ความรู้เรื่อง "มหาวัน" ในประวัติศาสตร์ไทย









อนุสนธิจากสาธุชนหลายท่านได้เรียกร้อง ให้ช่วยขยายความเรื่องของ "มหาวัน" มีความสำคัญอย่างไร มีประวัติความเป็นมาเช่นไร จึงจะขอนำมาเล่าย่อๆ พอสังเขปให้ผู้ใฝ่ศึกษา จะได้นำไปค้นคว้า สืบหาข้อมูลส่วนขาด หรือ นำไปใช้ให้เป็นประโยชน์เกิดความเจริญ แก่ตน และวงศ์สกุล และสังคมประเทศชาติ สืบไป





ความเป็นมาของ "มหาวัน" นั้น ได้ถูกใช้มานานก่อนสมัยพุทธกาล สืบทอดความรู้แต่เฉพาะในราชนิกูลกษัตริย์เท่านั้น เป็นปกรณ์หนึ่งในคัมภีร์มหาจักพรรดิราชฯ ซึ่งผู้ที่จะเป็นมหาราช-จักพรรดิ์ผู้ยิ่งใหญ่ ต้องศึกษาและเชี่ยวชาญในคัมภีร์มหาจักพรรดิ์ราชฯ นี้ ทุกพระองค์ "มหาวัน" เป็นปกรณ์ที่จัดว่ามีความสำคัญสำหรับชนชาติไทยอย่างสูงสุด เพราะได้ถูกนำมาใช้กำหนดคำนวณ ฤกษ์ยามอันเป็นมงคล เป็น "วันรวมชนชาติไทยเป็นหนึ่งเดียว" หรือเรียกง่ายๆ ว่า "วันชาติไทย" ในยุคบรรพกาล ดังปรากฏในตำนาน ว่า





“...........พระยากาวัณดิราช หรืออนุรุธธรรมมิกราช (คำว่า  อนุรุธ  เป็นตำแหน่งของพระมหากษัตริย์ เช่น มหาราช, พระเจ้า, สมเด็จ ฯลฯ  ซึ่งใช้นำหน้าพระนามพระมหากษัตริย์ในสมัยก่อน ทั้งนี้จะได้รับการถวายหลังจาก ได้แสดงความสามารถทางใดทางหนึ่งจนเป็นที่ยอมรับของนานาประเทศ  ตั้งขึ้นเองไม่ได้)  สายตระกูลของพระเจ้ากาฬวดิราช สืบมาแต่ "โทณพราหมณ์ แห่งอริมัทบุรี ผู้ที่ได้รับเชิญให้ไปเป็นผู้แบ่งพระบรมสารีริกธาตุ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่กรุงกุสินารา แก่มลกษัตริย์ทั้งหลาย หลังถวายพระเพลิง(หลังแบ่งพระบรมสารีริกธาตุ โทณพราหมณ์ ได้นำทะนานทองคำ กลับมายังอริมัทบุรี แล้วสร้างพระเจดีย์บรรจุไว้เป็นศรีแก่เมือง เรียกตามนามผู้สร้างสืบมาว่า "เจดีย์พระประโทณ" (ใช้ ณ เณร  โดยใช้ตามโคตรตระกูลโทณพราหมณ์ จึงไม่ใช่ น หนู ) และเป็นที่เคารพของพระมหากษัตริย์ไทยแต่บรรพกาล ตลอดมา





จวบจนยุครัตนโกสินทร์ตอนต้น ได้มีการปรับแปลง แนวพระพุทธศาสนาเสียใหม่ เพื่อให้เจือสมจึงรื้อทำลายเจดีย์พระประโทน เพื่อนำอิฐมาสร้างพระปฐมเจดีย์ ได้โบราณวัตถุมากมาย โดยมีบาดหลวงในคราบนักโบราณคดีฝรั่งเศสชี้ให้ขุด แล้วก็นำส่วนที่เหลือจากคัดเอาไปแล้ว เหลือที่หัก หรือใหญ่เกินขนลงเรือไปมิได้ มาทิ้งไว้ที่พระปฐมซึ่งสร้างใหม่ พร้อมกับเขียนนิทาน "พระยากงพระยาพาน" ว่าเป็นสาเหตุของการสร้างพระปฐมเจดีย์ ให้ดูเจือสม)

พระยากาวัณดิศราช  เป็นราชโอรสองค์รองของพระเจ้าสักรดำ มีพระปรีชาสามารถเจนจบในคัมภีร์มหาจักพรรดิราชฯ ทรงชอบทำตนสามัญ  เที่ยวคบหาเพื่อนฝูงพี่น้องและเสด็จเยี่ยมเยียนพระประยูรญาติผู้ใหญ่ทั้งอาณาจักรศรีสุวรภูมิภาคเหนือทั้งสิ้น  จนรู้จักทั่วกันทุกเมือง  มีฝีมือต่อสู้เหื้ยมหาญ  ทรงเดินทางไป  ทั่วทุกแดน ตามเส้นทางเก่าแก่แต่ครั้งบรรพกษัตริย์ทั้งทิศพายัพและทิศอิสานตลอดตั้งแต่ทรงพระเยาว์เป็นที่เกรงขาม และเป็นผู้นำ ทรงผูกมิตรแก่ทุกนคร ในอาณาจักรศรีสุวรภูมิ

            ทรงขึ้นครองอริมัทนบุรี (นครชัยศรี) ในปี พ.ศ. ๑๑๘๒  จึงทรงมีพระบรมเดชานุภาพ และมีพระปรีชาสามารถและมีมิตรทั้งอาณาจักร  จะเห็นได้จากในปีแรกที่พระองค์ขึ้นครองราชย์นั้น  ราชาผู้ครองนครทั้งหมดในอาณาจักรศรีสุวรภูมิ ได้ขอให้พระองค์ทรงเป็นผู้นำดินแดนแว่นแคว้นของตนให้เพื่อรวมเข้ากับอริมัทบุรีเป็นหนึ่งเดียว  ด้วยนิมิตหมายอันเป็นมงคลอันหมายถึงความสามัคคีของชนชาติไทย  ทรงเลือกเอาวาระอันเป็นวันมหามงคล ในปีของการรวมเป็นหนึ่งเดียวของชนชาติไทย  ที่มั่นคงดุจดั่งสายน้ำโขง ที่ไม่มีอาวุธใดตัดขาด เป็นกำหนดประกาศ (จึงเรียกว่า มหาวัน มาจากคำเต็มว่า วันอันประกอบด้วยมหามงคล)

             ดังนั้น พระองค์จึงได้ทรงเปลี่ยนนับศักราชชนชาติไทยใหม่เพื่อให้ปรากฏแก่ลูกหลานไทย และประกาศแก่เทพดาว่านี่คือ วันชาติไทย พร้อมสร้างนครเวียงเหรัญนครเงินยางเชียงแสนไว้เป็นสักขี จึงเริ่มนับจุลศักราช(ตำนานสิงหนวัติ เรียกว่า ตติยศักราช ที่พระเจ้าสักรดำ พระราชบิดาได้ตั้งไว้แต่เมื่อปี พ.ศ. ๑๑๘๒  นั้น  มีพระราชาทั่วทุกนครในอาณาจักรศรีสุวรภูมิ มาประชุมสาบานรวมใจอย่างโดยพร้อมเพรียงกัน มีปรากฏเป็นหลักฐานอยู่ในตำนานสิงหนวัติกุมาร  จารึกไว้ว่า

        “พระพุทธเจ้าล่วงไปได้ ๑๑๘๓  พรรษา  ยังมีนครหนึ่งมีราชวงศ์กับราชธานีทั้งปวง มีพันเมือง มีขัติยกษัตริย์..... มีเมืองโยนกเชียงแสนเป็นประธาน อาฬวี ๑ จุฬณี ๑  อเส ๑  จันทบุรี ๑ โกสัมพี ๑ หงสาวดี๑  กลิงคราช ๑  สังกตา ๑  สัตตนาหะ ๑  ทวารบุรี “  เท่านี้เป็นประธานแล  แต่นั้นยังมีพระยาตนหนึ่ง ชื่อ อนุรุธธรรมมิกราช ผู้เป็นใหญ่ในเมืองมลราช และเป็นใหญ่ในเมืองทั้งหลาย  สมัยนั้นเมืองใหญ่ในชมพูทวีปมี  ๘,๔๐๐ เมือง มีท้าวพระยามหากษัตริย์ทั้งนั้น  ที่มีท้าวพระยามหากษัตริย์นั้น ก็พร้อมกัน ณ ที่พระยาธรรมตนนั้นสิ้นทุกเมือง

        (ท้าวพระยาเหล่านั้น ) ท่านก็รับเอาคำพระยาอินทร์และพระยาอนุรุธธรรมมาแล้วก็ป่าวร้องท้ายพระยาทั้งหลาย มี  ๙๙๙ เมือง มีแต่เมืองหริภุญชัยกับสุโขทัยมิได้มา (สองเมืองนี้ขณะนั้นยังไม่ได้สร้าง ตำนานนี้เขียนขึ้นภายหลัง)  เหลือนอกนั้นน็มาพร้อมกันกับด้วยตัวพระยาลวเข้าสิ้นแล

        ท่านก็ “ตัดศักราช”  อันพระยาตรีจักษุตั้งไว้ได้ ๕๖๐  ตัวนั้นเสียในวันคืนเดือนห้า  ออกสิบสี่ค่ำวันอาทิตย์มหาวัน ยามต้นใกล้จักรุ่งแจ้ง  แล้วตั้งศักราชใหม่ไว้ตัวหนึ่ง  ยามรุ่งแรกแจ้ง แล้วเป็นตติยศักราช (จุลศักราชใหม่) ปีใหม่ปีกัดได้นั้นแล......(ประชุมพงศาวดารภาคที่ ๖๑)
                                                       
                                                       ……… ต่อ ภาค 2 ……






  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

"ปะคำ" สำคัญอย่างไร สำหรับนักปฏิบัติ

"ปะคำ" สำคัญอย่างไร สำหรับนักปฏิบัติ

    เนื่องจาก วันเสาร์นี้ จะเป็นช่วงเวลาการศึกษาเรื่อง

อัปนาโกศล คือ การใช้อุปกรณ์ในการ "นับ" 

ดังนั้นสาธุชนที่ใฝ่ปฏิบัติในพุทธวิถี "สติปัฏฐาน-ปฏิสัมภิทามรรค" จึงควรทำความเข้าใจ ความหมายสังเขปของ "ปะคำ" ก่อนที่จะนำมาใช้เป็นอุปกรณ์ช่วยในการทำสมาธิ ก่อน





                  การร้อยปะคำ ที่ปรากฏในแผ่นดินไทยปรากฏหลักฐานในประวัติศาสตร์ สืบเนื่องมาแต่ยุคสุโขทัย โดย พระมหาเถรสรีสัทธาราชจุฬามุนี รัตนลังกาทีปมหาสามี สมเด็จสังฆราชเจ้าแห่งกรุงสุโขทัย ซึ่งทรงเป็นกษัตริย์นักรบแห่งเมืองสองแคว(พิษณุโลกปัจจุบัน) เป็นกษัตริย์นักรบที่เชี่ยวชาญในคัมภีร์มหาจักพรรดิราชฯ ชำนะศึกทุกทิศ ต่อมาได้ทรงสละราชสมบัติ และออกผนวชเป็นพระภิกษุหวังพุทธภูมิ ออกเดินธุดงค์ไปยังชมพูทวีป ได้ทรงศึกษาปฏิบัติธรรมอย่างเชี่ยวชาญ ท่านเป็พระอาจารย์ของพญาลิไท กษัตริย์ราชวงศ์สุโขทัย พระมหาเถรสรีสัทธา ได้ถ่ายทอดหลักปฏิบัติตามพุทธวิถี "สติปัฏฐาน-ปฏิสัมภิทามรรค" แก่ชนชาวสุโขทัย ส่งผลให้บ้านเมืองเกิดความสงบสุข เจริญร่วมเย็น เป็นยุคแห่ง "ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว ไพร่ฟ้าหน้าใส" ไม่มียุคใดที่ประชาชนในแผ่นดินมีศิลธรรมปราศจากโจรผู้ร้าย เป็นยุคที่ไม่มีคุก ตะราง เพราะคนถือศีลฟังธรรม





- ปะคำ มี ๑๐๘ เม็ด มาจาก "ตัณหา ๑๐๘" ตัณหาคือความทะยานอยาก แสวงหาอันเป็นธรรมชาติของมนุษย์ผู้ที่ยังไม่หลุดพ้นจากกิเลส ราคะ อนุสัย อันเป็นเสมือน "เมล็ด" ที่ทำให้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะสงสาร

- สายปะคำ หมายถึง วงแห่งการเวียนว่ายของสรรพสัตว์ในภพภูมิต่างๆ คือ วัฏฏะสงสาร

- ปะคำแบ่งเป็น ๔ ส่วน แต่ละส่วนจะมี "ลูกสะกด" เป็นนิมิตเครื่องหมายของ "มหาภูตูป ๔" คือ ธาตุ ๔ ดิน น้ำ ไฟ ลม อันสัมปยุติกัน เป็นชีวิตของสรรพสิ่งทั้งหลาย

- ในแต่ละส่วนของ ธาตุ แต่ละธาตุ จะมีลูกปะคำอยู่ ๒๗ ลูก เป็นนิมิตเครื่องหมายแทน "มหคตจิต ๒๗ ดวง" มหคตจิต มีพระบาลีว่า มหนฺตภาวํ คตํ จิตตํฯ = จิตที่ถึงความยิ่งใหญ่ ชื่อว่า "มหคตจิต" เป็นสภาวะจิตที่ยิ่งใหญ่เหนือปุถุชนธรรมดา เป็นสภาวะที่จะส่งผลในสมาธิ ไปจนถึงฌานสมาบัติ ซึ่งสูงกว่าสภาวะจิตของเทวดาแลมนุษย์ เพราะมหคตจิต เป็นสภาวะจิตของพรหม ด้วยเหตุดั่งนี้ ผู้ที่ฝึกสมาธิได้มหคตจิตแล้วเทวดาย่อมอุปถัมภ์ อารักขา ไม่ให้เกิดความทุกข์ยาก ลำบากกายใจ ชีวิต อันเป็นอุปสรรคต่อการปฏิบัติธรรม

- ใจปะคำ คือ การเวียนว่ายในวัฏะสงสาร หรือหลุดพ้นจากโลกิยภูมิ ไปสู่พระนิพพาน ก็ย่อมเกิดจากใจ ดังพุทธองค์ตรัสว่า "สิ่งทั้งหลาย มีใจเป็นใหญ่ มีใจเป็นประธาน สิ่งทั้งหลาย ย่อมสำเร็จได้ด้วยใจ"

     การทำสมาธิจึงต้องทำด้วย "ใจ" เรียกว่า "ภาวนา" จึงจะเข้าสู่สมาธิระดับสูงที่พ้นจากสภาวะแห่งปุถุชนสามัญทั่วไป เรียกว่า "อัปปนาสมาธิ" ซึ่งต้องทำด้วย "ใจ" เท่านั้น (นี่คือความสำคัญ และ เป็นคำตอบว่า ……ทำไมต้องฝึกใช้ "ลมหาใจ" หาที่ตั้งของใจ …ก็ "ใจ" (บาลีเรียกว่า มโนทวาร) ก็เพราะ "อัปปนาสมาธิ เกิดได้เฉพาะในมโนทวาร เท่านั้น





และ การปฏิบัติเพื่อเข้าสู่อัปปนาวิถี ต้องใช้อุปกรณ์ในการนับ เพื่อปฏิบัติ "อัปนาโกศล (อัปปนา=แน่นหนา, มั่นคง. โกศล=ฉลาด) รวมความคือ วิธีที่ชาญฉลาดอันไปสู่สมาธิอันมั่นคงเรียกว่า "อัปปนาโกศล" ซึ่งต้องใช้ "การนับ(คณา) ด้วยเหตุดังนี้ เราจึงได้เห็นพระผู้ปฏิบัติชอบเข้าถึงพุทธวิถี "สติปัฏฐาน-ปฏิสัมภิทามรรค"  เช่น ท่านครูบาศรีวิชัย หลวงปู่ศุข วัดมะขามเฒ่า หลวงปู่หมุน ฯลฯ เป็นต้น

ดังนั้น การร้อยปะคำ การคล้องปะคำ จึงมีความสำคัญสำหรับสาธุชนผู้ใฝ่ปฏิบัติ ที่ควรต้องรู้เพราะปะคำไม่ใช่เครื่องประดับ ที่เสริมความขลังให้ผู้คล้อง แต่มีความสำคัญ เป็นอุปกรณ์หลักในการปฏิบัติที่ขาดไม่ได้จึง มีวิธีการเฉพาะ ที่ถ่ายทอดเฉพาะสำหรับสาธุชนที่ปฏิบัติในพุทธวิถี "สติปัฏฐาน-ปฏิสัมภิทามรรค" เท่านั้น ว่าแต่ละเม็ดต้องตั้งลม ภาวนาตอนร้อยอย่างไร(ตั้งลมทุกลูก จนครบ๑๐๘ลูก) อันเป็นการฝึกสมาธิ ในส่วนอานาปานสติ นั้นเอง

       ด้วยพลังแห่งพุทธานุภาพ ขอความผาสุขสวัสดี สมปรารถนา ก้าวหน้าในธรรมะ-ปฏิบัติ  จงบังเกิดมีแก่สาธุชนทุกท่าน ถ้วนทั่วกันเทอญ ฯ






  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

ทาน กับ การเสียสละ ต่างกันอย่างไร? ในพระไตรปิฎก




จากเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ในการบรรยายธรรม ได้กล่าวถึงความแตกต่างระหว่าง "ทาน" กับ "จาคะ (เสียสละ)" นั้นมีความแตกต่างกันอย่างไร ?


     เพราะ ในแนวทางแห่งการปฏิบัติตามพุทธวิถี "สติปัฏฐาน-ปฏิสัมภิทามรรค" เน้นย้ำเรื่องการ "เสียสละ" ไม่ใช่ เน้นที่ "ทาน" เพราะผลนั้นแตกต่างกันมาก ทั้งนี้ เนื่องจากการให้ความหมายในเอกสารพุทธศาสนา ได้ให้ความหมายระหว่างสองคำ เกลื่อนกลืน สับสนปนกันอย่างแยกไม่ออก เหมือนน้ำผสมน้ำมัน ที่ใส่อยู่ในขวดเดียวกันฉันใดฉันนั้น
    ด้วยเหตุดังกล่าวนั้น จึงต้องไปค้นหาหลักฐานทางวิชาการ ซึ่งก็ไม่มีอะไรจะดีไปกว่าพระไตรปิฏก จึงนำมาให้สาธุชนผู้ใฝ่ในการศึกษาปฏิบัติชอบ จะได้ยึดเป็นแนวทางที่ถูกต้องต่อไป

ทาน (การให้) ต้องมีผู้รับ จะให้กับผู้ที่ขาด หรือพร่อง คือ ต้องทีผู้รับ-บาลี อุปริ. ม. ๑๔/๓๗๖/๕๗๙.

    มาณพ !  บุคคลบางคนในโลกนี้จะเป็นสตรีก็ตาม บุรุษก็ตาม ย่อมเป็นผู้ให้ข้าว น้ำ เครื่องนุ่งห่ม ยานพาหนะ ดอกไม้ ของหอม เครื่องลูบไล้ ที่นอน ที่อยู่อาศัย และประทีปโคมไฟแก่สมณะหรือพราหมณ์ เขาตายไป จะเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ เพราะกรรมนั้น อันเขาให้พรั่งพร้อมสมาทานไว้อย่างนี้ หากตายไป ไม่เข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ ถ้ามาเป็นมนุษย์เกิด ณ ที่ใดๆ ในภายหลัง จะเป็นคนมีโภคทรัพย์มาก.

  ทียเตติ ทานํ   การให้ชื่อว่าทาน
จุดมุ่งหมายใช้คำนำ เฉพาะเจาะจงกว่าคำว่า สละ (จาคะ)เช่น ให้เงิน ให้ทอง ให้ข้าว ให้น้ำ
คำว่า เฉพาะเจาะจง ในคำว่าทาน  หมายถึง มีผู้รับที่แน่ชัด ผู้รับไม่สาธารณะทั่วไป ไม่เกิดประโยชน์แก่ผู้รับในวงกว้างเท่าไร

จาคะ (การเสียสละ) เป็นอุดมการณ์ มอบแก่ผู้ที่สูงกว่า เช่นถวายชีวิตเป็นพุทธบูชา สละชีพเพื่อชาติ   เน้น-ไม่ว่าจะมีผู้รับหรือไม่ก็ตาม -บาลี จตุกฺก. อํ. ๒๑/๘๕/๖๑.

    คหบดี !  ก็จาคสัมปทา (ความถึงพร้อมด้วยการบริจาค) เป็นอย่างไร
    อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ มีใจปราศจากมลทินคือ ความตระหนี่ อยู่ครองเรือน มีการบริจาคอันปล่อยอยู่เป็นประจำ มีฝ่ามืออันชุ่ม ยินดีในการสละ เป็นผู้ควรแก่การขอ ยินดีในการให้และการแบ่งปัน นี้เรียกว่า จาคสัมปทา.


จาคะ  แปลว่า สละ
อจชิตฺถ จชเต จชิสฺสเต จชนํ วา จาโค
สละแล้ว กำลังสละ จะสละ หรือ การสละ ชื่อว่า จาคะ
จุดมุ่งหมายของจาคะ ใช้ในลักษณะให้หรือปล่อยหรือสละเช่น ให้สิทธิคนอื่นผ่านทาง ยกทางเป็นสาธารณะ ก็ชื่อว่าจาคะ คือ สละสิทธิของตนในทางนั้นให้แก่คนอื่นๆทั่วไป เป็นการสาธารณะ
ให้ทรัพย์คือเงินทองแก่กองการกุศล แบบนี้เป็นการให้แบบจาคะ คือ สละทรัพย์ ให้กองการกุศลที่ยังไม่รู้ผู้รับชัดเจน และเป็นการให้มีประโยชน์สาธารณะ

บริจาค บาลีเขียนว่า ปริจาโค (บางครั้งก็ซ้อนจ.จาน เข้ามาเป็น ปริจฺจาโค) ... คำนี้มาจากรากศัพท์ว่า จช ในความหมายว่า สละ ... โดยมี ปริ เป็นอุปสัคนำหน้ารากศัพท์ในความหมายว่า รอบ .... และ ลง ณ. ปัจจัย ดังนี้
ปริ + จช + ณ = ปริจาโค (แปลง ช.ช้าง เป็น ค.ควาย)
ปริ (รอบ) + จช (สละ) = สละรอบ (เฉพาะความหมาย)
ดังนั้น ปริจาคะ, ปริจจาคะ หรือ บริจาค มีความหมายตรงตัวจึงแปลว่า สละรอบ หมายถึง การเสียสละความสุขส่วนตัวโดยประการทั้งปวง...

ปริจจาคะ ศัพท์นี้ จัดเป็นคุณธรรมอย่างหนึ่งใน ทสพิธราชธรรม ซึ่งเป็นคุณธรรมสำหรับพระราชา ผู้นำ หรือนักปกครอง (ผู้สนใจดู http://84000.org/tipitaka/dic/d_item.php?i=326 )

การปฏิบัติตามพุทธวิถี "สติปัฏฐาน-ปฏิสัมภิทามรรค" นั้น
ขั้นที่ 1 ต้องถึงพร้อมด้วย ศีล คือ สัจจะ อันมาจาก วาจา+ใจ เพื่อใช้ใน
ขั้นที่ 2 คือ ถึงพร้อมด้วยการเสียสละ(ถวายชีวิตเป็นพุทธบูชา) คือ จาคะ จากนั้นจึงขึ้นสู่
ขั้นที่ 3 คือ ภาวนา = รวมกาย+วาจา+ใจ เป็นหนึ่งด้วยศรัทธาอันตั้งมั่นในพุทธานุภาพ ไม่หวั่นไหว เรียกว่า "โอปกนศรัทธา" ซึ่งเป็นขั้นแรกก้าวสู่มิติแห่งพระอริยะบุคล





ด้วยพลังแห่งพุทธานุภาพ ขอความผาสุข สวัสดี จงบังเกิดมี แก่สาธุชนผู้ปฏิบัติชอบในพุทธวิถี "สติปัฏฐาน-ปฏิสัมภิทามรรค" ทุกท่าน ถ้วนทั่วกันเทอญ








  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

สู่ความเป็นอัจฉริยะ ด้วย " สมาธิ "








  ในโลกนี้สิ่งหนึ่งที่ทุกท่านต่างยอมรับกันก็คือ "………ไม่มีใครอยากโง่…ใคร ๆ ก็อยากฉลาดทั้งนั้น !!!" แต่ความจริงแล้ว "ความฉลาด และ ความโง่ ไม่มี……มีแต่สัญญาณไฟฟ้าชีวภาค ที่สื่อสารระหว่างเซล กับ สมองทำงานแตกต่างกัน…เท่านั้น

ในทางอายุรแพทย์ระบบประสาทและจิตแพทย์รวมถึงนักวิทยาศาสตร์สายสุขภาพทั่วโลกต่างก็มีผลงานทางวิชาการมากมายที่ยืนยันรับรองแล้วว่า มนุษย์เราสามารถพัฒนาเพื่อปรับเปลี่ยนรูปแบบของคลื่นสมองของตัวเองได้ โดยที่คลื่นสมองของคนเรานั้นมีความสัมพันธ์โดยตรงกับการทำงานของสมอง หรือพูดง่ายๆ ก็คือ สมองของเรานั้นสามารถพัฒนาให้อยู่ในระดับที่ดีขึ้นได้จริงๆ ซึ่งแต่เดิมอาจจะเข้าใจว่ามีอิทธิพลมาจากพันธุกรรมDNA แต่อย่างเดียว ซึ่งหากจะกล่าวอย่างตรงไปตรงมาแล้วต้องกล่าวว่า พระพุทธศาสนาค้นพบวิธีการเปลี่ยนพันธุกรรมDNA และพัฒนาสมองมนุษย์มากว่า 2,500'ปีแล้ว โดยพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่เพียงแต่พระองค์ทรงค้นพบเท่านั้น พระพุทธองค์ยังทรงเผยแผ่ วิธีการปฏิบัติพัฒนาสมองมนุษย์ จากธรรมดาให้เป็นสุดยอดอัจฉริยะที่เรียกว่า "รู้แจ้ง-เห็นจริง" โดยให้พุทธบริษัทปฏิบัติตามแนวทาง "สติปัฏฐาน" ก่อนที่วิทยาศาสตร์จะกำเนิดมาบนพื้นพิภพนี้






ก่อนที่เราจะพัฒนาสมองของเราให้เป็นอัจฉริยะ  จึงเป็นความจำเป็นอย่างยิ่งที่เราที่จะต้องทราบถึงการทำงานของสมองของตัวเอง ด้วยเหตุว่าการทำสมาธิมีผลมากต่อคลื่นสมอง มีหลักฐานมากมายที่สนับสนุนว่าบุคคลที่ทำสมาธิ จะมีคลื่นสมองที่ต่ำกว่าคนปกติทั่วไป ซึ่งมีผลทำให้จิตใจสงบ เยือกเย็น ไม่เครียด มีอารมณ์ดี ร่าเริง เบิกบาน มีความคิดสร้างสรรค์ อายุยืน เป็นต้น ซึ่งจะกล่าวต่อไปในภายหลัง แต่ก่อนที่จะเข้าไปในเนื้อหาที่ว่าด้วยสมาธิกับหลักฐานทางวิทยาศาสตร์นั้น อยากจะให้รู้เรื่องเกี่ยวกับคลื่นสมองกันก่อนว่า





การทำงานของสมอง คือการรับส่งข้อมูลเป็นสัญญาณไฟฟ้าชีวภาค(Bio-Electro Manetic) และการเคลื่อนไหวของพลังงานเหล่านี้ ทำให้เกิดคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า หรือที่เราเรียกกันว่าคลื่นสมอง (brainwave) ซึ่งเราสามารถตรวจดูคลื่นสมองโดยใช้เครื่องมือที่เรียกว่า อีอีจี (EEG) หรือ Electroencephalogram โดยที่เครื่องมือชนิดนี้จะจับภาพสัญญาณไฟฟ้าบริเวณสมอง แปรผลออกมาเป็นรูปแบบของคลื่นต่างๆ และแบ่งออกได้เป็น 4 กลุ่ม คือ






คลื่นเบต้า Beta Brainwave (ความถี่ระหว่าง 14 - 30 Hz) เป็นคลื่นสมองที่เร็วที่สุด และยังเป็นส่วนของสมองที่ควบคุมจิตใต้สำนึก เกี่ยวข้องในเรื่องการใช้สมองเปิดรับข้อมูลพร้อมๆ กับการใช้ระบบประสาทสัมผัสทุกด้าน เช่น การทำกิจกรรมต่างๆ และรับผิดชอบเรื่องของความทรงจำระยะสั้น

คลื่นเบต้า (Beta wave)
เป็นคลื่นสมองที่เกิดขึ้นในสภาวะปกติทั่วไป ในสภาวะปกติสมองจะรับข้อมูลต่าง ๆ จากภายนอกเป็นจำนวนมาก จนถึงก่อให้เกิดความสับสนวุ่นวาย คลื่นสมองที่เกิดขึ้นในช่วงนี้จะมีความถี่สูง เรียกคลื่นสมองช่วงนี้ว่า "คลื่นเบต้า" (Beta Wave) ซึ่งมีความถี่ประมาณ ๑๓ - ๔๐ รอบต่อวินาที ยิ่งความถี่ของคลื่นสมองสูงขึ้นไปมากเท่าไร จิตใจของเราก็จะวุ่นวาย สับสนมากยิ่งขึ้นไปเท่านั้น รูปร่างของคลื่นเบต้ามีลักษณะคล้ายเส้นกราฟที่ขยุกขยิกขึ้น-ลง ขึ้น-ลง สลับกัน คล้าย ๆ เวลาเราลากเส้นสลับฟังปลานั่นเอง ถ้าสมองมีเรื่องต้องคิดวุ่นวายมาก เส้นกราฟจะขยุกขยิกมากด้วย ภาวะเช่นนี้จะรู้สึกหงุดหงิด กระสับกระส่าย ประสิทธิภาพในการคิดตัดสินใจไม่ดี ยิ่งคลื่นสมองยิ่งสูง ยิ่งทำให้เกิดอารมณ์ด้านลบได้มากเท่านั้น คนที่ไม่ฝึกสมาธิ จะมีคลื่นสมองเบต้า (Beta wave) มากกว่าคนที่ฝึกสมาธิ ซึ่งส่งผลในทางลบ





คลื่นต่อมาคือ คลื่นอัลฟ่า Alpha Brainwave (ความถี่ระหว่าง 8 - 13.9 Hz ) เกิดขึ้นในขณะที่เรามีการพักผ่อน และมีความสงบ (relaxation) แต่ยังอยู่ในภาวะที่รู้สึกตัว สภาวะเช่นนี้จะทำให้รับข้อมูลได้ดีที่สุด สามารถเรียนรู้ได้ดีมาก ในปัจจุบันมักเรียกว่า Super Learning พูดได้เลยว่า คลื่นนี้ทำให้เราเข้าถึงสิ่งที่สนใจไม่ว่าจะเป็นการเรียนรู้ หรือการทำงาน โดยจะสามารถเรียกความจำได้ง่ายและรวดเร็ว พบบ่อยในเด็กที่มีความสุข และผู้ใหญ่ที่มีจิตสมดุล รวมถึงผู้ที่นั่งสมาธิเป็นประจำ ยังมักพบในขณะร่างกายและจิตใจผ่อนคลายมากๆ เช่น สภาวะก่อนนอนหลับ ในทางการแพทย์ คลื่นระดับนี้เหมาะกับการสะกดจิตเพื่อบำบัดโรค ถือเป็นช่วงที่ดีที่สุดในการป้อนข้อมูลให้แก่จิตใต้สำนึก เพราะสมองสามารถเปิดรับข้อมูลได้อย่างเต็มที่และเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว มีความคิดสร้างสรรค์ เป็นสภาวะที่จิตมีประสิทธิภาพสูง เด็กที่ฉลาดเรียนรู้ไวรวมถึงคนเรียนเก่งก็จะมีคลื่นนี้เด่นมาก

คลื่นอัลฟา (Alpha wave)
เป็นคลื่นสมองที่เกิดขึ้นในสภาวะของคนที่มีจิตใจสงบ เยือกเย็น เรียกว่า "คลื่นอัลฟา" (Alpha Wave) ซึ่งมีความถี่ประมาณ ๘ - ๑๓ รอบต่อวินาที มีจังหวะที่ช้ากว่า มีขนาดใหญ่กว่าและมีพลังงานมากกว่าคลื่นเบต้า (Beta wave) รูปร่างของคลื่นอัลฟามีลักษณะคล้ายรูปลูกคลื่น ไม่ขยุกขยิกเหมือนคลื่นเบต้าคลื่นอัลฟานี้ช่วยทำให้ความสับสนวุ่นวายในสมองลดลง จิตใจจึงสงบและเยือกเย็นขึ้น ซึ่งพร้อมทีจะทำกิจกรรมต่าง ๆ อย่างมีประสิทธิภาพ





คลื่นธีต้า (Theta wave)
เมื่อคลื่นอัลฟาค่อยๆ เปลี่ยนเป็นคลื่นที่มีจังหวะช้าลง ๆ แต่กลับมีพลังงานสูงขึ้นๆ ถ้าคลื่นสมองของคนเรามีความถี่ ๕ -๗ รอบต่อวินาที จะส่งคลื่นธีต้า (Theta wave)ออกมา) คลื่นธีต้า เป็นคลื่นสมองชนิดหนึ่งซึ่งจะปรากฏตัวขึ้นมาเพียงช่วงเวลาสั้นๆ เพียงแว่บเดียวเท่านั้น เป็นแว่บสุดท้าย อยู่ในลักษณะครึ่งหลับครึ่งตื่น และเมื่อหลับแล้วจริงๆ คลื่นสมองจะปรากฏไปอีกแบบหนึ่งซึ่งจะแตกต่างจากคลื่นธีต้าTheta Brainwave (ความถี่ระหว่าง 4 - 7.9 Hz)






คลื่นสุดท้าย คลื่นเดลต้า Delta Brainwave (ความถี่ระหว่าง 0.1 - 3.9 Hz) เป็นคลื่นสมองที่ช้าที่สุด เกิดขึ้นในขณะนอนหลับ สมองทำงานตามความจำเป็นเท่านั้น แต่กระบวนการของจิตใต้สำนึกจะจัดและเก็บข้อมูลอย่างต่อเนื่อง เป็นช่วงที่ร่างกายอยู่ในภาวะที่กำลังพักผ่อนอย่างเต็มที่ หลับลึกโดยไม่มีความฝัน จะรู้สึกสดชื่นเป็นพิเศษเมื่อยามตื่นแล้ว

คลื่นเดลต้า Delta เป็นคลื่นที่เกิดขึ้น ในสภาวะของคนนอนหลับ เป็นคลื่นสมองที่มี ความถี่ของสมองที่ต่ำที่สุด แต่มีพลังงานสูง จะอยู่ระหว่าง ๔ รอบต่อวินาที จนถึงนิ่งเป็นเส้นตรง ระหว่างนี้ สมองของคนเรา จะส่งคลื่นเดลต้า (Delta wave) แผ่กระจายไปทั่วร่างกาย ทำให้มีอารมณ์ สุข สงบ แล้วนำไปบันทึกไว้เป็นรหัสชีวภาคอย่างถาวร ใน DNA เพื่อใช้เทียบเคียง และส่งให้สมองสั่งการในครั้งต่อไป) ดังนั้น ผู้ที่ทำสมาธิจึงได้รับความสุข สงบ เมื่อเข้าถึงระดับนี้ทุกครั้ง พระพุทธองค์จึงทรงให้พุทธบริษัทปฏิบัติตามพุทธวิถี "สติปัฏฐาน-ปฏิสัมภิทามรรค" ระลึกรู้อารมณ์ คือ กำหนดความถี่ของคลื่นไว้ ซึ่งเรียกว่า "สติ แปลว่า ระลึกรู้อารมณ์(สัญญาณไฟฟ้าชีวภาค) เหมือนการโปรแกรมรีโหมต ที่เราเปิด TV ยังไงยังงั้น คือกดปุ๊บ ติดปั๊บ = นั่งปฏิบัติปั๊บ เข้าสมาธิตั้งอารมณ์ต่อของเก่าได้เลย จึงสามารถปฏิบัติต่อเนื่องจากของเก่าที่ปฏิบัติครั้งก่อน ให้ก้าวหน้าได้ ไม่งั้นต้องเริ่มต้นใหม่ทุกที เหมือนจะไปเชียงใหม่ขึ้นรถที่หมอชิต รถไปถึงนครสวรรค์ พอลงรถ จะไปต่อมิต้องกลับไปขึ้นรถที่หมอชิตกรุงเทพอีกเรอะ ………นี่คือเหตุผล และความเป็นจริงของปัญหา ว่า เหตุใด การปฏิบัติทั่วไป จึงไม่สามารถเดินหน้าได้ เพราะขาด "สติ" และ ไม่เข้าใจความหมายของสติที่แท้จริง ตามพุทธประสงค์ได้





เราจะเห็นว่า หากเราทำให้คลื่นสมองมีความถี่ต่ำๆ เช่นคลื่นสมองที่อยู่ในระดับ Alpha Brainwave (ความถี่ระหว่าง 8 - 13.9 Hz) ซึ่งอย่างที่ทราบแล้วคลื่นนี้จะเป็นคลื่นทำให้เป็นคนจิตใจสงบ เยือกเย็น สุขุม มีอารมณ์ดี เบิกบาน ความคิดสร้างสรรค์สูง มีสมาธิและความจำดี มีสติปัญญาฉลาด ไหวพริบปฏิภาณเป็นเลิศ และมีพลังความคิดด้านบวกสูง มองโลกในแง่ดี โดยมากก็จะพบในกลุ่มของนักบวช พระสงฆ์ ผู้ปฏิบัติธรรม ผู้ที่กำลังมีความสุข โดยเฉพาะผู้ที่กำลังสวดมนต์





 วิธีปรับคลื่นสมองเพื่อให้มีความถี่ดังกล่าวนั้น สิ่งแรกเราต้องอยู่ในสภาวะแวดล้อมที่ค่อนข้างเงียบสงบ ห่างจากสนามแม่เหล็กไฟฟ้า เช่น เตาไมโครเวฟ สายไฟฟ้า หม้อแปลง คอมพิวเตอร์ เพราะจากงานวิจัยพบว่า สนามแม่เหล็กจากคลื่นรบกวนพวกนี้จะทำลายคลื่นสมอง ล่าสุดมีรายงานในประเทศเยอรมนี รัสเซีย และสวิตเซอร์แลนด์ พบว่า คลื่นไมโครเวฟทำให้คลื่นสมองลดลง ความยาวของคลื่นสมองสั้นลงจนทำให้สมองเสื่อม สังเกตได้จากฉลากขวดนมสำหรับเลี้ยงทารกจะระบุอย่างชัดเจนว่า ห้ามใช้เตาไมโครเวฟต้มน้ำให้เดือด





แต่ตรงกันข้าม การฟังเสียงสวดมนต์ พร้อมกับเปล่งเสียงเบา ๆ คลอไปด้วย จะทำให้เกิดสมาธิ ซึ่งจะเกิดคลื่นอัลฟาได้ หรือแม้แต่กระทั่งการอยู่ใกล้ชิดธรรมชาติ เช่น ภูเขา ทะเล อุทยาน สวนต้นไม้  จะทำให้สมองผ่อนคลาย สมองจะเปลี่ยนไปเป็นคลื่นอัลฟาได้โดยง่าย





ในทางการแพทย์ยอมรับ และรับรองว่า เสียงก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงคลื่นสมองนั้น มีหลายงานวิจัยบอกว่า "คลื่นเสียงความถี่ จากการสวดมนต์ ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของคลื่นสมองมนุษย์ " ซึ่งจะแยกเป็น 3 ระดับ เช่น

เสียงต่ำทุ้ม เช่นการสวดอภิธรรม สังคหะ จะไปกระตุ้นการทำงานของก้านสมอง (Brain Stem) และไขสันหลัง (Spinal Cord) ซึ่งเป็นส่วนที่รับผิดชอบในเรื่องการทรงตัว ประสาทสัมผัส การทำกิจกรรม แสดงท่าทางหรือที่เรียกว่ากายสมดุลย์

ส่วนคลื่นเสียงจากการสวดมนต์ที่ใช้เสียงกลาง เช่นเจริญพุทธมนต์จะไปกระตุ้นการทำงานของสมองส่วนอารมณ์ ที่เรียกว่า ลิมบิก ซิสเต็ม (Limbic System) ซึ่งจัดอยู่ในสมองส่วนกลางของมนุษย์เรา ควบคุมเรื่องของอารมณ์ ความเกลียด โกรธ ความเร่าร้อน และ

บทสวดที่ใช้เสียงสูง เช่นการให้พรจะไปกระตุ้นการทำงานของสมองส่วนนีโอคอร์แท็กซ์ (Neocortex) หรือที่รู้จักกันในนามของสมองส่วนปัญญานั่นเอง






ด้วยพลังแห่งพุทธานุภาพ ขอความผาสุข สวัสดี เจริญก้าวหน้าในธรรมะ-ปฏิบัติ สมปรารถนาในสิ่งอันเป็นกุศล จงปรากฏผลโดยพลัน แก่สาธุชนทุกท่าน ถ้วนทั่วกันเทอญ






  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

อัครมหาเศรษฐีจันทรา ผู้เปลี่ยนชีวิตด้วยพลังพุทธานุภาพ







อนุสนธิจากการบรรยายธรรม ในวันสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา มีสาธุชนหลายท่านเกิดข้อสงสัยคล้ายคลึงกันว่า "ปฏิบัติสมาธิ ตามพุทธวิถี สติปัฏฐาน-ปฏิสัมภิทามรรค จะสามารถเปลี่ยนชีวิต เปลี่ยนฐานะ จากเดิมให้ดีขึ้น จริงหรือ ?

       ต้องขอบคุณสาธุชน สำหรับคำถาม ทำให้ผู้ที่มีคำถามคาใจ ยังไม่กล้าปฏิบัติ เพราะคิดว่าเป็นเรื่องเหลวไหล เป็นไปไม่ได้ ที่จะสามารถเปลี่ยนชีวิต เปลี่ยนพันธุกรรม(เปลี่ยนDNA…ซึ่งเป็นวิทยาศาสตร์) ด้วยอำนาจของพลังสมาธิ จึงต้องนำหลักฐาน พยานบุคคล ที่ปฏิบัติใช้พลังสมาธิ พร้อมศรัทธาในพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เปลี่ยนชีวิตจากคนที่เรียนไม่จบ ไร้อนาคต เป็นหนี้สินล้นพ้นตัว กลายเป็นอัครมหาเศรษฐี ของโลก มาให้ศึกษากัน

        มหาเศรษฐีชาวอินเดียวัย 61 ปีนาม “สุภัช จันทรา” ผู้มีสินทรัพย์ ในครอบครองราว 160,000 ล้านบาท เจ้าของกิจการเครือข่ายโทรทัศน์ Zee TV ที่มีผู้ชม 500 ล้านคนต่อวัน และเจ้าของ Esselworld and Water Kingdom สวนสนุกและสวนน้ำที่ใหญ่ที่สุดของอินเดีย ได้ทุ่มทุน 750 ล้านรูปี (ราว 500 ล้านบาท) เพื่อสร้างศูนย์วิปัสสนาที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งมีชื่อว่า เจดีย์วิปัสนาสากล (Global Vipassana Pagoda) ซึ่งเป็นเจดีย์สีทองขนาดมหึมา ตั้งโดดเด่น เป็นสง่าท่ามกลางแมกไม้ในหมู่บ้านโกไร เมืองมุมไบ ประเทศอินเดีย

จันทราเกิดและเติบโตในครอบครัวที่มีเครือญาติช่วยกันทำการค้า ภายในหมู่บ้านเล็กๆแห่งหนึ่งทางตอนเหนือของอินเดีย ต่อมาครอบครัวของเขาค้าขายขาดทุน เกิดภาระหนี้สินล้นพ้นตัว  จึงต้องแยกย้ายกันไป จันทราต้องออกจากมหาวิทยาลัยกลางคัน เพราะไม่มีเงินเรียน  เวลานั้นเขาเหลือเงินติดกระเป๋าไม่ถึง 30 บาท ขณะมุ่งหน้าสู่กรุงนิวเดลีเพื่อทำงานหาเงินมาช่วยใช้หนี้ ให้ครอบครัวซึ่งขณะนั้นอยูษในฐานะยากจน เขาใช้ชีวิตไม่มีจุดหมาย ไร้อนาคต






     ที่นิวดลลี จันทราได้พบลามะ(พระธิเบต) ได้ถ่ายทอดการปฏิบัติสมาธิ การกำหนดภาพชีวิต และธุรกิจ ทำให้เขาเริ่มจับงานด้านธุรกิจ และไม่นานเขาก็สามารถ หาเงินก้อนใหญ่ได้จากการค้าข้าว เขาจึงย้ายไป ที่เมืองมุมไบ เพื่อตั้งโรงงานเล็กๆผลิตหลอดลามิเนทบรรจุผลิตภัณฑ์ ต่อมาในช่วงสงครามอ่าวเปอร์เซีย จันทราได้เปิดสถานีโทรทัศน์ซีทีวี (Zee TV) ซึ่งเป็นโทรทัศน์ดาวเทียมแห่งแรกของอินเดียในปี 1992 ตอนนั้นครอบครัวของเขากังวลว่า เขาจะต้องสูญเสียธุรกิจเดิมที่สร้างมากับมือไป แต่สำหรับจันทรา เขามั่นใจในพุทธานุภาพ เขากล่าวกับเพื่อนอย่างมั่นใจว่า "เขามีเทวดาประจำตัว เทวดาจะไม่ทิ้งผู้ปฏิบัติชอบ และพระพุทธเจ้าจะนำเขาไปสู่ความสำเร็จ"






อโศก คูเรียน เพื่อนผู้ร่วมก่อตั้งซีทีวี เล่าว่า มันเหมือนการเดินเข้าสู่หุบเขาแห่งความตาย ยุคนั้นยังไม่มีสถานีโทรทัศน์ของเอกชน เพราะทางการไม่ให้ใบอนุญาต ดังนั้น จันทราจึงไปเปิดสถานีที่ฮ่องกงแทน รัฐบาลอินเดียได้เรียกตัวเขาไปสอบสวนหลายครั้ง และให้ปิดสถานี แต่จันทราปฏิเสธ แม้ในช่วงเริ่มต้นเขาต้องสูญเงินเดือนละ 180 ล้านบาทก็ตาม






  ในตอนนั้น จันทราได้รับการแนะนำให้รู้จักอาจารย์ผู้สอนสมาธิชาวอินเดีย ซึ่งได้ชักชวนให้จันทราเข้าปฏิบัติสมาธิ ซึ่งเป็นแนววิทยาศาสตร์เป็นครั้งแรก “สุชีลา” ผู้เป็นภรรยาได้สนับสนุนให้สามีลองปฏิบัติสมาธิเพื่อล้างพิษจากความเครียดที่มีอยู่ จันทราได้เข้าปฏิบัติต่อยอดจากที่เขาได้ เรียนรู้และปฏิบัติอยู่เดิม

       เนื่องจากเขามีพื้นฐานการปฏิบัติสมาธิจากลามะธิเบตมาก่อนแล้ว ทำให้เขาก้าวหน้าในการปฏิบัติเร็วขึ้น คอร์สแรกสำหรับเขาใช้เวลาเพีง 10 วัน ให้ผลดีมากกว่าแค่การขจัดความเครียด เพราะเมื่อจันทรากลับไปทำงาน เพื่อนร่วมงาน สังเกตได้ถึงความคิดของเขาว่า “แหลมคมเหมือนใบมีด” และเมื่อเรื่องงานทำให้เขารู้สึกเครียดมากขึ้น เขาก็ยังคงไปเข้าคอร์สปฏิบัติสมาธิอยู่เสมอ และแม้จะมีเรื่องงานมากมายให้สะสาง ที่ทำให้เขาไม่อาจหยุดได้ เขาก็จะพักงานไว้ก่อน และเลือกที่จะปฏิบัติ

 “บ่อยครั้งที่มีเรื่องทำให้ผมไปเข้าคอร์สปฏิบัติสมาธิไม่ได้ แต่ผมก็ยังไป” จันทราพูด อโศก คูเรียน เล่าว่า ช่วงปีแรกๆของการก่อตั้งซีทีวี เขารับไม่ได้กับการหายตัวไปของจันทราบ่อยครั้ง เรามักมีปัญหาที่ไม่ซ้ำกัน 40 เรื่องประดังเข้ามาพร้อมๆกัน แล้วจันทราก็หายตัวไปขณะที่เรายุ่งกับการแก้ปัญหา แต่แล้วเขาก็จะกลับมาในสภาพที่ได้ไปเติมพลังชาร์จแบตมาอย่างดี          

กว่า 20 ปีที่มหาเศรษฐี ชาวอินเดียได้เรียน การทำสมาธิสอนให้ผมมีจิตใจสงบนิ่งในทุกๆสถานการณ์ของชีวิต ซึ่งช่วยผมเป็นอย่างมากในเรื่องธุรกิจ โดยเฉพาะในยามวิกฤต ผมค้นพบว่า การทำสมาธิแบบนี้ เป็นไปตามหลักทางวิทยาศาสตร์ พิสูจน์ได้ และผมรู้สึกว่า มันเป็นหนทางที่เหมาะสำหรับผม

จันทราบอกว่า การทำสมาธิ ช่วยให้เขาประสบความสำเร็จ ทางธุรกิจจนร่ำรวยมหาศาล เขาจึงพยายามชักชวนคนในครอบครัวไปเข้าคอร์สปฏิบัติสมาธิแบบวิทยาศาสตร์ และยังสนับสนุนให้พนักงานซีทีวี ลางานโดยได้รับเงินเดือน เพื่อไปเข้าคอร์สวิปัสสนา แต่มีไม่ถึง 15% ที่ลางานไป มหาเศรษฐีใหญ่พูดอย่างอารมณ์ดีว่า “มันไม่ได้อยู่ในชะตาลิขิต แต่เราสามารถกำหนดชีวิตของเราเองได้”






ในปี 1997 จันทราได้ยกที่ดินราว 33 ไร่ มูลค่า 150 ล้านบาท เพื่อก่อสร้างศูนย์ปฏิบัติสมาธิที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยจำลองแบบมาจากมหาเจดีย์ชเวดากองของพม่า






“ผมได้รับประโยชน์มากมายจากการทำสมาธิ จึงอยากให้คนอื่นๆได้มีโอกาสเข้าร่วมในประสบการณ์นี้เช่นกัน” จันทรากล่าวขณะนั่งในห้องทำงานที่สำนักงานใหญ่ของเอซเซิล เขามีท่าทีสงบนิ่งเช่นเดียวกับภาพวาดองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่แขวนอยู่ด้านหลังโต๊ะทำงานของเขาจันทราเข้ามาดูแลการก่อสร้างเจดีย์ดังกล่าวทุกขั้นตอน เขาขับรถนาน 2 ชมจากที่ทำงานไปยังเขตก่อสร้างเพื่อตรวจสอบ ความคืบหน้าสัปดาห์ละ 2 ครั้ง “นี่เป็นสิ่งก่อสร้างที่มีลักษณะเฉพาะ เพื่อให้อยู่ได้นานถึง 2,000 ปี” จันทราบอก






เมื่อเจดีย์สร้างเสร็จสมบูรณ์ในปีค.ศ. 2008 มหาเศรษฐีหนุ่มใหญ่ ก็ได้จัดพิธีเฉลิมฉลอง โดยอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ ไปประดิษฐาน ณ ยอดโดมที่ใหญ่ที่สุด หลังการเฉลิมฉลองเจดีย์วิปัสสนาแล้ว จันทราได้ส่งมอบการบริหารกิจการทั้งหมดให้บุตรชายคนโต และในปีถัดมา เขาได้ก้าวลงจากตำแหน่ง ประธานมูลนิธิวิปัสสนาสากล แต่ยังคงเป็นผู้ดูแลทรัพย์สินและปฏิบัติสมาธิเป็นประจำทุกวัน เขาบอกว่า  “ผมสามารถทำสมาธิได้ทุกที่ ทุกเวลา แม้ขณะกำลังพูดคุยอยู่กับคุณ เพราะสมาธิ ก็คือลมหายใจของคุณเอง”






การเปลี่ยนแปลงชีวิตของ "อัครมหาเศรษฐีจันทรา" นั้นมาจากการปฏิบัติสมาธิล้วนๆ เขาได้กำหนด“อาปานสติกมฺมฐาน”แห่งความสำเร็จ ให้ปรากฏอยู่ในใจ เขามีความมั่นคงและศรัทธาในพุทธานุภาพอย่างเชื่อมั่น ว่ามีพลังที่สามารถเปลี่ยนชีวิตของเขา ให้ก้าวขึ้นจากหุบเหวแห่งความยากจน จากหนี้สิน และความค่นแค้น สู่ความสุขอันเจิดจ้าล้อมรอบไปด้วยความสำเร็จ สิ่งต่าง ๆ ที่เขาได้สร้างขึ้นมาล้วนแล้วแต่สำเร็จด้วยพลังสมาธิ ที่เขาได้ผ่านบททดสอบ แต่ละเรื่อง แต่ละขั้นตอน แม้บางคราวต้องใช้ชีวิตแลกกับความสำเร็จ ทั้งนี้เพราะเขารู้บทสรุปได้ดีว่า ไม่มีพลังใดจะมีอำนาจเหนือกว่าพุทธานุภาพ เป็นพลังอันไร้ขีดจำกัด สามารถพิสูจน์ทดสอบ และนำมาใช้ได้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ไม่ใช่เป็นความงมงายไร้เหตุผล






  อัครมหาเศรษฐีจันทรา ได้พิสูจน์ให้ชาวโลกยุคปัจจุบันได้เห็นว่า "พลังพุทธานุภาพ มีอยู่จริง สามารถพิสูจน์ได้ทางวิทยาศาสตร์ สามารถกำจัดทุกข์ กำจัดภัย และความยากจนหนี้สิน เปลี่ยนชีวิตได้จริง และการเชื่อมต่อระหว่างมนุษย์กับพุทธานุภาพนั้น สามารถเชื่อมประสานได้ด้วย "สมาธิ" เท่านั้น











สาธุชนผู้ประกอบด้วยกุศลจิต มุ่งหาหนทางแห่งการปฏิบัติชอบ พร้อมหรือยังที่จะเปลี่ยนชีวิต และฐานะ จากความตรากตรำลำบาก ยากจน ทนทุกข์ ก้าวสู่ความสำเร็จที่เป็นรูปธรรม สามารถแตะต้องได้ ถามใจคุณดูซิว่า ยังยินดีพอใจ ในสภาพชีวิตเดิมอยู่อีกหรือ หากคุณเปลี่ยนมันได้……




  ด้วยพลังแห่งพุทธานุภาพ ขอความผาสุขสวัสดี สมปรารถนา เจริญก้าวหน้าในธรรมะ-ปฏิบัติ จงบังเกิดแก่ทุกท่านโดยพลัน ถ้วนทั่วกันเทอญ ฯ






  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

รักษา "มะเร็ง" หายขาด ? ด้วยการหายใจอาปานสติ


ในที่สุด การแพทย์ก็ต้องยอมรับว่า "มะเร็ง……หายได้จากการฝึกหายใจ ไม่ใช่ไปฉายรังสี หรือ ทำคีโม". ……เราพูดเรื่องนี้มาตั้งแต่ปี 1983 คนฟังกลับไม่เชื่อ เห่อพากันไปทำ "คีโม" ผลคือ ……ตายทุกราย……แล้วตอนนี้เป็นไง ? เพิ่งจะมายอมรับ 
    ที่จริงแล้ว พระพุทธองค์ท่านทรงตรัสสอนเผยแผ่ให้แก่พุทธศาสนิกชนมาเกือบ 3000ปี ว่าการปฏิบัติตามพุทธวิถี "สติปัฏฐาน-ปฏิสัมภิทามรรค" แค่ขั้นเริ่มต้น คือ "อาปานสติ" = ฝึกควบคุมลมหายใจเข้าออก ก็สามารถรักษาโรคภัยได้หลายร้อยชนิด เรียกว่า "ธรรมะโอสถ" (ธรรมะ=ตั้งไว้=ตั้งลม โอสถ=รักษา ……รวมความแปลว่า ตั้งลมรักษาโรค" ) 
     ดังนั้นวิธีรักษาโรคด้วยการหายใจนั้น ไม่ใช่ว่าหมอฝรั่งเพิ่งจะมาค้นพบ อาจจะไปลอกมาจากคัมภีร์พุทธ แล้วมาแผลง ว่านับ 1234 เพื่อเป็นวิทยานิพนธ์ผลงาน แต่ไม่อ้างที่มา นี่แหละน๊า ……
    เอาเป็นว่า ตอนนี้วงการแพทย์ทั่วโลกเค้ายอมรับกันแล้วว่า หมดปัญญารักษามะเร็ง ด้วยเครื่องมือ หรือการใช้ยา ต้องใช้การหายใจที่ถูกต้องเท่านั้น 
ก็เลยนำข้อมูลทางวิชาการที่ว่า มาให้สาธุชนได้อ่านศึกษา อย่างน้อยก็จะได้ภาคภูมิใจ ที่เราเป็นชาวพุทธได้ศึกษาปฏิบัติ วิทยาการที่ล้ำยุคกว่าในปัจจุบัน

………………………………………………………………………………………………

มะเร็งกับการหายใจ - Shafin de Zane presents: What is Cancer?

นี่คือ สิ่งที่คุณ ไม่เคยคาดคิด มาก่อนเลยว่า จะมีผู้ใดกล่าวว่า - มะเร็ง คือ ธรรมชาติ
(Cancer is Natural)
มะเร็ง คือ ธรรมชาติ ของการปรับตัว ของเซลล์ อันเนื่องมาจาก การที่เลือดของเรา กลายเป็นพิษ เกินกว่าที่ เซลล์จะมีชีวิต ต่อไปได้ ถ้าหาก เซลล์เหล่านั้น ไม่ปรับตัว เซลล์เหล่านั้น จะป่วย และตาย เซลล์เหล่านั้น จึงตอบสนอง อย่างเป็น ธรรมชาติ ด้วยการผ่าเหล่า เพราะเซลล์ ในร่างกายมนุษย์ มีความสามารถ ที่จะปรับตัว เพื่อรับมือกับ การเปลี่ยนแปลง การปรับตัว ของเซลล์ จึงเป็นสิ่ง ที่เป็นธรรมชาติ
เป็นที่ น่าเสียดายว่า คุณหมอทั่วโลก บอกกับเราว่า วิธีการรักษามะเร็ง คือ การบำบัดด้วย-คีโม หรือ การทำลาย เซลล์มะเร็ง ด้วยรังสี แต่สิ่งที่คุณหมอ ไม่ได้บอกเราคือ ทำไมเซลล์มะเร็ง จึงผ่าเหล่า
ตั้งแต่แรก? อย่างไรก็ตาม- เมื่อสภาพแวดล้อม เปลี่ยนไป เซลล์อีกจำนวนมาก ก็จะผ่าเหล่า- ต่อไปอีก-ไม่เร็วก็ช้า นั่นเป็นสาเหตุ ที่เราพบเห็น
ผู้ป่วยมะเร็ง ถูกให้คีโม ดีขึ้นเพียงชั่วคราว แล้วกลับทรุด ลงไปใหม่อีก
จากมุมมอง ของเซลล์ หากมัน ไม่ผ่าเหล่า-มันจะต้องตาย การผ่าเหล่า ของเซลล์ จึงเป็นธรรมชาติ 
มะเร็ง แท้จริงแล้ว คือ วิวัฒนาการ ของกลุ่มเซลล์ ที่พยายามรอดตาย จากสภาพแวดล้อม ที่เป็นพิษ แต่ทั้งหมดนี้ ก็กลายเป็นสิ่งที่ ควบคุมไม่ได้ เพราะเซลล์เหล่านั้น ลงเอยด้วยการ- ฆ่าร่างกาย แต่นั้น ไม่ใช่ประเด็น ที่แท้จริง

มะเร็ง คือ วิวัฒนาการ ของกลุ่มเซลล์ ที่พยายาม จะรอดตาย ในสภาพแวดล้อม ที่เป็นพิษอย่างสูง เราต้องพยายาม ทำความเข้าใจ ในประเด็นนี้ ให้ชัดเจน การพยายามฆ่า เซลล์เหล่านั้น -โดย ไม่ได้เปลี่ยนแปลง สภาพแวดล้อม เปรียบได้กับ การฆ่าแมลงวัน โดยไม่ได้พยายาม เอาขยะออกไป
เอาละ คุณจะลงมือ อย่างฉับพลัน- เพื่อปรับปรุง สภาพแวดล้อม ของคุณ อย่างรวดเร็ว ได้อย่างไร
มีวิธีการง่ายๆ ด้วยกัน 3 วิธีคือ:

👉วิธีที่ 1. หายใจลึกๆ - หายใจลึกๆ
สิ่งแรกที่กระตุ้น ให้เซลล์ผ่าเหล่า และ กลายเป็น เซลล์มะเร็ง คือ การขาดออกซิเจน
เซลล์มะเร็ง ปรับตัวเพื่อรอดชีวิต ในสภาพแวดล้อม ที่มีระดับ ออกซิเจนต่ำ ยิ่งมีออกซิเจน ต่ำเท่าไร เซลล์มะเร็ง ก็ยิ่งเติบโต ได้มากขึ้นเท่านั้น เพราะนี่คือ วิวัฒนาการ ของเซลล์ ที่ปกติต้องการ จะรอดชีวิต อยู่ได้ ในสภาพแวดล้อม ที่มีระดับ ออกซิเจนต่ำ - วิธีแก้ไขคือ หายใจลึกๆ ซึ่งเป็นการ ออกกำลังง่ายๆ ที่ทำได้ทุกเช้า เพื่อเพิ่ม ระดับออกซิเจน ให้กับเลือด
-- เดิน 5 นาที แล้วหายใจแบบนี้ คือ 
- หายใจเข้า 4ครั้ง ติดกัน กลั้นหายใจแล้วนับ 1 ถึง4
- หายใจออกช้าๆ 4 ครั้ง ติดกัน
ทำอย่างนี้ครับ
>>>> 1-2-3-4 <<<<
ทำอีกครั้งครับ
>>>> 1-2-3-4 <<<<
ผมหายใจเข้าทางจมูก >>>>
กลั้นใจแล้วนับ 1-2-3-4
หายใจออกทางปาก <<<<
หายใจ เข้าไปในท้อง ไม่ใช่หายใจ เข้าไปในอก นี่คือวิธีการหายใจ ที่ถูกต้อง ถ้าหากไม่มีที่เดิน ให้เดิน ในห้องนอน ของคุณ เพราะมันมีที่ พอสำหรับ
การออกกำลัง ของเราทุกวิธี

👉วิธีที่ 2 หยุดรับประทาน -กรด
สิ่งที่สอง ที่มากระตุ้นเซลล์ ให้ผ่าเหล่า กลายเป็น เซลล์มะเร็ง คือ สภาพแวดล้อม ที่เป็นกรด เพราะนั่นคือ การตอบสนอง ที่จะทำให้ เซลล์รอดชีวิตได้ ในสภาพแวดล้อม ที่เป็นกรด เซลล์ที่ผ่าเหล่า จะตาย ในสภาพแวดล้อม ที่เป็นด่าง และเติบโต ในสภาพแวดล้อม ที่เป็นกรด คุณจะทำ ให้ร่างกายของคุณ เป็นด่างได้ ก็ด้วยการ รับประทาน
อาหารที่เป็นด่าง มากขึ้น
- น้ำผัก น้ำผลไม้สด มีประสิทธิภาพ สูงมาก
- งดน้ำตาล โคคา-โคล่า เปปซึ่ และ น้ำอัดลมทุกชนิด กาแฟ เนื้อสัตว์ นม บุหรี่ และ แอลกอฮอล์
- รับประทาน ผักสดสีเขียว ผลไม้สด น้ำด่าง และ น้ำมะพร้าว หากคุณ ต้องการเห็น การเปลี่ยนแปลง ของสุขภาพ อย่างน่าอัศจรรย์ ในระยะเวลาอันสั้น ดื่มน้ำผักสดปั่น ทุกเช้า โดยไม่ต้อง รับประทาน อะไรอีกเลย จนกว่าจะถึง มื้อเที่ยง -นำผักใบเขียว หลากชนิด มะเขือเทศ แตงกวา ปั่นกับน้ำสะอาด แล้วดื่ม คุณอาจจะคิดว่า มันไม่น่าดื่มเลย แต่มันไม่เลวร้าย และออกจะอร่อย ด้วยซ้ำไป เมื่อคุณ คุ้นเคยกับมัน

👉วิธีที่ 3 ดูแลร่างกายของคุณ
ความเครียด ทำให้ ระบบภูมิคุ้มกัน อ่อนแอ
ความเครียด คือ ฆาตกรเบอร์หนึ่ง และเป็นต้นเหตุ ที่ก่อให้เกิดโรค -ทุกโรค ความเครียด เพิ่มกรด และ ส่งผลกระทบ ต่อทุกสิ่งทุกอย่าง ในร่างกาย มันจึงเป็นสิ่ง ที่สำคัญมาก ที่เราจะต้อง ทำจิตใจ ให้แข็งแรง เบิกบานอยู่เสมอ
คุณจะทำเช่นนั้น ได้อย่างไร ?
- ทำสมาธิ ดูหนังตลก ละเว้นจากการดู ข่าวร้าย
และ เรื่องเลวร้าย อ่านหนังสือดีๆ ที่ทำให้เกิด แรงบันดาลใจ หาสัตว์มาเลี้ยง พบเพื่อนใหม่ๆ สัมพันธภาพใหม่ๆ ปลดความทุกข์ ความสลดใจเก่าๆ และสิ่งเลวร้ายต่างๆ ที่ผ่านไปแล้ว 

👏และแชร์ข้อมูลนี้ ให้กับผู้อื่นต่อไป ให้มากที่สุด ที่คุณจะทำได้
ความเจ็บปวด และ ความเสียหาย ที่เกิดจากการ บำบัดด้วยคีโม เลยเถิดไปอย่าง เหนือคำบรรยาย
ช่วยให้ผู้อื่น ตื่นจากฝันร้าย ที่เกิดจาก โฆษณาชวนเชื่อ ของผู้ผลิตยา กันเสียที การป้องกัน และ รักษาตนเอง ให้หายจากมะเร็ง เป็นสิ่งที่ง่ายดาย เสียจนแทบ จะเป็นเรื่องตลก อย่างเหลือเชื่อ
ใช้ความคิด ให้ถูกต้อง
จงเปลี่ยนน้ำ ในบ่อปลา เมื่อปลาป่วย เพราะ การทำลายบ่อปลา ไม่ใช่ทางออก ที่ถูกต้อง
มาช่วยกัน ทำให้โลกของเรา ในวันนี้- น่าอยู่ขึ้น

………………………………………

หมายเหตุ :::

      ตามวิธีที่หมอฝรั่ง (ข้างบน) เขาบอกมาว่า ให้หายใจ 1-2-3-4 เพื่อรักษามะเร็งน่ะ บอกได้เลยว่า รักษามะเร็งไม่หายขาด เพียงแค่บรรเทา หรือ หยุดการเจริญเติบโตของเซลมะเร็งไประยะหนึ่ง (เหมือนเอาเนื้อสดไปแช่แข็งไม่ให้เน่า). อันนี้กล้าพูดเพราะพิสูจน์กันมาแล้ว ถ้าหายใจแบบที่ว่า แค่ผ่อน ยืดเวลาตายออกไป.เท่านั้น !!
      
      แต่ถ้าจะให้หายขาด จะต้องหายใจด้วย วิธี อาปานสติ ซึ่งมีวิธีเฉพาะ ไม่ใช่มักง่าย หรือกระโดดตบมือเหย็ง ๆ นับ 1-2-3-4 อย่างที่ว่า เพราะการปฏิบัติอาปานสติที่ถูกวิธี แล้วสามารถวัดการเพิ่มของเกล็ดเลือดวัดผลได้ ทันที เพราะถุงลมในปอดจะถูกล้าง จึงใช้งานและเพิ่มอ๊อกซิเจนเต็มที่ มะเร็งจึงหาย "เพราะมะเร็งไม่อาจอยู่ได้ในพื้นที่ ๆ มีอ๊อกซิเจน". ตัวอย่างที่มีชีวิตของผู้ปฏิบัติอาปานสติที่ถูกต้อง อายุเกือบ 90 ปี เดินข้ามเขาเกือบร้อยลูก ได้อย่างสบายๆ และไม่เคยป่วย ไม่เคยเข้าโรงพยาบาล จะหาหมอ นอกจากไปถอนฟัน………จิตใจที่เข้มแข็ง จะอยู่ภายใต้ร่างกายที่สมบูรณ์ 

       ขอความผาสุขสวัสดี เจริญก้าวหน้าในธรรมะปฏิบัติ ตามพุทธวิถี "สติปัฏฐาน-ปฏิสัมภิทามรรค" จงบังเกิดมีแด่ทุกท่าน โดยพลัน ถ้วนทั่วกันเทอญ ฯ

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

อธิษฐาน คือ หัวใจของพระพุทธศาสนา




" อธิษฐาน" ไม่ผิดอะไรกับการออกแบบบ้าน ผู้ออกแบบต้องเรียนรู้และฝึกฝน จนเป็นสถาปนิกผู้ชำนาญการ และแน่นอนที่สุด อย่างปฏิเสธไม่ได้ก็คือ  แบบบ้าน(Blue Print) ที่สถาปนิกออกแบบมานั้น ได้เสร็จสมบูรณ์ " เป็นภาพในใจ" ก่อนที่เขาจะจับปากการ๊อตติ้ง ไม้บรรทัด มาขีดเขียนไปบนกระดาษเสียอีก นี่คือธรรมชาติที่เราทุกรูปนามมีอยู่ แต่ไม่ได้ฝึก ไม่ได้ใช้ แล้วก็คิดเอง เออ เอง ว่าบ้านหรือตึก สิ่งปลูกสร้าง ใครก็ทำได้ของง่าย ๆ เอาแค่ตอกตะปู โบกปูน ถ้าไม่ผ่านงาน ไม่ฝึกหัดก็ลองดูหน่อยเป็นไร ว่าจะเป็นบ้านให้ผู้คนอยู่อาศัย หรือ เป็นได้แค่ "เพิงหมาแหงน"
    การอธิษฐานก็เช่นกัน ไม่ใช่เรื่องของการนึกฝัน คิดเอาเอง พอตัวเองทำไม่ได้ ก็เลยกลายเป็นว่า "อธิษฐาน คือ การอ้อนวอนของคนหมดหนทาง "   อืม !!…… นะ

      คำว่า “อธิษฐาน” ตามความเข้าใจของคนทั่วไปมักหมายถึงการอ้อนวอนร้องขอต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ตนเคารพนับถือ เช่นการไปกราบไหว้พระพุทธรูปที่ศักดิ์สิทธิ์ตามวัดต่าง ๆ  หรือไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ตามสถานที่ต่าง ๆ แล้วก็ขอให้ตนได้สิ่งนั้นสิ่งนี้ หรือเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ และมีการบนบานศาลกล่าวด้วยว่า ถ้าตนได้สมประสงค์ในสิ่งที่อ้อนวอนแล้ว ก็จะนำสิ่งของหรือจะทำสิ่งนั้นสิ่งนี้มาสักการะเพื่อเป็นการตอบแทน การอ้อนวอนจึงมักเกี่ยวโยงกับการบนบานศาลกล่าวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

พระพุทธโฆษาจารย์ (ป.อ. ปยุตฺโต)ได้กล่าวถึงความแตกต่างระหว่าง " อธิษฐาน กับ การอ้อนวอน " ไว้ว่า

เวลานี้ คนไทยทั่วไปก็เข้าใจเคลื่อนคลาดผิดพลาดไปในความหมายของ “อธิษฐาน” มักนึกถึงอธิษฐานในความหมายที่เป็นการอ้อนวอนปรารถนา เรื่องก็เลยกลายเป็นว่าอธิษฐานของคนไทย กับอธิษฐานของพระไม่เหมือนกัน พูดง่าย ๆ ว่า "คนไทยอธิษฐานเพื่อจะได้ แต่พระสอนให้อธิษฐานเพื่อจะทำ "(พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต), จาริกบุญ จาริกธรรม, (กรุงเทพฯ : พิมพ์สวย, ๒๕๔๑),หน้า ๓๓๑.

        การอธิษฐานบารมีตามหลักพระพุทธศาสนา เป็นการตั้งจุดมุ่งหมายหรือความปรารถนาต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง หรือเพื่อกระทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งโดยอาศัยการกระทำของตน

        กล่าวคือ เมื่อมีการตั้งความปรารถนาแล้วก็ดำเนินตามจุดมุ่งหมายที่วางไว้อย่างแน่วแน่ เช่น การตั้งความปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า หรือตั้งความปรารถนาเป็นพระสาวกเอตทัคคะด้านต่าง ๆ เป็นการตั้งจุดมุ่งหมายแล้วก็ปฏิบัติตนตามจุดมุ่งหมายนั้น ๆ มีหลักการและวิธีการปฏิบัติที่ชัดเจน
ซึ่งการตั้งจุดมุ่งหมายนี้จะเกิดขึ้นหลังจากที่ได้ทำบุญกุศลอย่างใดอย่างหนึ่งก่อนแล้วจึงอธิษฐานหรือตั้งความปรารถนา จากนั้นก็ทุ่มเทบำเพ็ญบารมีเพื่อให้ไปถึงจุดหมายนั้น เน้นการกระทำของตนเป็นสำคัญ ต่างจากการอ้อนวอนซึ่งหลังจากอ้อนวอนแล้วก็ไม่มีหลักการที่แน่นอนว่าตนเองจะทำอะไรให้ได้ในสิ่งที่อ้อนวอนนั้น ปล่อยให้เป็นไปตามอำนาจหน้าที่ของเทพเจ้าแล้วแต่จะดลบันดาลให้ อันเป็นลักษณะของศาสนาเทวนิยม ซึ่งไม่ตรงตามหลักคำสอนของพระพุทธศาสนา การอธิษฐานเป็นการทำเหตุให้ได้ในสิ่งที่ปรารถนาโดยตนเอง แต่การอ้อนวอนหวังผลจากสิ่งภายนอก หรืออาจกล่าวได้ว่าการอธิษฐานเน้นที่ผลสัมพันธ์กับเหตุ ส่วนการอ้อนวอนเน้นที่ผลไม่สนใจเหตุ...

อธิษฐาน ประกอบด้วยองค์ 3 คือ. สัจจะ จาคะ ธัมมะ

1. ถึงพร้อมด้วยสัจจะ คือ วาจา อันกล่าวมาจาก "ใจ" หรือ วาจากับใจเป็นหนึ่งเดียวกัน ต่างกับการพูดทั่วไป จึงต้องฝึกให้ วาจา กับ ใจ ออกเสียงพร้อมกัน

2. ถึงพร้อมด้วยจาคะ คือ ทาน ไม่มีทานใดจะยิ่งไปกว่าการให้ชีวิตของตน เพราะมนุษย์ สัตว์ทุกรูปนาม ย่อมรักชีวิตของตน ดังนั้น การกล่าวสัจจะวาจา ถวายชีวิตเป็นพุทธบูชา จึงมีความสำคัญยิ่งเป็นอันดับที่ ๒ จึงต้องฝึกกล่าวทุกวัน

3. ธัมมะ  ที่ตั้ง หมายถึงคำที่กล่าวเป็น วลี ออกมานั้นจะต้องออกมาจากฐานที่ตั้งของใจ จึงเรียกกันสืบมาว่า "ตั้งใจ" (แต่เอาเข้าจริง จะมีสักกี่คนที่จะรู้ว่า ณ เวลานั้น ๆ ใจอยู่ที่ไหน ? พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ชัดเจนว่า " สิ่งทั้งหลาย ย่อมสำเร็จได้ด้วยใจ" ดังนั้นเมื่อไม่รู้ที่ตั้งของใจ อะไรก็ไม่สำเร็จ


           ด้วยเหตุดั่งนี้ ท่านจึงให้ฝึก "หาที่ตั้งของใจ โดยใช้ลม" เรียกว่า "ลมหาใจ" (สมัยต่อมาเพี้ยนเป็น "ลมหายใจ") การฝึกนี้เป็นขั้นต้น ในพระบาลีเรียกว่า "อาปานสติ" แยกคำออกเป็นส่วนๆ ได้ดังนี้ คือ
อา=ลมที่เราสูดเข้าไปทางจมูก.
ปา=ลมที่ออกมาทางจมูก
สติ=ระลึกรู้ลมที่เข้าออกนั้น

หมายเหตุ :::
เมื่อเวลาผ่านมานับพันๆ ปี ภาษาที่ใช้ก็เพี้ยนไป การคัดลอกคัมภีร์สืบต่อ ก็พลอยผิดไป เนื่องจากการถ่ายทอดการปฏิบัติ จะใช้แบบมุขปาฐะ เฉพาะศิษย์ที่ใกล้ชิด ทั้งนี้เพื่อป้องกันกัน มิให้เกิดเหตุเดียรัจถีย์ปลอมบวช(ดั่งเช่น ศังการพราหมณ์) ได้ความลับของการปฏิบัติในพระพุทธศาสนาไป และนำไปใช้ในทางอกุศล ดังนั้นการถ่ายทอดด้วยเสียงพูด(มุขปาฐะ) ทำให้ผู้ฟังเข้าใจผิดเพี้ยนไป

     โดยเฉพาะ องค์แห่งการอธิษฐานที่ 3 คือ ธมฺม (อ่านว่า ทำ มะ……แปลว่า ทรงไว้ ตั้งไว้ รักษาไว้) เป็น ธ. ธง ผู้ฟังก็ได้ยินเป็น ท.ทหาร จึงบันทึกเป็น ทมะ (อ่านว่า ทะ มะ แปลว่า. ทมะการรู้จักข่มจิตข่มใจตนเอง ทมะ หมายถึง ความรักในการฝึกฝนตนเอง ... ทันต่อกิเลส หมายถึง รู้เท่าทันกิเลสภายใน ตัวของเรา รู้ว่าอะไร คือสิ่งที่จำเป็นสำหรับชีวิต อะไรคือสิ่งฟุ่มเฟือย สิ่งไร้สาระ ไม่เกิดประโยชน์) ซึ่งก็ใกล้ความจริงในความหมาย แต่มันไม่ใช่ เหมือน วัวกับควาย ใช้ไถนาได้ ดูคล้ายกัน แต่ไม่เหมือนกัน ดังนั้น เมื่อความผิดเพี้ยนทางภาษาเกิดขึ้น เวลาผ่านไป หาผู้รู้จริงจากการปฏิบัติไม่ได้ จึงยึดตำรา และเมื่อนำตำรามาเป็นแนวทาง การปฏิบัติ "อธิษฐาน" ซึ่งเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา จึงไม่เกิดผลเป็นที่ประจักษ์ จึงพากันกล่าวเบี่ยงเบนไปว่า การอธิษฐานคือ "ความโลภ…อยากได้ หรือ เป็นพุทธต้อง ลด ละ เลิก จะอธิษฐานไปทำไม ผิดทางที่พระพุทธเจ้าสอน ……เอาพระพุทธเจ้ามาปิดปากคนที่ถามอยากปฏิบัติ. (ซึ่งถ้าผู้ที่กล่าวเช่นนั้นเป็นภิกษุก็ต้องครุกาบัติ(อาบัติหนักที่ปลงไม่ได้ ฐานกล่าวตู่พุทธพจน์ที่ไม่มีอยู่จริง) เพราะทุกระดับชั้นในการปฏิบัติ ไมว่าปฐมฌาน ไปจนถึงขั้น สัมโพธิญาณ ต้องอาศัยการอธิษฐานทั้งสิ้น ยกตัวอย่างง่ายๆ พระพุทธองค์ในอดีตชาติยังทรงอธิษฐานเป็นพระพุทธเจ้า แม้ก่อนจะบรรลุอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ ยังทรงอธิษฐานลอยถาด แม้ว่าทรงตรัสรู้แล้วในการเผยแผ่พระพุทธองค์ก็ทรงอธิษฐาน และทรงสั่งสอนถ่ายทอดให้กับพุทธบริษัท เพราะอธิษฐาน คือ "หัวใจของพระพุทธศาสนา"

ด้วยพลังแห่งพุทธานุภาพ ความเจริญก้าวหน้า ในธรรมะ-ปฏิบัติ ตามพุทธวิถี "สติปัฏฐาน-ปฏิสัมภิทามรรค" ความสมบูรณ์ด้วยลาภ โชค โภคทรัพย์ สมปรารถนาในสิ่งอันเป็นกุศล จงบังเกิดผลโดยพลัน แก่สาธุชนทุกท่าน ดั่ง "ใจอธิษฐาน" ทุกประการ เทอญ

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

ใช้ภาพ -เสียง ทำสมาธิ มีตรงไหน ในพระไตรปิฎก Part III

   



ดังที่ได้กล่าวไปแล้วว่า "เสียง ที่เราได้ยิน และไม่ได้ยินนั้น เกิดจากการคลื่นเสียงที่ผลักให้เกิดการเคลื่อนตัวของ โมเลกุล"  ทั้งนี้หมายรวมไปถึง เสียงที่เราเปล่งออกมาด้วยเช่นกัน ซึ่งสมองจะทำหน้าที่เสมือนเครื่องส่งและเครื่องรับสัญญาณคลื่น การเคลื่อนที่ของโมเลกุลที่เกิดจากคลื่นเสียงนั้น ก็จะทำให้เกิดการเคลื่อนตัวของโมเลกุลในสมองมนุษย์ด้วย 





ความมหัศจรย์ของสมองมีการสื่อสาร รับรู้และสั่งการได้อย่างรวดเร็ว โดยใช้เวลาไม่ถึงวินาทีิสำหรับคนที่ศึกษาทางด้านชีววิทยาที่เกี่ยวกับการทำงานของสมอง ถือว่าเป็นเรื่องที่น่าทึ่งมากๆ และก็เป็นโจทย์ที่ตั้งไว้สำหรับการวิจัยมาช่วงระยะเวลาหนึ่งแล้ว เพื่อที่ศึกษาและทำความเข้าใจถึงกลไกการทำงานและการสื่อสารระหว่างเซลล์สมองนับล้านๆ เซลล์





  ซึ่งสามารถกล่าวได้ว่า สมองซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ชั้นยอด อันจะหานวตกรรมใดๆ ในโลกยุคปัจจุบันเทียบได้ เพราะมันสามารถที่จะบรรจุข้อมูลต่างๆ ได้อย่างไม่จำกัด และประมวลผลข้อมูลเพื่อนำมาใช้ได้อย่างรวดเร็ว ตั้งแต่เรื่องที่ดูเหมือนจะง่ายที่สุดอย่างการควบคุมการหายใจไปจนถึงเรื่องที่ดูเหมือนจะยากที่สุด เช่น การแก้โจทย์ปัญหาต่างๆ ในการเรียนรู้ในชั้นเรียน อย่างไรก็ตามสมองก็สามารถเกิดความผิดปกติต่างๆ ได้เช่นเดียวกับคอมพิวเตอร์  ซึ่งแสดงออกในรูปแบบของการเป็นโรคเกี่ยวกับสมอง เช่น โรคพาร์กินสัน โรคความจำเสื่อมและอาการหลงๆ ลืมๆ เมื่อเข้าสู่วัยชรา เป็นต้น





ที่ผ่านมานักวิทยาศาสตร์จำนวนมากได้ศึกษาค้นคว้าและวิจัยสะสมองค์ความรู้ต่างๆ จนสามารถทำความเข้าใจกลไกการทำงานของสมองได้ในระดับหนึ่ง อย่างน้อยในขณะนี้ก็ทำให้เราทราบว่า เซลล์สมองมีการสื่อสารและส่งข้อมูลต่างๆ ผ่านโมเลกุลของสารที่อยู่ภายในร่างกายหรืออาจจะกล่าวได้ว่า เซลล์สมองมีการสื่อสารกันโดยใช้ “biochemical signal molecules” หรือที่เรียกว่า “สารสื่อประสาท”






ปัจจุบัน นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยโคเปนเฮเกน (University of Copenhagen) ประเทศเดนมาร์ก ได้อธิบายถึง ความสามารถในการส่งต่อกระแสประสาทของเซลล์ประสาทไว้ว่า การสื่อสารระหว่างเซลล์ประสาทเหล่านี้จะใช้สารสื่อประสาททั้งหมด 3 ชนิด คือ 1) โดปามีน (dopamine) ทำหน้าที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการคิดและความจำ  2) เซอโรโทนิน (serotonin) ทำหน้าที่ควบคุมสภาวะทางอารมณ์  และ 3)   นอร์อะดรีนาลีน (noradrenalin) ทำหน้าที่เกี่ยวกับสมาธิ ความตั้งใจ และการตื่นตัว






การที่เซลล์ประสาทสามารถส่งกระแสประสาทไปยังเซลล์ประสาทอื่นๆ ได้ต้องอาศัยการทำงานของ โปรตีนตัวรับ ที่เรียกว่า “Soluble N-ethylmaleimide-sensitive factor attachment protein receptor (SNARE) proteins” หรือเรียกชื่อย่อว่า SNARE ทีมนักวิจัยจากโคเปนเฮเกน พบว่า การส่งกระแสประสาทที่เกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็วนั้น เป็นผลมาจากการทำงานของ SNARE ที่ทำหน้าที่เชื่อมเวสิเคิล (vesicle ซึ่งบรรจุสารสื่อประสาท) เข้ากับเยื่อหุ้มเซลล์ประสาท โดยจะพบ SNARE อย่างน้อย 3 ชุดที่ทำหน้าที่ดังกล่าว และถ้ามี SNARE เพียงแค่ชุดเดียวก็จะทำให้การเชื่อมต่อกันของเยื่อหุ้มเซลล์ประสาทกับเวสิเคิลทำได้ช้าลง





โมเลกุลของสารตั้งต้นสำหรับการจับกันเพื่อเกิดเป็น SNARE complex (ตามภาพ) จะบรรจุอยู่ในเวสิเคิลก่อนที่ถุงเวสิเคิลนี้จะเดินทางมาถึงเยื่อหุ้มเซลล์ประสาทที่เป็นเป้าหมาย และการรวมตัวกันอย่างรวดเร็วของเยื่อหุ้มเวสิเคิลกับเยื่อหุ้มเซลล์ประสาทจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วด้วยการช่วยเหลือของ SNARE อย่างน้อย 3 ชุด แต่ถ้ามี SNARE เพียงแค่ชุดเดียวก็ยังคงสามารถที่จะทำงานได้ เพียงแต่จะใช้เวลามากขึ้นเท่านั้นเอง. ที่สำคัญคือ SNARE นี้จะเกิดขึ้น เคลื่อนไหว และแตกสลาย หายไป นั้นเกิดจากกระแสคลื่นสัญญาณไฟฟ้าชีวภาค ที่เข้ามากระทบ ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และความนึกคิด ทางพุทธศาสนา เรียกว่า "อารมณ์"(Bio-electromagnetic)" และนี่คือความสำคัญในการควบคุม สร้างเสริม SNARE ให้เพิ่มจำนวนมากขึ้น เพื่อให้เกิดการสื่อสาร และประมวลของสมองที่รวดเร็ว ก็จะเกิดจากสามารถควบคุมให้อารมณ์สงบได้ มาน้อย นาน ได้แค่ไหน ซึ่งภาษาทางปฏิบัติเรียกว่า "สมาธิ"











สารบัญทั้งหมดจะอยู่ทางด้านขวามือของหน้า  (ทุกหน้า)   เวอร์ชันสำหรับเว็บ



  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

ใช้ " ภาพ-เสียง " ทำสมาธิ มีตรงไหน ในพระไตรปิฎก






ในยุคปัจจุบันผู้คนทั้งหลาย ต่างยินยอมพร้อมใจ "เชื่อ" และ "ยอมรับ ในสิ่งที่เห็น และ สำผัสโดยไม่ต้องมีคำอธิบาย" ว่า โลกเจริญก้าวหน้าด้วยเทคโนโลยีล้ำยุค นำสมัย ส่วนจะแค่ไหนขึ้นอยู่กับว่าใคร อยู่ใกล้สื่อชนิดไหนที่รับข้อมูลเข้าสู่สมองมากกว่ากัน ก็จะปักใจเชื่อมั่นในสิ่งที่ได้เห็น ได้ยิน จนมิอาจเปลี่ยนแปลง และนำมาประพฤติ ปฏิบัติ กลายเป็นธรรมชาติ นิสัย และพฤติกรรม

       และด้วยเหตุดังกล่าวนี้ สิ่งใดที่ไม่่่ตรงกับสิ่งที่ตนได้รับมา ก็จะกลายเป็นข้อขัดแย้ง หรือ อุปสรรค ขวางกั้นหนทางดำเนินไปสู่ความสำเร็จ และเป้าประสงค์สูงสุดของชีวิต ในที่สุด

       ในความสับสนของสังคมHi-Tech ที่เปลี่ยนวิถีการดำเนินชีวิตของมนุษย์ไป จนหลายๆ ท่านส่วนใหญ่ก็สงสัยว่า "ตัวเองยังคงความเป็นมนุษย์ อยู่หรือเปล่า ?" การดำเนินชีวิต และความเป็นอยู่ ล้วนขึ้นอยู่กับ คำว่า "เป็นไปตามกระแส" ไม่ได้เป็นตัวของตัวเอง ไม่มีีีเด็ก ไม่มีผู้ใหญ่ ไม่มีวัยอาวุโส สังคมแปรเปลี่ยน ครอบครัวห่างเหิน ชีวิตเพียงให้ "อยู่รอด และ ยอมรับ" ดุจเรือที่ลอยเคว้งคว้างกลางทะเล ไร้จุดหมาย ไร้ทิศทาง เพียงปล่อยไปตามยถากรรม นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้น และเป็นอยู่ในโลกยุคปัจจุบัน ที่กำลังเป็นอยู่ และเป็นไปแบบไร้ทิศทาง แต่..แต่..ทกรูปนามในยุคนี้ต้องยอมรับ ไม่งั้นก็กลายเป็น "พวกตกTrain" อยู่ในสังคมเขาไม่ได้...

ในส่วนของศาสนาก็เช่นกัน โดยเฉพาะพระพุทธศาสนา ที่พระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ตรัสรู้เผยแผ่แก่พุทธบริษัท สาธุชนทั้งหลาย ด้วย "ธรรมและวินัย อันตถาคตตรัสไว้ดีแล้ว" ได้ผ่านกาลเวลามาเกือบ 2,600 ปี ข้อวัตรปฏิบัติอันจริงแท้และได้ผลพิสูจน์ทราบ ก็เลือนหายไปตามกาลเวลา ยิ่งมาถึงยุคนี้ การปฏิบัติเพื่อให้ปรากฏผลจริงตามที่พระพุทธองค์ทรงรับรองไว้กลับไม่มีให้เห็น ต่างปฏิบัติกันไปตามแต่บุญแต่กรรม "เพียงแค่ได้ทำ...ได้ดีใจ...ได้ปลื้มใจ" และก็รับเอาว่า "นั่นแหละใช่ นั่นแหละถูกต้อง" แต่กลับไม่สามารถปลดเปลื้องทุกข์หยาบ ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตตนเองได้จริง เช่น หนี้สิน ซึ่งเป็นเรื่องทุกข์หยาบๆ เรียกว่า "หนี้กู้" ปฏิบัติแล้วก็ยังไม่อาจหลุดจากหนี้ ทั้ง ๆ ที่เป็นสิ่งที่จับต้องได้ แต่กลับถูกเบี่ยงเบนเป้าหมายให้มองข้ามช๊อท โน่น..คิดจะไปนิพพาน ทุกข์หยาบๆ อย่างหนี้ยังหลุดพ้นไม่ได้ จะไปหลุดพ้นทุกข์ละเอียด เหมือนชั้นประถมยังไม่ผ่าน

อักขระพยัญชนะยังเชียนไม่ได้ อ่านไม่ออก บอกจะรับปริญญาเอก จะจบด๊อกเตอร์ แต่ก็เชื่อกัน พากันไปทำ หาเหตุผลอธิบายไม่ได้ นี่คือ สิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันของวงการศาสนา และ นักปฏิบัติ เหมือนกับคนขับรถไม่รู้จักเส้นทาง แต่รับผู้โดยสารขึ้นไปเต็มคัน...แล้วจะถึงเป้าหมายที่ว่านั้นหรือไม่ ?
            มาถึงการปฏิบัติ เพื่อไปสู่ความสำเร็จ ที่พิสูจน์สัมผัสแตะต้องได้ตามหลักพระพุทธศาสนา ที่เลอะเลือนไปตามการเวลา ยกตัวอย่างเรื่อง "การใช้เสียงทำสมาธิ" แน่นอน ท่านที่เป็นนักปฏิบัติประเภทอินเดียน่า โจนส์ คือ ล่าอาจารย์ ไปทุกสำนัก รู้หมด วัดไหนดัง วัดไหนปฏิบัติอย่างไร พระอภิธรรม ก็เรียนรู้ท่องได้ทุกตัว บาลีแปลได้ทุกอักขระ พอกล่าวว่า "พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า...ต้องใช้เสียงในการกำหนดทำสมาธิ..." พวกนี้ก็จะบอกว่า ไม่จริงหรอก..เพราะสมาธิต้องสงบ จะใช้เสียงไม่ได้ ไม่ยังงั้นพระพุทธองค์คงไม่ให้ผู้ปฏิบัติปลีกวิเวก(วิเวก=สงบ) หากจะมีก็จะเป็นพวกสายมหายาน ธิเบต ญี่ปุ่น หรือ จีน ที่นั่งเคาะไม้ เคาะระฆัง เป่าแตร และทำสมาธิไป มันไม่ใช่หนทาง...นอกพุทธพจน์ นอกพระไตรปิฏก...เค้าก็จะกล่าวอย่างนั้น  คำถามจึงเกิดขึ้นในใจ ของผู้ที่เดินเข้ามาสู่มิติแห่งพุทธวิถี "สติปัฏฐาน-ปฏิสัมภิทามรรค" ว่าเดินมาถูกทางแล้วละหรือ ?





และนี่แหละ คือประเด็นที่จะต้องกล่าวถึงอย่างชนิดให้ Clear Cut แบบไม่ให้เกิดข้อวิพากษ์ สามารถพิสูจน์ผล และแหล่งที่มาของข้อมูล อันสาธุชนผู้ใฝ่ปฏิบัติชอบทุกท่าน จะได้นำไปค้นคว้า ศึกษา ปฏิบัติ ให้ได้ผลจริงสืบไป

       พระสัมมาสัมพุทธเจ้า บรมศาสดาแห่งพระพุทธศาสนา ได้ทรงเผยแผ่ สั่งสอนพุทธบริษัท ให้ปฏิบัติตามพุทธวิถี “สติปัฏฐาน-ปฏิสัมภิทามรรค” เพื่อให้เข้าถึงซึ่ง “สัจจธรรม=การดำรงสภาพอย่างจริงแท้ โดยไม่อาศัยมหาภูตรูป๔ (ธาตุทั้ง๔) “ อันเราท่านรู้จักกันดีในศัพท์ว่า “พระนิพพาน”
         แน่นอน เสียยิ่งกว่าคำว่า “แน่นอนที่สุด” ก็คือ ในยุคปัจจุบันในสายตา “คน” ทั่วไป จะมอง ผู้ที่เข้ามาศึกษา ปฏิบัติธรรมในทางพระพุทธศาสนา ว่าเป็น “พวกคร่ำครึ...หัวโบราณ ... ไม่ทันสมัย.... หลุดมิติ...ฯลฯ” สารพัด
         แต่เขาเหล่านั้นหารู้ไม่ว่า วิทยาการอันพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ทรงตรัสรู้และเผยแผ่นั้น เป็นวิทยาการPhysic ระดับสูง  ที่นักวิทยาศาสตร์ อัจฉริยะทางQuantum Physic ยุคปัจจุบันที่ว่าเจริญก้าวหน้า ยังไม่อาจตามทันแม้เพียงองคุลี
         เมื่อสาธุชนทุกท่าน ได้ศึกษาข้อมูลนี้ ซึ่งเป็นเพียงน้อยนิดดุจเม็ดกรวดที่กองอยู่เชิงเขา แม้กระนั้นท่านก็จะมีความภาคภูมิใจ ที่ได้รับรู้ รับเรียน และศึกษา วิทยาการของพระพุทธศาสนา อันล้ำหน้า และมีคำอธิบาย ในเหตุ และผลทางPhysic สามารถพิสูจน์ได้อย่างเป็นรูปธรรม ทดสอบ ทดลอง ให้เห็นจริงได้โดยไม่จำกัดกาล และ สถานที่ โดยเฉพาะจะเข้าใจลึกซึ่ง ที่สามารถอธิบายในเชิงวิทยาศาสตร์ฟิสิกส์ ถึงคำว่า “นิพพาน” ได้อย่างแจ่มแจ้ง ดุจแสงอาทิตย์บนท้องฟ้าที่ไร้เมฆ นั้นเทียว

เรากลับมายังเรื่องที่ค้างไว้ในหัวข้อ “เสียง กับ การทำสมาธิ” เริ่มกันตรงเรื่อง “เสียง” ให้เข้าใจเสียก่อนว่า คืออะไร เกิดขึ้น และ มีที่มาอย่างไร เพื่อจะได้นำไปใช้ประกอบข้อมูล ที่จะกล่าวอธิบายข้างหน้าจะได้ไม่สับสน

“เสียง”  เกิดจากการเคลื่อนของโมเลกุล ที่ถูกคลื่นความถี่แม่เหล็กไฟฟ้า(Electromegnatic) ผลักให้เคลื่อนที่ไป เมื่อกระทบอวัยวะของการได้ยินที่เราเรียกว่า “หู” ก็จะส่งผ่านสัญญาณความถี่นั้น ขึ้นสู่สมองให้ Decode หรือ เทียบเคียงกับข้อมูลที่มีอยู่แล้ว ประมวลผลออกมาว่าคืออะไร นี่คือ ธรรมชาติของเสียงที่เราได้ยิน






เสียง” ไม่ใช่มีเฉพาะที่เราได้ยินเท่านั้น ยังมีคลื่นเสียงที่เราไม่อาจสัมผัสรับรู้ได้อีกมากมายหลายล้านชนิด  ซึ่งปัจจุบันวิทยาการก้าวหน้า “เสียง” ได้ถูกนำมาใช้ในวงการแพทย์เพื่อการรักษาโรค และในทางทหารก็ได้นำไปใช้อย่างมากมาย ปัจจัยสำคัญคือ “การสร้างคลื่นความถี่ ที่สามารถผลักให้โมเลกุลเคลื่อนที่ไปตามทิศทางที่ต้องการ”
                                             
สิ่งที่เป็นปัจจัยสำคัญที่สุดของการทำให้เกิดเสียง คือ “โมเลกุล ดังนั้นเราจึงต้องมาทำความรู้จัก “โมเลกุล” กันเสียก่อนว่า คืออะไร ?

ในทุกสรรพสิ่ง ทั้งที่มองเห็นและมองไม่เห็นเช่นอากาศ หรือก๊าซ ล้วนประกอบเรียงร้อยดุจตาข่ายสายโซ่ ผูกพันกันชนิดหาต้นปลายมิได้ หน่วยมวลอันก่อให้เกิดสภาวะเกาะเกี่ยวเป็นหนึ่งกันนี้เรียกว่า"โมเลกุล"





 เมื่อแบ่งสารออกเป็นหน่วยย่อยที่ว่าเล็กที่สุด โดยแต่ละหน่วยคงสมบัติเดิมไว้ เรียกว่า  "อะตอม(สำเนียงกรีกซึ่งเพี้ยนมาจากบาลีว่า อัตตา) " สารใดที่ประกอบด้วยอะตอมของธาตุเดียวกันทั้งหมด เรียกว่า "ธาตุ" (ทางพระพุทธศาสนาแบ่งออกเป็น4หมวดใหญ่ๆ เรียกว่า"มหาภูตรูป4 หรือ ธาตุทั้ง4 คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ) แต่ถ้าประกอบด้วยอะตอมของธาตุต่างชนิดกัน เรียกว่า "สารประกอบ"  เช่น “น้ำ





อะตอมของธาตุมักไม่อยู่ตามลำพัง แต่จะรวมกันอย่างมีระเบียบจะเกิดเป็น โมเลกุลของธาตุ ยกเว้นธาตุที่มองไม่เห็น เป็นก๊าซเฉื่อยสามารถอยู่อย่างอิสระได้ เช่น He, Ne, Ar, Xe และ Rn ถ้าเป็นอะตอมของธาตุต่างชนิดกันมารวมตัวกันก็จะเกิดเป็น โมเลกุลของสารประกอบ

           ดังนั้น โมเลกุล จึงหมายถึง อะตอมของธาตุตั้งแต่ 1 อะตอมขึ้นไป ซึ่งอาจเป็นอะตอมของสารชนิดเดียวกันหรือต่างชนิดก็ได้ ที่มารวมตัวกันอย่างเป็นระเบียบ จะโดยปฏิกริยาใดก็ตาม


โมเลกุล ยังไม่ใช่ส่วนที่เล็กที่สุด เพราะโมเลกุล นั้นยังประกอบไปด้วยอะตอม





        ในแต่ละวัตถุธาตุที่เรามองเห็น จะประกอบด้วยโครงสร้างที่จับตัวอยู่อย่างสลับซับซ้อน

โครงสร้างผลึก (Crystal Structure) จะประกอบด้วยหน่วยเซลล์ (Unit Cells) เป็นจำนวนมากในแต่ละหน่วยเซลล์ จะประกอบด้วยอะตอม (Atom) ที่มีจำนวนมากน้อยต่างกัน ตามลักษณะโครงสร้างแต่ละแบบ และในแต่ละอะตอม จะมีพลังของการยึดเหนี่ยวระหว่าง โปรตอน (Protons) และนิวตรอน (Neutron) จับตัวกันเป็นนิวเคลียส (Nucleus) อยู่ตรงกลางซึ่งมีขนาดเล็กมาก





อะตอม (Atom) คืออนุภาคที่เล็กที่สุดของธาตุ ซึ่งไม่สามารถแบ่งแยกด้วยวิธีการใด ๆ ธาตุทุกชนิดประกอบด้วยอะตอมจำนวนมาก ซึ่งอะตอมเหล่านี้ประกอบด้วย อนุภาคที่เล็กที่สุดลงไปอีก เรียกว่าโปรตอน (Proton) นิวตรอน (Neutron) และอิเล็กตรอน (Electron) โปรตอนและนิวตรอนจะประกอบกันอยู่กึ่งกลางอะตอมเรียกว่า นิวเคลียส (Nucleus) ส่วนอิเล็กตรอนที่เคลื่อนที่อยู่ตามวงโคจรรอบ ๆ นิวเคลียส โดยอิเล็กตรอนที่ประจุไฟฟ้าลบ โปรตอนเป็นประจุไฟฟ้าบวก และนิวตรอนเป็นประจุไฟฟ้ากลาง เมื่ออะตอมเป็นอิสระ จำนวนโปรตอนจะเท่ากับจำนวนอิเล็กตรอน น้ำหนักของอะตอมจะเท่ากับน้ำหนักของโปรตอนกับนิวตรอน ส่วนจำนวนโปรตอนหรืออิเล็กตรอนที่อยู่ในอะตอมที่เรียกว่า Atomic Number เช่น C = 6 หมายถึงคาร์บอน 1 อะตอมหนักเป็น 6 เท่าของโฮโดรเจน 1 อะตอม เป็นค่าของนำหนักอะตอม (Atomic Weight)



นี่แค่เรื่องกำเนิดที่มาของ "เสียง" จะเห็นได้ว่าเป็นเรื่องของPhysic จุดสำคัญที่จะชี้ให้เห็นเป็นวิทยาศาสตร์ก็คือ "เสียงก่อให้เกิดการเคลื่อนของโมเลกุล" DNA ของสิ่งมีชีวิตรวมทั้งมนุษย์ก็ประกอบด้วย โมเลกุล ย่อมเคลื่อนที่แปรเปลี่ยนไปตามคลื่นความถี่ของเสียง และนี่แหละ คือที่มาของคำว่า "ปริกรรม(บริกรรม)" หรือ ภาษาบ้าน ๆ เรียกว่า "การสวดมนต์" ที่ต้องใช้ "เสียง" จึงมีความสำคัญ ส่วนจะสำคัญอย่างไร ? และความแตกต่างของการ "ท่องหนังสือสวดมนต์" หรือ สวดปาว ๆๆ เหมือนเณรบวชใหม่ กับสวด "เสียง" ตามอักขระ พยัญชนะ ที่ได้รังสรรมาในคัมภีร์ อย่างถูกต้อง  ให้ผลต่างกันอย่างไร ก็ต้องยกยอดไปอธิบายในคราวหน้า

ด้วยอำนาจพลังแห่งคุณพระศรีรัตนตรัย อันมีพุทธานุภาพเป็นเบื้องต้น ขอจงบังเกิดเป็นศุภผล ให้สาธุชนผู้ใฝ่ปฏิบัติชอบทุกท่าน เจริญก้าวหน้าในธรรม และการปฏิบัติ สมปรารถนาในสิ่งอันเป็นกุศล ทุกประการ ถ้วนทั่วกันทุกท่านเทอญ ฯ

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS