Crack RNA Code By Meditation / 7 (คำสอนพระอาจารย์ธรรมบาล 19 มิถุนายน 2558)

Crack RNA Code-Part 7


  
   วิทยาการในมนุษยภูมินี้ จะแบ่งออกเป็นสองประเภทคือ ประเภทหนึ่งสร้างสรรค์ และอีกประเภทหนึ่งคือ ทำลายล้าง การพัฒนาของประเภททำลายล้าง ก็จะสร้างสรรสารพัดสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นอาวุธ หรือ อะไรก็แล้วแต่ คิดค้นขึ้นมาเพื่อให้เกิดการเสียหาย พินาศวอดวาย ทั้งชีวิตแลทรัพย์สินให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ และเป็นไปเพื่อผลประโยชน์ที่จะพึงมีพึงได้จากการสูญเสียที่เขาได้สร้างขึ้นนั้น และทั้งหมดที่เขาพัฒนาภายนอกชีวิต นั่นคือ "วัตถุ"
     
      ในประเภทที่สร้างสรร ก็จะมุ่งเข้าสู่เส้นทางที่นำมาซึ่งความสุข มองหาหนทาง ที่จะช่วยเหลือมนุษยชาติ ให้พ้นจากความทุกข์ ความสูญเสีย และการพลัดพราก มีความเมตตาเป็นที่ตั้ง ไม่หวังผลประโยชน์ใด ๆ จากการให้ มุ่งพัฒนาธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม อยู่ร่วมกับสรรพสิ่งทั้งหลายอย่างมีความสุข เพราะปราศจากความคิดทำลายล้าง และทั้งหมดคือการมุ่งพัฒนาจากภายในของชีวิต นั่นคือ "ใจ" ทำอย่างไรให้ใจเป็นสุข จึงตรงข้ามกับฝ่ายวัตถุ
      คราวที่แล้วได้กล่าวถึงเรื่องของ "เสียง" ซึ่งได้ถูกพัฒนาให้เป็นอาวุธที่ใช้ในการทำลายล้างและสังหาร และควบคุม สั่งการ เปลี่ยนพฤติกรรมมนุษย์ให้กลายเป็นหุ่นยนต์(Change Humankind) มาแล้ว 

       ในทางพระพุทธศาสนา เข้าถึงความจริงของ "คลื่นเสียง" มาก่อนนักวิทยาศาสตร์ปัจจุบันมากมายชนิดเทียบกันไม่ติด แถมตรงกันข้ามเหมือนฟ้ากับเหว เพราะนอกจากจะไม่นำไปในทางทำลาย ทางพุทธศาสนานำมาใช้ในการเปลี่ยนสภาวะ สถานะ ของมนุษย์ และdesofเหตุการณ์อนาคต ได้ตามปรารถนา โดยอาศัย "กฏแห่งสมมุติ" (ปัจจุบันคือฟิสิกส์สาขาQuantum) ประกอบกระบวนการ RNA ให้แปร กำหนด และ ส่งต่อข้อมูล ได้
            ก่อนเราจะไปถึงตรงนั้น เรามาทำความรู้จักกับอวัยวะอันทำให้ได้ยินเสียง เรียกว่า "หู"    หูของคนเรานั้นแบ่งออกเป็น ๓ ตอนด้วยกัน คือ หูส่วนนอก (Exteral ear) หูส่วนกลาง (Midle ear) หูส่วนใน (Inner ear) หูส่วนนอกประกอบด้วยใบหู มีรูหูที่คลื่นเสียงจะเข้าไปยังแก้วหู ระหว่างหูส่วนกลางกับหูส่วนในมี เยื่อ(Memlrane) อยู่สองเยื่อคั่น เยื่อหนึ่งต่อกับแก้วหูโดยอาศัยกระดูกเล็ก ๆ ๓ ชิ้น เพื่อจะได้กระเทือนต่อ ๆ กัน คือ ชิ้นหนึ่ง เรียกว่า กระดูกรูปค้อน (Malleus) ซึ่งอยู่ติดกับแก้วหู ชิ้นที่ ๒ เรียกว่า กระดูกรูปทั่ง (Ibncus) ชิ้นที่ ๓ เรียกว่า กระดูกรูปโกลน (stapes) กระดูกชิ้นนี้จ่ออยู่ตรงรูของหูตอนใน ซึ่งจะทำการถ่ายทอดการสั่นสะเทือนไปยังกระดูกซึ่งเป็นผนังส่วนใน

