ใช้ " ภาพ-เสียง " ทำสมาธิ มีตรงไหน ในพระไตรปิฎก






ในยุคปัจจุบันผู้คนทั้งหลาย ต่างยินยอมพร้อมใจ "เชื่อ" และ "ยอมรับ ในสิ่งที่เห็น และ สำผัสโดยไม่ต้องมีคำอธิบาย" ว่า โลกเจริญก้าวหน้าด้วยเทคโนโลยีล้ำยุค นำสมัย ส่วนจะแค่ไหนขึ้นอยู่กับว่าใคร อยู่ใกล้สื่อชนิดไหนที่รับข้อมูลเข้าสู่สมองมากกว่ากัน ก็จะปักใจเชื่อมั่นในสิ่งที่ได้เห็น ได้ยิน จนมิอาจเปลี่ยนแปลง และนำมาประพฤติ ปฏิบัติ กลายเป็นธรรมชาติ นิสัย และพฤติกรรม

       และด้วยเหตุดังกล่าวนี้ สิ่งใดที่ไม่่่ตรงกับสิ่งที่ตนได้รับมา ก็จะกลายเป็นข้อขัดแย้ง หรือ อุปสรรค ขวางกั้นหนทางดำเนินไปสู่ความสำเร็จ และเป้าประสงค์สูงสุดของชีวิต ในที่สุด

       ในความสับสนของสังคมHi-Tech ที่เปลี่ยนวิถีการดำเนินชีวิตของมนุษย์ไป จนหลายๆ ท่านส่วนใหญ่ก็สงสัยว่า "ตัวเองยังคงความเป็นมนุษย์ อยู่หรือเปล่า ?" การดำเนินชีวิต และความเป็นอยู่ ล้วนขึ้นอยู่กับ คำว่า "เป็นไปตามกระแส" ไม่ได้เป็นตัวของตัวเอง ไม่มีีีเด็ก ไม่มีผู้ใหญ่ ไม่มีวัยอาวุโส สังคมแปรเปลี่ยน ครอบครัวห่างเหิน ชีวิตเพียงให้ "อยู่รอด และ ยอมรับ" ดุจเรือที่ลอยเคว้งคว้างกลางทะเล ไร้จุดหมาย ไร้ทิศทาง เพียงปล่อยไปตามยถากรรม นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้น และเป็นอยู่ในโลกยุคปัจจุบัน ที่กำลังเป็นอยู่ และเป็นไปแบบไร้ทิศทาง แต่..แต่..ทกรูปนามในยุคนี้ต้องยอมรับ ไม่งั้นก็กลายเป็น "พวกตกTrain" อยู่ในสังคมเขาไม่ได้...

ในส่วนของศาสนาก็เช่นกัน โดยเฉพาะพระพุทธศาสนา ที่พระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ตรัสรู้เผยแผ่แก่พุทธบริษัท สาธุชนทั้งหลาย ด้วย "ธรรมและวินัย อันตถาคตตรัสไว้ดีแล้ว" ได้ผ่านกาลเวลามาเกือบ 2,600 ปี ข้อวัตรปฏิบัติอันจริงแท้และได้ผลพิสูจน์ทราบ ก็เลือนหายไปตามกาลเวลา ยิ่งมาถึงยุคนี้ การปฏิบัติเพื่อให้ปรากฏผลจริงตามที่พระพุทธองค์ทรงรับรองไว้กลับไม่มีให้เห็น ต่างปฏิบัติกันไปตามแต่บุญแต่กรรม "เพียงแค่ได้ทำ...ได้ดีใจ...ได้ปลื้มใจ" และก็รับเอาว่า "นั่นแหละใช่ นั่นแหละถูกต้อง" แต่กลับไม่สามารถปลดเปลื้องทุกข์หยาบ ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตตนเองได้จริง เช่น หนี้สิน ซึ่งเป็นเรื่องทุกข์หยาบๆ เรียกว่า "หนี้กู้" ปฏิบัติแล้วก็ยังไม่อาจหลุดจากหนี้ ทั้ง ๆ ที่เป็นสิ่งที่จับต้องได้ แต่กลับถูกเบี่ยงเบนเป้าหมายให้มองข้ามช๊อท โน่น..คิดจะไปนิพพาน ทุกข์หยาบๆ อย่างหนี้ยังหลุดพ้นไม่ได้ จะไปหลุดพ้นทุกข์ละเอียด เหมือนชั้นประถมยังไม่ผ่าน

อักขระพยัญชนะยังเชียนไม่ได้ อ่านไม่ออก บอกจะรับปริญญาเอก จะจบด๊อกเตอร์ แต่ก็เชื่อกัน พากันไปทำ หาเหตุผลอธิบายไม่ได้ นี่คือ สิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันของวงการศาสนา และ นักปฏิบัติ เหมือนกับคนขับรถไม่รู้จักเส้นทาง แต่รับผู้โดยสารขึ้นไปเต็มคัน...แล้วจะถึงเป้าหมายที่ว่านั้นหรือไม่ ?
            มาถึงการปฏิบัติ เพื่อไปสู่ความสำเร็จ ที่พิสูจน์สัมผัสแตะต้องได้ตามหลักพระพุทธศาสนา ที่เลอะเลือนไปตามการเวลา ยกตัวอย่างเรื่อง "การใช้เสียงทำสมาธิ" แน่นอน ท่านที่เป็นนักปฏิบัติประเภทอินเดียน่า โจนส์ คือ ล่าอาจารย์ ไปทุกสำนัก รู้หมด วัดไหนดัง วัดไหนปฏิบัติอย่างไร พระอภิธรรม ก็เรียนรู้ท่องได้ทุกตัว บาลีแปลได้ทุกอักขระ พอกล่าวว่า "พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า...ต้องใช้เสียงในการกำหนดทำสมาธิ..." พวกนี้ก็จะบอกว่า ไม่จริงหรอก..เพราะสมาธิต้องสงบ จะใช้เสียงไม่ได้ ไม่ยังงั้นพระพุทธองค์คงไม่ให้ผู้ปฏิบัติปลีกวิเวก(วิเวก=สงบ) หากจะมีก็จะเป็นพวกสายมหายาน ธิเบต ญี่ปุ่น หรือ จีน ที่นั่งเคาะไม้ เคาะระฆัง เป่าแตร และทำสมาธิไป มันไม่ใช่หนทาง...นอกพุทธพจน์ นอกพระไตรปิฏก...เค้าก็จะกล่าวอย่างนั้น  คำถามจึงเกิดขึ้นในใจ ของผู้ที่เดินเข้ามาสู่มิติแห่งพุทธวิถี "สติปัฏฐาน-ปฏิสัมภิทามรรค" ว่าเดินมาถูกทางแล้วละหรือ ?





และนี่แหละ คือประเด็นที่จะต้องกล่าวถึงอย่างชนิดให้ Clear Cut แบบไม่ให้เกิดข้อวิพากษ์ สามารถพิสูจน์ผล และแหล่งที่มาของข้อมูล อันสาธุชนผู้ใฝ่ปฏิบัติชอบทุกท่าน จะได้นำไปค้นคว้า ศึกษา ปฏิบัติ ให้ได้ผลจริงสืบไป

       พระสัมมาสัมพุทธเจ้า บรมศาสดาแห่งพระพุทธศาสนา ได้ทรงเผยแผ่ สั่งสอนพุทธบริษัท ให้ปฏิบัติตามพุทธวิถี “สติปัฏฐาน-ปฏิสัมภิทามรรค” เพื่อให้เข้าถึงซึ่ง “สัจจธรรม=การดำรงสภาพอย่างจริงแท้ โดยไม่อาศัยมหาภูตรูป๔ (ธาตุทั้ง๔) “ อันเราท่านรู้จักกันดีในศัพท์ว่า “พระนิพพาน”
         แน่นอน เสียยิ่งกว่าคำว่า “แน่นอนที่สุด” ก็คือ ในยุคปัจจุบันในสายตา “คน” ทั่วไป จะมอง ผู้ที่เข้ามาศึกษา ปฏิบัติธรรมในทางพระพุทธศาสนา ว่าเป็น “พวกคร่ำครึ...หัวโบราณ ... ไม่ทันสมัย.... หลุดมิติ...ฯลฯ” สารพัด
         แต่เขาเหล่านั้นหารู้ไม่ว่า วิทยาการอันพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ทรงตรัสรู้และเผยแผ่นั้น เป็นวิทยาการPhysic ระดับสูง  ที่นักวิทยาศาสตร์ อัจฉริยะทางQuantum Physic ยุคปัจจุบันที่ว่าเจริญก้าวหน้า ยังไม่อาจตามทันแม้เพียงองคุลี
         เมื่อสาธุชนทุกท่าน ได้ศึกษาข้อมูลนี้ ซึ่งเป็นเพียงน้อยนิดดุจเม็ดกรวดที่กองอยู่เชิงเขา แม้กระนั้นท่านก็จะมีความภาคภูมิใจ ที่ได้รับรู้ รับเรียน และศึกษา วิทยาการของพระพุทธศาสนา อันล้ำหน้า และมีคำอธิบาย ในเหตุ และผลทางPhysic สามารถพิสูจน์ได้อย่างเป็นรูปธรรม ทดสอบ ทดลอง ให้เห็นจริงได้โดยไม่จำกัดกาล และ สถานที่ โดยเฉพาะจะเข้าใจลึกซึ่ง ที่สามารถอธิบายในเชิงวิทยาศาสตร์ฟิสิกส์ ถึงคำว่า “นิพพาน” ได้อย่างแจ่มแจ้ง ดุจแสงอาทิตย์บนท้องฟ้าที่ไร้เมฆ นั้นเทียว

เรากลับมายังเรื่องที่ค้างไว้ในหัวข้อ “เสียง กับ การทำสมาธิ” เริ่มกันตรงเรื่อง “เสียง” ให้เข้าใจเสียก่อนว่า คืออะไร เกิดขึ้น และ มีที่มาอย่างไร เพื่อจะได้นำไปใช้ประกอบข้อมูล ที่จะกล่าวอธิบายข้างหน้าจะได้ไม่สับสน

“เสียง”  เกิดจากการเคลื่อนของโมเลกุล ที่ถูกคลื่นความถี่แม่เหล็กไฟฟ้า(Electromegnatic) ผลักให้เคลื่อนที่ไป เมื่อกระทบอวัยวะของการได้ยินที่เราเรียกว่า “หู” ก็จะส่งผ่านสัญญาณความถี่นั้น ขึ้นสู่สมองให้ Decode หรือ เทียบเคียงกับข้อมูลที่มีอยู่แล้ว ประมวลผลออกมาว่าคืออะไร นี่คือ ธรรมชาติของเสียงที่เราได้ยิน






เสียง” ไม่ใช่มีเฉพาะที่เราได้ยินเท่านั้น ยังมีคลื่นเสียงที่เราไม่อาจสัมผัสรับรู้ได้อีกมากมายหลายล้านชนิด  ซึ่งปัจจุบันวิทยาการก้าวหน้า “เสียง” ได้ถูกนำมาใช้ในวงการแพทย์เพื่อการรักษาโรค และในทางทหารก็ได้นำไปใช้อย่างมากมาย ปัจจัยสำคัญคือ “การสร้างคลื่นความถี่ ที่สามารถผลักให้โมเลกุลเคลื่อนที่ไปตามทิศทางที่ต้องการ”
                                             
สิ่งที่เป็นปัจจัยสำคัญที่สุดของการทำให้เกิดเสียง คือ “โมเลกุล ดังนั้นเราจึงต้องมาทำความรู้จัก “โมเลกุล” กันเสียก่อนว่า คืออะไร ?

ในทุกสรรพสิ่ง ทั้งที่มองเห็นและมองไม่เห็นเช่นอากาศ หรือก๊าซ ล้วนประกอบเรียงร้อยดุจตาข่ายสายโซ่ ผูกพันกันชนิดหาต้นปลายมิได้ หน่วยมวลอันก่อให้เกิดสภาวะเกาะเกี่ยวเป็นหนึ่งกันนี้เรียกว่า"โมเลกุล"





 เมื่อแบ่งสารออกเป็นหน่วยย่อยที่ว่าเล็กที่สุด โดยแต่ละหน่วยคงสมบัติเดิมไว้ เรียกว่า  "อะตอม(สำเนียงกรีกซึ่งเพี้ยนมาจากบาลีว่า อัตตา) " สารใดที่ประกอบด้วยอะตอมของธาตุเดียวกันทั้งหมด เรียกว่า "ธาตุ" (ทางพระพุทธศาสนาแบ่งออกเป็น4หมวดใหญ่ๆ เรียกว่า"มหาภูตรูป4 หรือ ธาตุทั้ง4 คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ) แต่ถ้าประกอบด้วยอะตอมของธาตุต่างชนิดกัน เรียกว่า "สารประกอบ"  เช่น “น้ำ





อะตอมของธาตุมักไม่อยู่ตามลำพัง แต่จะรวมกันอย่างมีระเบียบจะเกิดเป็น โมเลกุลของธาตุ ยกเว้นธาตุที่มองไม่เห็น เป็นก๊าซเฉื่อยสามารถอยู่อย่างอิสระได้ เช่น He, Ne, Ar, Xe และ Rn ถ้าเป็นอะตอมของธาตุต่างชนิดกันมารวมตัวกันก็จะเกิดเป็น โมเลกุลของสารประกอบ

           ดังนั้น โมเลกุล จึงหมายถึง อะตอมของธาตุตั้งแต่ 1 อะตอมขึ้นไป ซึ่งอาจเป็นอะตอมของสารชนิดเดียวกันหรือต่างชนิดก็ได้ ที่มารวมตัวกันอย่างเป็นระเบียบ จะโดยปฏิกริยาใดก็ตาม


โมเลกุล ยังไม่ใช่ส่วนที่เล็กที่สุด เพราะโมเลกุล นั้นยังประกอบไปด้วยอะตอม





        ในแต่ละวัตถุธาตุที่เรามองเห็น จะประกอบด้วยโครงสร้างที่จับตัวอยู่อย่างสลับซับซ้อน

โครงสร้างผลึก (Crystal Structure) จะประกอบด้วยหน่วยเซลล์ (Unit Cells) เป็นจำนวนมากในแต่ละหน่วยเซลล์ จะประกอบด้วยอะตอม (Atom) ที่มีจำนวนมากน้อยต่างกัน ตามลักษณะโครงสร้างแต่ละแบบ และในแต่ละอะตอม จะมีพลังของการยึดเหนี่ยวระหว่าง โปรตอน (Protons) และนิวตรอน (Neutron) จับตัวกันเป็นนิวเคลียส (Nucleus) อยู่ตรงกลางซึ่งมีขนาดเล็กมาก





อะตอม (Atom) คืออนุภาคที่เล็กที่สุดของธาตุ ซึ่งไม่สามารถแบ่งแยกด้วยวิธีการใด ๆ ธาตุทุกชนิดประกอบด้วยอะตอมจำนวนมาก ซึ่งอะตอมเหล่านี้ประกอบด้วย อนุภาคที่เล็กที่สุดลงไปอีก เรียกว่าโปรตอน (Proton) นิวตรอน (Neutron) และอิเล็กตรอน (Electron) โปรตอนและนิวตรอนจะประกอบกันอยู่กึ่งกลางอะตอมเรียกว่า นิวเคลียส (Nucleus) ส่วนอิเล็กตรอนที่เคลื่อนที่อยู่ตามวงโคจรรอบ ๆ นิวเคลียส โดยอิเล็กตรอนที่ประจุไฟฟ้าลบ โปรตอนเป็นประจุไฟฟ้าบวก และนิวตรอนเป็นประจุไฟฟ้ากลาง เมื่ออะตอมเป็นอิสระ จำนวนโปรตอนจะเท่ากับจำนวนอิเล็กตรอน น้ำหนักของอะตอมจะเท่ากับน้ำหนักของโปรตอนกับนิวตรอน ส่วนจำนวนโปรตอนหรืออิเล็กตรอนที่อยู่ในอะตอมที่เรียกว่า Atomic Number เช่น C = 6 หมายถึงคาร์บอน 1 อะตอมหนักเป็น 6 เท่าของโฮโดรเจน 1 อะตอม เป็นค่าของนำหนักอะตอม (Atomic Weight)



นี่แค่เรื่องกำเนิดที่มาของ "เสียง" จะเห็นได้ว่าเป็นเรื่องของPhysic จุดสำคัญที่จะชี้ให้เห็นเป็นวิทยาศาสตร์ก็คือ "เสียงก่อให้เกิดการเคลื่อนของโมเลกุล" DNA ของสิ่งมีชีวิตรวมทั้งมนุษย์ก็ประกอบด้วย โมเลกุล ย่อมเคลื่อนที่แปรเปลี่ยนไปตามคลื่นความถี่ของเสียง และนี่แหละ คือที่มาของคำว่า "ปริกรรม(บริกรรม)" หรือ ภาษาบ้าน ๆ เรียกว่า "การสวดมนต์" ที่ต้องใช้ "เสียง" จึงมีความสำคัญ ส่วนจะสำคัญอย่างไร ? และความแตกต่างของการ "ท่องหนังสือสวดมนต์" หรือ สวดปาว ๆๆ เหมือนเณรบวชใหม่ กับสวด "เสียง" ตามอักขระ พยัญชนะ ที่ได้รังสรรมาในคัมภีร์ อย่างถูกต้อง  ให้ผลต่างกันอย่างไร ก็ต้องยกยอดไปอธิบายในคราวหน้า

ด้วยอำนาจพลังแห่งคุณพระศรีรัตนตรัย อันมีพุทธานุภาพเป็นเบื้องต้น ขอจงบังเกิดเป็นศุภผล ให้สาธุชนผู้ใฝ่ปฏิบัติชอบทุกท่าน เจริญก้าวหน้าในธรรม และการปฏิบัติ สมปรารถนาในสิ่งอันเป็นกุศล ทุกประการ ถ้วนทั่วกันทุกท่านเทอญ ฯ

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

พลังแห่งพุทธคุณ

วันนี้มีเรื่องเล่าเล็ก ๆ มาเล่าให้สาธุชนได้ฟังกัน คือเรื่องของ "พลังแห่งพุทธคุณ"




 พลังแห่งพุทธคุณนี้ ตามศัพท์บาลีเรียกว่า "อานุภาเวนะ" ไทยเราเรียกว่า "อานุภาพ" ทางวิทยาศาสตร์เรียกว่า " Super  Energy" หรือ "Super Power" อธิบายง่าย ๆ ก็มีลักษณะคล้ายคลื่นวิทยุ ทีวี WiFi หรือ พลังแสงอาทิตย์ ที่เรารู้จักกัน แต่สำคัญที่ตรงที่จะนำมาใช้ให้เป็นประโยชน์จริงได้อย่างไร

พลังเหล่านี้เรามองไม่เห็น แต่รู้ว่ามีอยู่ ในทางอภิธรรมเรียกว่า "อนิทัสสนสปติ" คือ "รู้ว่ามี แต่มองไม่เห็น" ดังนั้นการจะนำมาใช้ได้จริง จึงต้องมีการสร้างวงจร ที่ถูกต้อง ให้สามารถรับกระแสพลังนั้น ๆ เพื่อนำมาใช้ประโยชน์ได้จริง คือ ถ้าเป็นวิทยุ ก็ต้องลองเปิดมีเสียง ทีวี ก็ต้องมีภาพ WiFi ก็ต้องขึ้นNetได้ หรือ Solar Cell ก็ต้องเปิดไฟติด เป็นต้น





พุทธคุณ หรือ พุทธานุภาพ ก็เช่นกัน ก็มีวิธี และสูตร วิธีเฉพาะ ที่จะ "รับ" และ "นำมาแสดงผลได้" คล้ายกับการต่อวงจรอีเล็คโทรนิค ซึ่งเราจะเห็นจากการผสมมวลสาร แร่ธาตุ ฯลฯ ที่ได้ถูกกำหนดไว้เฉพาะ ว่าจะให้รับคลื่นแบบไหน แสดงผลในลักษณะใด เช่นแบบอยู่ยงคงกระพัน ยิงไม่ออก ฟันไม่เข้า ก็จะใช้มวลสารอย่างหนึ่ง แบบเมตตามหานิยม ค้าขายดี มีโชคลาภร่ำรวย ก็อีกแบบหนึ่ง จะไม่เหมือนกัน อย่างกะวงจรวิทยุ มีแต่เสียงรับภาพไม่ได้ ยังงั้นแหละ

นอกจากนั้น บูรพาจารย์จะต้องอัญเชิญพลังพุทธานุภาพลงไป เหมือนกับใส่หมายเลขลง Sim แต่ละ Pro ก็จะมีรหัสกำกับ เพื่อเปิดใช้งาน เหมือนเปิด Sim เรียกว่า "คาถากำกับ" ซึ่งจะมีควบคู่กันไป ไม่งั้นก็จะไม่เกิดผลใด ๆ ซึ่งทั้งนี้ทั้งนั้น ถ้า Simหาย หรือเครื่องเสียก็ใช้รับสัญญาณไม่ได้ ฉันใดก็ฉันนั้น เราเรียกสิ่งนี้ว่า "วัตถุมงคล" นั่นเอง หมายถึงต้องมีวัตถุเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวนำคลื่นพุทธานุภาพ





แต่วิธีที่ถาวร สามารถนำพุทธคุณ หรือ พุทธานุภาพ มาใช้ได้โดยไม่จำกัดกาล และสถานที่ คือใช้ได้ทุกเมื่อที่ปรารถนา นั่นก็คือ วิธีปฏิบัติตามพุทธวิถี "สติปัฏฐาน-ปฏิสัมภิทามรรค" นั่นคือการเปลี่ยนชีวิตเราทั้งชีวิตร่างกาย จิต วิญญาณ ประสานเป็นหนึ่งเดียวในกระแสพุทธานุภาพ ซึ่งอานิสงค์แห่งการปฏิบัติชอบในพุทธวิถี ย่อมนำพาสิ่งปรารถนาอันเป็นกุศล ขจัดปัดทุกกายใจ ให้หลุดพ้น ไปจากชีวิต โดยสิ้นเชิง เอาแค่ข้อแรกของการปฏิบัติตามพุทธวิถี "สติปัฏฐาน-ปฏิสัมภิทามรรค" คือ "สัจจะ" อันประกอบพร้อมด้วยวาจา+ใจ ถวายชีวิตเป็นพุทธบูชา คือ "การน้อมนำพลังแห่งพุทธานุภาพเข้ามาในชีวิตเรา แค่นี้ ก็มีพลังสุดๆ เพราะ "สัจจะ เป็นอริยศีล" มีพลังยิ่งสำหรับสาธุชน พระพุทธองค์ทรงตรัสรับรองไว้ชัดเจนว่า " สีเลนะ สุขะติงยันติ สีเลนะ โภคะสัมปทา สีเลนะ นิพพุติงยันติ ฯ คือ แค่เริ่มปฏิบัติ ก็ไดรับความสุข สมบูรณ์ด้วยลาภโชค โภคทรัพย์ และมีพระนิพพานเป็นที่สุด





ขอความเจริญในธรรม ก้าวหน้าในการปฏิบัติ สมปรารถนาในสิ่งอันเป็นกุศลโดยพลัน แก่สาธุชนทุกท่าน ถ้วนทั่วกันเทอญ

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS