฏก ได้กำหนดให้เสียง เป็นวัตถุธาตุชนิดหนึ่ง ถ้ามาจากมนุษย์ คือ เสียงมนุษย์(คำพูด) จัดว่าเป็น "ปถวี(ธาตุดิน)" และด้วยเหตุดั่งนี้ จึงเป็นคำตอบในชั้นนี้ว่า เหตุได ไฉนหนอ จึงต้องมีการสวดมนต์ ที่ต้องใช้เสียงประกอบพิธีกรรม ซึ่งมักมีคำกล่าวว่า สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงสิ่งต่าง ๆ ได้
คำถามจึงอยู่ที่ว่า "เสียง" จะสามารถเปลี่ยนแปลง ชีวิต สรรพสิ่ง หรือ ธรรมชาติที่เป็นอยู่ได้จริง หรือ ไม่? เราจะได้พิสูจน์ทราบ ร่วมรับรู้กันใน ตอนต่อไป ถึงความก้าวหน้าของพระพุทธศาสนา ว่าล้ำหน้ากว่าทางวิทยาการ Quantum Physic ขนาดไหน
ด้วยพลานุภาพแห่งพุทธคุณ ดลบันดาลให้สาธุชนผู้ใฝ่ในกุศล ปฏิบัติชอบในแนวทางแห่ง "สติปัฏฐาน-ปฏิสัมภิทามรรค" จงพบแต่ความเจริญในชีวิต ครอบครัว กิจการงาน ก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรมเทอญ ...เจริญพร
Crack RNA Code By Meditation / 6
สารบัญทั้งหมดจะอยู่ทางด้านขวามือของหน้า (ทุกหน้า)