             อวัยวะของหูส่วนในนั้น มีความพิสดารมาก เพราะเป็นอวัยวะที่สำคัญสำหรับการทำให้เกิดการได้ยิน เพราะมีประสาทสำหรับการได้ยิน ภายในจึงคดเคี้ยว และซับซ้อน
           คลื่นของเสียงจะทำให้โมเลกุลเคลื่อนตัวกระทบกับเยื่อในแก้วหูให้สั่นด้วยความถี่ต่างๆ กัน และความถี่ที่ว่านี้ก็เท่า ๆ กับความถี่ของเสียง การสั่นนี้ถูกถ่ายทอดส่งต่อไปยังหูส่วนในโดยผ่านกระดูกเล็ก ๆ หลายชิ้นในส่วนกลาง แล้วการสั่นนี้จะไปกระตุ้นให้RNA ทำกระบวนการแปรรหัส ถอดรหัส และส่งผ่านทางประสาท ขึ้นไปสู่สมอง ทำให้เกิดการได้ยินเสียง

           ในทางพระพุทธศาสนาส่วนอภิธรรมเมื่อ2558 ปีมาแล้ว ได้สั่งสอนวิทยาการที่ลงลึกถึงแก่นแกน อย่างชนิดสามารถแยกแยะผลกระทบของElectromagnetric ที่ผลักดันโมเลกุลให้เคลื่อนไหวกลายเป็นคลื่นเสียง ลึกซึ้งกว่าวิทยาศาสตร์ในยุคปัจจุบัน ได้อย่างละเอียดและเป็นขั้นตอน ทั้งยังได้บันทึกไว้เป็นหลักฐานปรากฏเป็นส่วนสำคัญของพระพุทธศาสนา อันเรียกว่า "อภิธรรมปิฏก" ว่า

           โมหะ หรือ อวิชชาจะเกิดจากที่ตรง “ได้ยิน” เพราะเมื่อเสียงมากระทบกับจิตที่ประสาทหูแล้ว จะต้องได้ยินอย่างแน่นอน “ได้ยิน” จึงมี จริง ๆ แล้วเป็นสมมุติเป็น นามจิต และ เป็นปรมัตถ์ด้วย แต่บุคคลทั้งหลายหาได้เข้าใจเช่นนี้ไม่ กลับสร้างมโนภาพขึ้นแล้วก็หลงใหลในมโนภาพของตนเอง ทำให้เกิด โลภะ โทสะ โมหะ ขึ้นมาโดยมิได้รู้สึกตัวแท้จริงแต่มีเสียงสูง ๆ ต่ำ ๆ อันเป็นรูปธรรม กับจิตได้ยิน อันเป็นนามธรรม หรือจะพูดว่า มีแต่เหตุกับผล หรือมีแต่รูปกับนามเท่านั้นเอง

       พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเน้นในเรื่องสำคัญที่สุดของชีวิต พร้อมทั้งนี้แนะแนวทางเอาไว้ให้ด้วยว่าจะแก้ปัญหา คือ ทำลายโมหะหรืออวิชชา ณ ที่ตรงนี้ (ในขณะที่ได้ยิน) ได้อย่างไร เพราะที่ตรงรู้สึก “ได้ยิน” นี่เอง ที่เป็นตัวการทำให้สัตว์ทั้งหลายได้รับความทุกข์โศกโรคภัย แล้วแก้ปัญหาของทุกข์กันไม่หวาดไหว ด้วยมันเป็นตัวการทำให้การเวียนว่ายตายเกิดอุบัติขึ้นมาซ้ำแล้วซ้ำอีกจนนับชาติที่เกิดไม่ได้

      ผู้มีปัญญาพิจารณาปัญหาของชีวิตจากพระพุทธศาสนามาด้วยดี ก็จะกำหนดพิจารณา คือ โยนิโสมนสิการอารมณ์ตามทวารต่าง ๆ เสียบ้างวันละ ๒-๓ ครั้ง ก็ยังดี เพราะเป็นการสร้างมหากุศลญาณสัมปยุต คือ มหากุศลที่ประกอบด้วยปัญญาบารมี ซึ่งเป็นกุศลที่มีกำลังมากที่สุด ให้ติดตัวไปทุกชาติ ๆ จนกว่าจะถึงซึ่งความพ้นทุกข์

         พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้หยิบใบไม้ในป่าขึ้นมากำมือหนึ่งต่อหน้าภิกษุจำนวนมากแล้วถามว่า ใบไม้ในป่าหรือใบไม้ในมือที่มีจำนวนมาก พระภิกษุทั้งหลายทูลว่าใบไม้ในป่ามีจำนวนมาก ใบไม้ในมือมีจำนวนน้อย พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า จะแสดงธรรมเป็นส่วนน้อยเฉพาะใบไม้ในมือเท่านั้น นั่นก็คือ ปัญหาเรื่องชีวิตและความพ้นทุกข์ และได้แสดงมาตลอดเวลา ๔๕ พรรษา

         แม้จะเป็นแต่เพียงใบไม้ในมือซึ่งเป็นส่วนน้อย ถึงกระนั้นผู้ที่จะเข้าถึงแก่นแท้ และกว้างขวางลึกซึ้งจริง ๆ ก็จะต้องใช้เวลามากมายอาจตลอดชีวิตก็ได้

        พระองค์มุ่งหมายที่จะแสดงเรื่องของทุกข์และหนทางพ้นทุกข์เป็นหลักสำคัญจึงแสดงแต่ใบไม้ในมือ ไม่ใช่ใบไม้ในป่า แต่ถึงกระนั้น ผู้ศึกษาก็ได้พบกับความน่าอัศจรรย์ใจในความตรัสรู้ของพระองค์

     
     เช่นเรื่องของ เสียง ที่เข้าไปกระทบกับจิตที่ประสาทหู พระองค์ได้แสดงว่าเสียงนั้นเป็นรูปปรมาณู มีธาตุดิน, น้ำ, ลม,ไฟ, สี, กลิ่น, รส, โอชะ เรียกว่า อวินิพโภครูป ๘ เสียงก็การสืบต่อๆ ไป กระทบกับจิตที่ประสาทหู ก็มิใช่วิ่งเข้าไปโดยตรง หากแต่เป็นสันตติคือการสืบต่อ

         อวินิพโภครูป ๘ เป็นรูปที่เกิดร่วมกัน ธรรมดารูปนั้นถึงจะแยกออกไปให้เล็กน้อยกระจ้อยร่อยสักเท่าไรก็ไม่มีวันที่จะพรากจากกันไปได้ ด้วยมีธาตุน้ำเป็นตัวยึดโยงเอาไว้มิให้กระจัดกระจาย

         สำหรับประสาทหูก็เป็นรูปปรมาณูเหมือนกัน มีธาตุดิน, น้ำ, ลม, ไฟ, สี, กลิ่น, รส, โอชะ เรียกว่า อวินิพโภครูป ๘ แล้วมีโสตปสาทะ และชีวิตรูป รวมกันเป็น ๑๐ พอดี

           ประสาทหู และชีวิตรูปเป็นรูปที่เกิดขึ้นมาจากอำนาจของกรรม เรียกว่า กรรมชรูป อำนาจกรรมมาผันแปรDNA ที่ถ่ายทอดมาจากพ่อแม่ และมีชีวิตรูปเป็นตัวการสำคัญท ี่ควบคุมยึดโยงรูปปรมาณูดังกล่าวนี้ไว้มิได้ให้กระจัดกระจายออกจากกันได้

           ประสาทหู มี อวินิพโภครูป ๘ ซึ่งไม่มีวันจะพรากจากกันได้เหมือนกัน แต่มีชีวิตรูปเป็นหัวหน้าใหญ่ในการรักษากลุ่มรูปเหล่านี้เอาไว้มิให้กระจายจากกันไป

           โสตปสาทะ หมายถึง ประสาทหู ที่อยู่ภายในช่องหู มีสัณฐานเป็นวง ๆ คล้ายวงแหวน และมีขนอันละเอียดสีแดงเรื่อ ๆ ปรากฏอยู่โดยรอบ มีความสามารถรับสัททารมณ์อันจะก่อให้เกิดโสตทวารวิถี (การงานของจิตทางหู)

            เราจะเห็นได้ว่าในพระพุทศาสนาเข้าใจถึงการเดินทางของเสียงภายในช่องของหู แต่ทั้งนี้มิได้มุ่งหมายที่จะสอนพระสงฆ์ทางกายวิภาคศาสตร์แต่มุ่งหมายที่จะแสดงเรื่องทุกข์ และหนทางพ้นทุกข์ นี่คือหลักฐานที่แสดงถึงความลึกซึ้งให้ได้เห็นประจักษ์ในความตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ทรงเห็นRNAที่เล็กกว่าผงธุลี ทั้งที่ในยุคเมื่อ2558 ปียังไม่มีกล้องจุลทัศน์อีเล็คโตสโคป

            ภายในหูถ้าไม่มีอากาศแล้ว เสียงคือความสั่นสะเทือนของอากาศก็จะเกิดขึ้นมากแล้วสืบต่อกันไปไม่ได้ การได้ยินก็จะไม่บังเกิดขึ้น

            พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงถึงเรื่องการได้ยินเอาไว้ว่า การได้ยิน จะต้องอาศัยเหตุ ๔ ประการ คือ

๑. สัททารมณ์ =เสียง  ๒. วิวรากาส= ช่องว่างในหู (อากาศ)  ๓. โสตปสาทะ= ประสาทหู ๔. มนสิการะ= มีความตั้งใจ (มนสิการเจตสิกเป็นตัวการทำให้จิตต่อกับอารมณ์)

         แน่นอนทีเดียว พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะต้องทราบถึงเรื่องเสียง คือความสั่นสะเทือนของอากาศและการเดินทางของเสียงเป็นอย่างดี ดังนั้น จึงได้กำหนดเหตุเอาไว้เหตุหนึ่งที่จะทำให้ได้ยิน คือ วิวรากาส อันได้แก่อากาศภายในหู

          เสียงที่ได้ยิน เสียงที่พูดออกมาเป็นคำๆ ก็หาใช่ว่าจะกระทบกับจิตที่ประสาทหูพร้อมกันไม่ เช่น พูดว่า "คุณเป็นคนดีมาก" เสียงก็ย่อมกระทบหูทีละคำๆ คือ คุณ, เป็น, คน, ดี, มาก

          เมื่อกระทบแล้ว แต่ละคำก็กลายเป็นอดีตพ้นจากการได้ยินไปทั้งสิ้นทุกคำทั้ง ๕ คำ แต่จิตกลับมาเกิดทางมโนทวารอีก โดยจะจับเอาคำว่า คุณ, เป็น, คน, ดี, มาก แต่ละคำเอามาตั้งไว้ในใจ เรียกว่า อตีตัคคหณวิถี เรียกขณะดังกล่าวนี้ว่า เป็นปรมัตถอารมณ์แต่ก็ยังไม่รู้ความหมายอะไรเลย เพราะมันเป็นเพียงคลื่นมากระทบเท่านั้น จะต้องส่งไปแปรรหัสอีกต่อหนึ่ง

           คือจะเอาแต่ละคำเหล่านั้นมารวมกัน เรียกว่า สมูหัคคหณวิถี คือ คุณ, เป็น, คน, ดี, มาก (บางคนเข้าใจว่า คลื่นเสียงมีคำเดียว เช่น "โอ้ย" อย่างนี้ สมูหัคคหณวิถี ไม่เกิด จริงแล้วเกิดเหมือนกัน เพราะมีความหมายรู้ได้ว่ามีการเจ็บเกิดขึ้น เพราะคำเดียวก็แปลความหมายได้)

          แล้วหลังจากนี้จึงจะนำเอาประโยคที่ได้ยิน มาถอดความหมายทำความเข้าใจตามภาษาของชาวโลกอีกทีหนึ่ง โดยเอาอดีตกรรมที่เก็บเอาไว้มาตัดสินร่วมด้วย เช่นทราบคำว่า คุณ, คำว่า เป็น แปลว่าอะไร เป็นต้น
         และนี่คือวิถีการทำงานของจิตที่เกิดขึ้น มีขั้นตอน ดังนั้นผู้ที่ได้ศึกษาอภิธรรม จะไม่พบวิธีการปฏิบัติ แต่จะบรรยาย บอก ถึงลักษณะการเกิดเช่นนั้น เช่นนี้ มีกี่ขั้นตอน มีองค์ประกอบอะไรบ้าง อะไรเป็นสาเหตุ อะไรเป็นตัวสนับสนุน(ปัจจัย) ท่านเคยสงสัยไม๊ว่าทำไม ? เมื่ออ่านพระอภิธรรม ยิ่งอ่านยิ่งมึน เพราะอะไร ?

            ก็เพราะว่า พระอภิธรรม ก็คือ "บันทึกรายงาน ผลที่เกิดขึ้นในห้องปฏิบัติการจริง" (เหมือนกับบันทึกรายงานในห้องLAB) คนไม่ใช่หมอ ไม่ใช่นักวิทยาศาสตร์ ไม่เคยเข้าห้องทดลอง อ่านยังไงก็ไม่รู้เรื่อง เพราะมีแต่สมการ

          เช่นเดียวกัน ในพระอภิธรรม ก็เป็นเช่นนั้น คนทั่วไปแม้แต่ผู้ที่เรียนจบอภิธรรม ท่องกันได้หมด ก็จะไม่รู้ความเป็นมา เหมือนคนขายสารเคมี รู้หมด แต่ไม่รู้ว่าจะผสมสารนั้นในอัตราส่วนเท่าไร จะให้ผลอย่างไร ความแตกต่างน้อยมากขนาดไหน จึงจะเป็นคุณหรือโทษ นอกจากผู้ที่เข้าห้องLab ปฏิบัติการด้วยตนเอง จึงจะเข้าใจ

         ดังนั้น ธรรมะในพระพุทธศาสนา จึงพิสูจน์กันด้วย "ผล" คือ ประสบการณ์จริงที่ต้องปฏิบัติด้วยตนเอง ไม่ใช่อาศัยความจำ ท่องได้ถือว่าเก่ง เปล่าเลย ขนาดพระอานนท์ความจำเป็นเลิศ อยู่กับพระพุทธเจ้า ฟังธรรมะจากพระโอษฐ์ทุกวันคืน จำได้ทุกคำและตัวอักษร กลับบรรลุหลังพระพุทธเจ้าปรินิพพาน 

             ที่กล่าวมาข้างต้น คือตัวอย่างหนึ่งในล้านส่วน ที่ปรากฏอยู่ในพระธรรมคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ได้ทรงถ่ายทอดสั่งสอนให้กับพุทธบริษัท ให้สามารถใช้ พลังแห่งคลื่น "เสียง" เป็นเครื่องมื่อ ที่จำเป็นต้องในการเปลี่ยน ชีวิต ฐานะ และอนาคต ซึ่งเราจะได้ศึกษากันในตอนต่อไป


           ด้วยพลังแห่งพุทธานุภาพ ขอความผาสุข สวัสดี มีโชคชัย จงบังเกิดแก่สาธุชนชาวไทยผู้ปฏิบัติชอบ ทุกท่านโดยทั่วกันเทอญ ฯ 



ที่มาบทความ โดย พระอาจารย์ธรรมบาล






Crack RNA Code -Appendix II







สารบัญทั้งหมดจะอยู่ทางด้านขวามือของหน้า (ทุกหน้า)

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS