อาการปิติ(ทบทวน) คำสอนพระอาจารย์ธรรมบาล 23 พฤษภาคม 2558




เนื่องจากหลายวันมานี้ ได้รับคำถามจากสาธุชนผู้ปฏิบัติ "สติปัฏฐาน-ปฏิสัมภิทามมรรค" หลายท่าน เรื่องของ"ปิติ" เพราะส่วนใหญ่ไม่ค่อยแน่ใจว่าใช่หรือเปล่า ? ก็จะขอนำมาอธิบายซ้ำกันอีกครั้ง 




สำหรับผู้ที่ฝึก ปากกับใจตรงกันได้จริง และได้กล่าววาจาถวายชีวิตเป็นพุทธบูชาแล้ว ก็จะเข้าสู่ขั้นตอนการหาระยะของลมหาใจ โดยการทิ้งขนนก มั่นใจว่าท่านทั้งหลายคงได้ฝึกกันมาแล้ว

ข้อสำคัญในการทิ้งขนนก คือ เมื่อขณะที่ทิ้งขนนกนั้น จะต้องสามารถกำหนดระลึกรู้อารมณ์ ระยะขนนกที่ทิ้งลงพื้น(กายสังขาร) เสียงที่เปล่งโดยวาจา(วจีสังขาร) ที่พร้อมกับเสียงจากใจ(มโนสังขาร) ได้แล้ว พฤติ(อาการ)ที่เกิดขึ้นอันจะบ่งบอกถึงความพร้อมแห่ง กาย วาจา ใจ คือ อาการที่แปลก ๆ จะเกิดขึ้น เช่น หาว ขนลุก น้ำตาไหล หวิว ๆ เหมือนขี้นที่สูง ฯลฯ 


อาการนี้เรียกว่า "ปิติ" เป็นสภาวะที่ต่างไปจากสามัญมิติ อันเกิดขึ้นโดยปกติธรรมดาของมนุษย์ จะเกิดขึ้นในขณะที่เกิดความพร้อมของ ๓ องค์ประกอบดังกล่าวแล้วนั้น ซึ่งเป็นธรรมชาติที่เกิดขึ้นได้เอง เช่นเราไปอยู่ในที่สงัด เงียบ ก็เกิดการรวมตัวของกาย วาจา ใจ ขึ้นได้ เช่น ขนลุกขนพอง แว๊บวับ แต่ไม่อาจควบคุมได้ 


ซึ่งต่างไปจากการปฏิบัติตามสติปัฏฐาน เพราะผู้ที่ปฏิบัติตตามวิถีแห่งสติปัฏฐาน-ปฏิสัมภิทามรรค จะสามารถทำให้เกิดขึ้นได้ตามปรารถนาของผู้ปฏิบัติ นี้เรียกตามภาษาอภิธรรมว่า "วสี"



การเกิดขึ้นของ "ปิติ" อันพร้อมด้วยองค์ ๓ คือ กาย วาจา ใจ นั้นมีตัวภาวนาคือ นะ..โม.. ซึ่งเป็นนามของเทวดาที่มีหน้าที่ปกปักรักษาและดูแลผู้ปฏิบัตินั้นไม่ให้ทุกข์กายทุกข์ใจ 



แต่เราตอนแรกจะจำไม่ได้ว่าเกิดที่ตัวไหน เป็น นะ..หรือ โม...ตอนเดินหน้า(อนุโลม) หรือตอนที่เปล่งวาจา นะ โม...ถอยหลัง(ปฏิโลม) ดังนั้น เราจึงต้องค้นหาตัว "ปิติ" นี้ให้พบ เพราะต้องนำไปใช้ในการอธิษฐานทุกระดับ

               ตั้งแต่อธิษฐานเรื่องทรัพย์(โลกิยะ) ไปจนถึงดวงปัญญาหลุดพ้น(โลกุตระ) คือนิพพาน ก็ต้องใช้การปิติ อธิษฐานทั้งสิ้น 

การอธิษฐาน เป็นส่วนที่ต้องใช้ "กายในกาย" เท่านั้น ไม่อาจใช้กายนอก หรือ กายสังขารได้ อธิบายให้เข้าใจง่าย ๆ คือ การที่เราจะตั้งเป้าหมายว่าจะขับรถไปไหน เป็นการตัดสินใจของคนขับรถ คือ "ใจ" 

ส่วน กาย อันได้แก่สังขาร รูปร่าง ตา หู จมูก ลิ้น นี้เป็นตัวรถ 


                         ส่วนวาจา ก็เป็นตัวเชื่อม คือ กำลังที่เหยียบคันเร่ง หรือ กำลังที่ส่งมือให้บังคับพวงมาลัยให้หมุนไปตามคนขับ(ใจ) ต้องการ เรียกว่า "ปัญจทวารวิถี" 


แต่การอธิษฐานใช้กายในกาย เรียกว่า "มโนทวารวิถี" มีวิธีปฏิบัติโดยเฉพาะ เมื่อผู้นั้นได้ผ่านจากขั้นอุคหโกศล(เปล่งวาจา พร้อมทิ้งขนนก)มาแล้วเท่านั้น


                     วิธีเข้าสู่มิติแห่งใจนี้ภาษาปฏิบัติเรียกว่า "มนสิการ" คือ ปฏิบัติด้วยใจ(กายในกาย) ทั้งนี้เพื่อค้นหาตัว "ปิติ" ที่เกิดขึ้นนั้น เกิดตอนไหน ? ตัวไหน? ขณะที่ลมหาใจ เข้าหรือออก? หาความแน่นอนเพื่อนำไประลึกรู้แล้วอธิษฐาน ก็จะมีคำถามมาว่า เพราะเหตุไร ? 
เพราะ :::::::


๑. อักขระอันทำให้เกิด "ปิติ" ตัวนั้น ๆ คือ นามของเทวดาประจำตัวเรา ที่เราจะเรียกมาปรึกษา หรือ ขอความรู้ที่เราต้องการ เช่น ข้อธรรมะที่ลึกซึ้งและไม่เข้าใจ ฯลฯ รวมทั้งแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าที่เราแก้ไม่ได้อย่างฉับพลันทันที ถ้าเราไม่รู้แน่นอน ก็ไม่รู้ว่าเทวดาประจำตัวเราชื่ออะไร ?


๒. "ปิติ" หรืออารมณ์ที่ได้รับนั้น ต่อไปจะนำไประลึก เพื่อแปรเป็นภาพสิ่งที่เราต้องการด้วยวิธีเฉพาะของ มนสิการ ไม่มีวิธีอื่น และต้องทำด้วยกายในกายเท่านั้น 


การที่จะรู้ว่า "ปิติ" ที่เกิดขึ้นเป็นอักขระใน นะ...โม. ตัวอะไรนั้น หากเราจะคอยจำ แน่นอนว่าไม่มีทางจะจำได้ จึงต้องใช้อุปกรณ์ช่วยจำ ซึ่งเรียกว่า "ปะคำ" อันเป็นเครื่องมือที่ช่วยในการจำ และค้นหาปิติ ซึ่งใช้เฉพาะและควบคู่ไปกับการทำ "มนสิการ" อันขึ้นต้นด้วย"คณา(แปลว่า นับ)" คือ การนับลูกปะคำ นั่นเอง 



การใช้ประคำเป็นอุปกรณ์(เครื่องช่วย) ในการค้นหาปิติ จะทำได้ก็ต่อเมื่อผ่านขั้นอุคหโกศล(ทิ้งขนนก)มาแล้ว เพื่อเข้าสู่กายในขณะที่กายนอกรับรู้สัมผัส มีวาจาเป็นตัวควบคุมเปล่งวาจา พร้อมไปกับกาย = มือ จับ นิ้ว-เคลื่อนเขี่ยเม็ดปะคำ ในขณะหนึ่งเดียวกัน 


เหมือนกับการทิ้งขนนกซึ่งเป็นท่ายืน แต่การทำมนสิการ(นับประคำ) เป็นท่านั่ง สิ่งที่เปลี่ยนไปจากการทิ้งขนนกคือ เน้นให้เสียงออกมาจากใจก่อน แล้วปากออกเสียงตาม เพราะในขั้นมนสิการ เน้นการบังคับใจ เริ่มที่ใจเป็นหลักสำคัญ 


ฉะนั้น การทรงสภาพอยู่กับกายในกาย(ใจ) จะต้องใช้เวลามากกว่ากายนอกที่ผ่านมา เรียกว่า "ใจนำ กายตาม" คือ เมื่อใจเอ่ยวาจานะปาก(วาจา)ว่านะ นิ้วมือ(กาย)จึงเขี่ยลูกปะคำ ทำอย่างนี้เรื่อยไป ทั้งเดินหน้า(อนุโลม)และถอยหลัง(ปฏิโลม) มีสิ่งควรทราบนิดหนึ่งถึงความแตกต่างระหว่าง การออกเสียงของ วาจา(วจีสังขาร) กับ กายในกาย(มโนสังขาร) คือ หาก ใจ(กายในกาย)นำ ปาก(วจีสังขาร)เปล่งเสียงตาม(เกือบพร้อม ๆ กัน) เรียกว่า ภวนา(มนสิการ คือ ทำด้วยใจ.... 



หาก ปาก(วจีสังขาร) ออกเสียงนำ ใจ(มโนสังขาร)ออกเสียงตาม เรียกว่า ปริกรรม ซึ่งผลที่ได้ต่างกัน(เป็นรายละเอียดมาก ไม่ขอกล่าาวถึงในที่นี้) ในการอธิษฐาน ซึ่งสำเร็จได้ด้วยใจเท่านั้น ไม่มีหนทางอื่น 


การอธิษฐานยังสามารถกำหนดได้อีกว่า สิ่งที่ต้องการนั้นจะเป็นแบบไหน อย่างไร ด่วน หรือ ช้า เร่งรีบ หรือ เรื่อย ๆ เป็นแบบวัตถุจับต้อง หรือเป็นกระแส เช่น การให้เกิดความนิยมชมชอบ ยกย่องสรรเสริญ ก็สามารถกำหนดให้เป็นไปตามปรารถนาได้ ทุกประการ ดังมีพระบาลีว่า

     อธิฏฺฐานาอิทฺธิ... ตตฺถ  สมฺมาปโยคปจฺจยา  อิชฺฌานฏฺเฐน  อิทธิ ฯ  


.....สำหรับวันนี้คงเท่านี้ก่อน ให้กลับไปทบทวนดูว่า ขาดตกบกพร่องตรงไหน จะได้เติมเสริมเต็ม เพื่อความสมบูรณ์ได้ผลสมดั่งที่ท่านทั้งหลายได้มีกุศลเจตนา ปฏิบัติชอบในแนวทางแห่งสติปัฏฐาน จะเป็นเครื่องยืนยันว่า "ของจริง ต้องพิสูจน์ได้ เหมือนปืนจริงต้องยิงได้ แต่...ข้อสำคัญใส่กระสุนหรือเปล่า ! และหันปากกกระบอกปืนไปทางไหน ต่างหาก ? 


ขอความสุขสวัสดี ลาภผลพูนทวี พบสิ่งที่ปรารถนาอันอธิษฐาน สัมฤทธิผลทุกประการดั่งใจโดยพลัน ทุกท่านเทอญ....เจริญพร


  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

"วิธีกำจัดอุปสรรค อย่างได้ผล ตามแนวทางพระพุทธศาสนา นั้น จะปฏิบัติอย่างไร ? (คำสอนพระอาจารย์ธรรมบาล 22 พฤษภาคม 2558)





วันนี้ จะได้บรรยาย เรื่อง "วิธีกำจัดอุปสรรค อย่างได้ผล ตามแนวทางพระพุทธศาสนา นั้น จะปฏิบัติอย่างไร ?


ก่อนอื่นเราต้องแยกความแตกต่างระหว่าง "ปัญหา" กับ "อุปสรรค" ให้ออกเสียก่อนว่ามีความแตกต่างกันอย่างไร ? ถ้าเราแยกไม่ออก บอกไม่ได้ การแก้ไขก็จะไม่ได้ผล

"ปัญหา" เกิดจากสภาวะแวดล้อมภายนอก คือ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส รับรู้ได้ทางปัญจทวาร คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย แต่ ...

"อุปสรรค" นั้นเกิดจากภายใน คือ อารมณ์อันเกิดจากผล ที่ปัญจทวารรับเข้ามาสู่มโนทวาร หรือเรียกว่า "ใจ"


ปัญจทวาร คือ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ที่ทำให้เกิดอารมณ์ และอารมณ์นั้นแหละ ที่ก่อให้เกิด "อุปสรรค"


"อุปสรรค" จะมีลักษณะ ฉุดรั้ง ขวางกั้น ทางการปฏิบัติก็คือ นิวรณ์ และอุปกิเลศ นั่นเอง ซึ่งจะเห็นได้จากพุทธพจน์ที่ยืนยันชัดเจนว่า นิวรณ์ ต้องใช้การ "กำจัด ให้หมดไปจากใจ อย่างเด็ดขาด เท่านั้น" 


วิธีการ "กำจัด" ให้หมดสิ้นแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ก็ต้องใช้วิธี "หนามยอก หนามบ่ง หรือ เกลือจิ้มเกลือ" หมายความว่าอย่างไร ? ก็หมายความว่า "อุปสรรค เกิดจากอารมณ์ ก็สร้างอารมณ์ขึ้นมาใหม่ และป้อนเข้าไปสู่มโนทวารแทนที่อารมณ์เก่า" นั่นเอง 


มันเป็นกฏPhysicขั้นพื้นฐานที่พระพุทธองค์ทรงนำมาสั่งสอนถ่ายทอดมาก่อนนัก วิทยาศาสตร์จะค้นพบกว่า 2000 ปี นั่นคือ "กฏของการแทนที่(URAKA)" นั่นเอง 

ท่านสาธุชนผู้เป็นนักปฏิบัติทั้งหลาย เราต้องไม่ลืมว่า รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ล้วนเป็นสมมุติ เมื่อใจรับเอาสิ่งเหล่านั้นโดยทางปัญจทวารเข้ามาจึงกลายเป็น "ธรรมารมย์" อารมณ์ที่เกิดขึ้นโดยแรงกระตุ้นของมหาภูตรูป๔ คือดิน น้ำ ไฟ ลม ซึ่งก็เป็นสมมุติ...
ตามความจริงก็คือสัญญานไฟฟ้าชีวภาค ที่ส่งต่อไปยังสมอง แล้วสมองก็สั่งกลับมาว่าชอบ หรือ ไม่ชอบ กลายเป็น "อารมณ์" นี่ว่ากันตามหลักวิทยาศาสตร์ มันจึงไม่มีอยู่จริง เป็นเพียงสัญญานไฟฟ้า


ก็ด้วยเหตุที่สิ่งทั้งหลายเป็นสมมุตินี้ เรา=นักปฏิบัติ จึงสามารถสมมุติ "อารมณ์" นั้น ๆ ขึ้นมาใหม่ได้ และใส่เข้าไปแทนที่ของเดิม...อย่าเพิ่ง ..งง 


เชื่อมั่นเหลือเกินว่า ท่านนักปฏิบัติทั้งหลาย คงได้ผ่านประสบการณ์ หรือได้รับการสั่งสอน หรือไม่ก็คงได้รับรู้มาบ้างแล้ว เช่นว่า "เมื่อลิ้มรสอาหาร ชนิดใดที่อร่อย ถูกปาก ก็ให้ระลึกอารมณ์ของรสชาดที่อร่อยนั้นไว้" เพื่ออะไร ก็เพื่อที่ว่าในครั้งต่อไป ไม่ว่าจะลิ้มรสอาหารอะไร ก็ให้เอาอารมณ์อร่อยนั้นมา ทำให้สามารถรัปทานอาหารได้อร่อยทุกชนิด แม้กระทั่งใบไม้ก็อิ่มได้เหมือนข้าว (ที่มาของพระธุดงค์เสกใบไม้กินต่างข้าว) และเป็นที่มาของพุทธพจน์ว่า 

"ภิกษุคือผู้เลี้ยงง่าย" 

ก็โดยการจัดสร้างอารมณ์นี้ขึ้นมา แล้วนำไปให้โวฏทัพนะจิต ส่งเข้าไปเก็บไว้ในสัญญา หรือ ธนาคารความจำ เมื่อต้องการใช้...หมายถึงเมื่อรับประทานอาหาร ก็นำเอาอารมณ์อร่อย ถูกปาก นั้นมาใช้ ดังนี้


นั่นก็คือ "ให้ภิกษุผู้ปฏิบัตินั้น สามารถ "ระลึก" (จำให้ได้) ว่าความถี่ระดับไหน ถึงอร่อย...เหมือนเปิดวิทยุคลื่นไหน จำคลื่นได้ ก็ไม่ต้องหมุนหา เปิดปุ๊บติดปั๊บ อย่างนั้นแหละ


ในส่วน อุปสรรค อันก่อให้เกิดความท้อถอย ภาษานักสู้เรียกว่า "ถอดใจ" คือ ใจไม่สู้ซะแล้ว ยังไง ๆ ก็แพ้ ประเภทไดโนเสาร์ตัวใหญ่แพ้ฟรินสโตน(มนุษย์หิน)ตัวนิดเดียว ยังไงยังงั้น ... 

นักปฏิบัติหลาย ๆ ท่าน เมื่อปฏิบัติไประยะหนึ่ง ถึงช่วง "บททดสอบ ที่อกุศลกรรมแสดงผล" คือ อธิษฐานไม่ได้ดั่งปรารถนาบ้าง เกิดอุปสรรคขึ้นในชีวิตครอบครัว ธุรกิจ การงาน ทั้งที่ตัวเองก็ว่าสวดมนต์แล้ว ตั้งลมก็แล้ว เดินปะคำ ทิ้งขนนก สารพัดอย่าง ทำหมด แต่ไม่เห็นได้อะไร มีแต่แย่ลง ๆ ความคิดเกิดขึ้นยังงั้น และในที่สุดก็ "ท้อ(ที่จริงท้อน่ะเค้ามีให้ลิงถือ อยู่หน้ากะปุกยาหม่อง..นะ) เลิกทิ้งไปเลย เรียกว่า "ถอดใจ หรือ แพ้ใจตัวเอง จริงแล้วคือ พ่ายแพ้แก่นิวรณ์ อันเป็นอุปสรรค หรือ บททดสอบที่ขวางกั้นทางไปสู่ชัยชนะ..."


การ "กำจัด นิวรณ์=อุปสรรค" นี้ ทำได้ไม่ยากเลย เพียงการ "สร้างอารมณ์แห่งชัยชนะขึ้นมา แทนที่อารมณ์ท้อถอย พ่ายแพ้นั้น" คำถามคือ ทำอย่างไร ? หมายถึง วิธีทำ หรือ วิธีปฏิบัติ น่ะ ! คงอยากรู้อย่างใจจดใจจ่อ แล้วซิ


วิธีการให้ทำดั่งนี้คือ 

ให้ระลึกถึงภาพ และความรู้สึกในอดีต ในวันที่เราได้รับปริญญา หรือ รับถ้วย รับรางวัลในการแข่งขัน อย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ ให้เห็นภาพชัด ๆ ลองทบทวนกลับไป ในวันที่เรารับปริญญา เตรียมตัว เตรียมเสื้อครุย ซ้อมรับกันเป็นอาทิตย์ เหนื่อย แต่ตื่นเต้น ณ วินาทีที่เราได้รับพระราชทานปริญญา วินาทีนั้นมันประทับในความรู้สึก ว่าทั้งชีวิตและเวลาที่เราได้ทุ่มเทให้นั้น มันมีค่า คือ"ความสำเร็จเพียงแค่วินาทีนั้นจริง ๆ" มันเป็นความรู้สึก อารมณ์ที่ไม่อาจบรรยายได้ด้วยตัวอักษร แต่สัมผัสรับรู้ได้ด้วยใจ 

ก็อารมณ์ตรงนี้แหละ ให้นำไป "ตั้งไว้ ณ ตำแหน่งของใจ แทนที่อารมณ์ท้อถอยนั้น ให้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้" และความรันทดท้อถอย จะเสื่อมหายไปอย่างมหัศจรรย์ และสิ่งใหม่ อารมณ์ใหม่จะเกิดขึ้นมาแทนที่คือ "อารมณ์แห่งชัยชนะ แบบ อ๊ะ ...กูก็ทำได้.." นี่แหละเรียกว่า การสร้างธรรมารมย์ กำจัดอุปสรรค แบบเกลือจิ้มเกลือ

สำหรับผู้ที่ไม่เคยรับปริญญา หรือ ชีวิตเกิดมาไม่เคยชนะอะไรเลย แพ้ตลอด(อันนี้คงมีนะ..แต่ยังไม่เคยพบตัวจริง) นี่ก็ไม่ยากเลย...ให้ไปหาDownload Apps เกมส์เด็กเล็ก ชนิดที่ง่ายที่สุดมา ตั้งตรงที่ระดับง่ายที่สุด แล้วเล่น เมื่อชนะก็ จำความรู้สึกอารมณ์ "ชัยชนะ" นั้นไว้ จำไม่ได้เล่นใหม่ให้จำให้ได้ จากนั้นเอาอารมณ์นั้นไปตั้งไว้ที่ ปถวีธาตุ (ธรรม=ตั้งไว้,ทรงไว้+อารมณ์=ธรรมารมย์) ความท้อถอย หรือ ความรู้สึกว่าพ่ายแพ้ ถอดใจ จะไม่กลับมาปรากฏอีกเลย 


จึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่า การเอาชนะอุปสรรค และ ปัญหา นั้นไม่ยากอย่างที่คิด ขอให้นำไปใช้เป็นตัวอย่างและแนวทางในการขจัดอุปสรรค เมื่ออุปสรรคหมดไปจากใจ "ปัญหา" ทั้งหลายก็ไม่อาจสืบต่อเนื่อง เพราะ "ใจสู้" ไม่ต้องเสียเวลาชูสองนิ้วก็ชนะ เพราะ "สิ่งทั้งหลายแพ้ชนะอยู่ที่ใจ" ดั่งพระพุทธองค์ทรงยืนยันไว้เป็นหนึ่งไม่มีสองว่า "สิ่งทั้งหลาย สำเร็จได้ด้วยใจ " นั้นแล



ด้วยพลานุภาพแห่งพุทธคุณ จงเกื้อหนุนให้สาธุชนทุกท่าน ประสบความสำเร็จก้าวหน้าในการปฏิบัติ สัมผัสแต่สิ่งอันเป็นมงคล รับโชคลาภ ศุภผล เจริญก้าวหน้าในการงาน ชีวิต เป็นกำลังเผยแผ่พระพุทธศาสนาให้ก้าวหน้าสถาพร ปรารถนาสิ่งใดจงสมดั่งปรารถนาที่ได้อธิษฐานจงทุกประการเทอญ....เจริญพร

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

ไมอีลิน กับ อธิษฐาน และอัจฉริยภาพ (สอนพระอาจารย์ธรรมบาล 18 พฤษภาคม 2558)



ขอความผาสุขสวัสดี จงบังเกิดมีแด่สาธุชน ผู้ใฝ่ในกุศลปฏิบัติ "สติปัฏฐาน-ปฏิสัมภิทามรรค" จงถ้วนทั่วกันทุกท่าน เทอญ


วันนี้จะได้บรรยายถึงเรื่อง "ว่าด้วย ไมอีลิน กับ  อธิษฐาน และอัจฉริยภาพ




ไมอีลิน เป็นฉนวน (เยื่อไมอิลิน) ที่ห่อหุ้มใยประสาทในสมองของเรา มีลักษณะคล้ายกับแถบเทปพันสายไฟ มันมีหน้าที่ทำให้สัญญานประสาทที่เชื่อมต่อส่งสัญญานได้คล่องว่องไว และปัองกันการรั่วไหลของกระแสไฟฟ้าชีวภาคที่วิ่งไป 

ไมอีลินไม่ได้อยู่เฉย ๆ เหมือนแถบเทปพันสายไฟ  มันเพียงมีลักษณะที่คล้ายกัน แต่มีความแตกต่างกับแถบเทปพันสายไฟก็คือ "เจริญเติบโตได้" โดยจะเติบโตตามสัญญานไฟฟ้าชีวภาค  ที่ประสาทส่งผ่านนั้น มีปริมาณสัญญานแรง-ค่อย มากน้อยแค่ไหน(ขึ้นอยู่กับการฝึกฝน)




ไมอีลีน  จะเพิ่มจำนวน เจริญเติบโตขึ้นเป็นชั้น ๆ ตามจำนวนครั้งที่มีสัญญานส่งผ่าน  นั่นหมายถึงว่า "มนุษย์ สามารถเพิ่มชั้นของไมอีลีนให้มากขึ้นตามต้องการได้ จากการฝึกฝน" ยิ่งฝึกมากเท่าใด ไมอีลิน  ก็ยิ่งเพิ่มจำนวนหนามากขึ้นเท่านั้น พร้อมกับการส่งสัญญานไฟฟ้าชีวภาคทางประสาทยิ่งรวดเร็วขึ้นตามจำนวนชั้นที่มากขึ้น ก่อให้เกิดการประมวลข้อมูล ได้รวดเร็วและแม่นยำมากขึ้นเรื่อย ๆ ทางโลกเรียกว่า "อัจฉริยะ" ทางศาสนาเรียกว่า"การรู้แจ้งในหัวข้อธรรม


พร้อมนั้นยังส่งผลทางทักษะ(ความเข้าใจ-ชำนาญ) อย่างลึกซึ้งในข้อมูล หรือเรื่องนั้น  ๆ อย่างกระจ่างแจ้ง  แม้จะไม่เคยได้พบ เห็น  เรียน  รู้สิ่งนั้นมาก่อนในชีวิตเลยก็ตาม ซึ่งเรียกว่า " รู้แจ้งแทงตลอด" 



นักกีฬาระดับโลก ที่ถูกฝึกซ้อมให้เข้าสู่การแข่งขัน  จนได้รับเหรียญทองโอลิมปิค จะมีวิธีการฝึกซ้อมด้วยวิธีพิเศษ ต่างไปจากปกติธรรมดา "เป็นวิธีสร้างยอดมนุษย์" ด้วยวิธีธรรมชาติ ด้วยการกระตุ้นให้ร่างกายของนักกีฬา สร้าง ไมอีลินขึ้นมา 


จากรายงานของ ศาสตราจารย์ ดร.จอร์จ บาร์ค โซคริส ผู้เชี่ยวชาญทางด้านประสาทวิทยา ของมหาวิทยาลัยยูซีแอลเอ รัฐคาลิฟอเนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา เปิดเผยการฝึก "นักกีฬายอดมนุษย์" ว่า พวกเขาถูกฝึกให้กระตุ้นประสาท  ด้วยสัญญานที่เหมาะสม เพื่อให้ร่างกายส่วนสมอง สร้างชั้นไมอีลินขึ้นมาห่อหุ้มสายส่งข้อมูลของตัวเอง 


และเมื่อฝึกฝนผ่านไประยะหนึ่ง ผู้ที่ได้รับการฝึก ก็จะมีสายส่งสัญญานประสาทระดับสุดยอด ที่มีประสิทธิภาพรับ-ส่งข้อมูลมหาศาล จนไร้ขีดจำกัด และนั่นแหละที่ทำให้เขาแตกต่างจากมนุษย์ทั่วไป ที่เราเรียกว่า "อัจฉริยะ"



:::: ความลับ ในการเสริมสร้างไมอีลิน :::


-  สิ่งสำคัญที่สุดที่จะกระตุ้นให้ร่างกายสร้างไมอีลีนขึ้นมา  อยู่ที่ "การลงมือฝึกจริง"  ไม่ใช่เป็นเพียงความคิด ถึงการฝึกฝน หรือแค่อยากลอง 

- ธรรมชาติของไมอีลิน จะมีลักษณะห่อหุ้มทับซ้อนกันลงไปอย่างเดียวไม่คลานออก เนื่องจากมันทำงานแบบทิศทางเดียว คือ รับมา - ส่งผ่าน ขึ้นอยู่กับปริมาณข้อมูลและความเร็ว นั่นหมายถึงยิ่งหลายชั้น ก็ยิ่งรับข้อ-ส่งผ่านข้อมูลได้มากและรวดเร็ว ทวีตามจำนวนชั้นของไมอีลิน 



ที่สำคัญคือ เราไม่อาจที่จะแกะ-คลายชั้นไมอีลินเหมือนกับการแกะเทปพันสายไฟได้ (นอกเสียจากว่า แก่ชรา เจ็บป่วยรุนแรง หรือ การกระทบกระเทือนทางอารมณ์ หรือ สมอง) และนี่คือเหตุผลที่ทำให้มนุษย์เปลี่ยนนิสัย ทำให้สามารถนำไปใช้ในการเปลี่ยนพฤติกรรมจากการฝึกฝนได้ หรือ เปลี่ยนนิสันสันดานไม่ได้ก็ขึ้นอยู่ตรงนี้


และที่กล่าวมาข้างต้นนั้น เป็นส่วนหนึ่ง ของการบรรยายในระหว่างเข้าพรรษา เฉพาะ 
วันเสาร์ 19:00-21:00 และ
วันอาทิตย์ 13:00-16:00 เท่านั้น



ด้วยพลังแห่งพุทธานุภาพ ขอความสุขสวัสดี พิพัฒนมงคล ความสมบูรณ์ด้วยลาภผล สมปรารถนา จงบังเกิดแก่สาธุชนผู้ปฏิบัติชอบ และสมาชิกปฏิสัมภิทาฯ ทุกท่านเทอญ  เจริญพร


  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

การตั้งลม (คำสอนพระอาจารย์ธรรมบาล 15 พฤษภาคม 2558)



ขอความผาสุขสวัสดี จงบังเกิดมีแด่ สาธุชนผู้ใฝ่ในกุศลปฏิบัติ "สติปัฏฐาน-ปฏิสัมภิทามรรค" ทุกท่าน

นับว่าเป็นโชค ที่เราท่านสมาชิกปฏิสัมภิทาทั้งหลาย ได้เกิดมาเป็นชนชาติไทย และได้พบพระพุทธศาสนา ที่เป็นบรมโชคเหนืออื่นใด ก็คือ ได้ศึกษาปฏิบัติ "สติปัฏฐาน-ปฏิสัมภิทามรรค" อันเป็นหนทางเดียวไม่มีทางสายอื่น อันจักพาเราพ้นจากความทุกข์ โทมนัสทั้งปวง

    แม้ผู้เพียงเริ่มปฏิบัติ ก็จักได้สัมผัสกับความมหัศจรรย์ แห่งพุทธานุภาพ ได้รับความสุขใจ สุขกาย ปราศจากโรคภัยทั้งปวง อย่างที่แตะต้อง พิสูจน์เป็นPhysical  ได้ทันที

เมื่อกล่าวถึงการปฏิบัติ "สติปัฏฐาน-ปฏิสัมภิทามรรค" สิ่งที่ขาดไม่ได้ ก็คือ "การตั้งลม" ซึ่งเปรียบเสมือน "ชีวิต" ของการปฏิบัติ หากปราศจากเสียแล้ว ซึ่ง "การตั้งลม" การปฏิบัติทั้งหลายทั้งปวง ก็จะไม่ได้ผลด้วยประการทั้งปวง

        จะกล่าวไปใยในการเข้าถึงนิพพาน เพราะแค่ "การตั้งลม" ขั้นต้นยังทำไม่ได้ ก็ข้ามภพภูมิไม่ได้ เนื่องจากการ "ตั้งลม" เป็นสภาวะที่ "เหนือโลก" เกือบจะเรียกได้ว่า "สามารถควบคุม สมมุติให้ อยู่ในอำนาจได้"

      ดังนั้น จึงไม่ต้องสงสัยว่า เหตุใด ผู้ที่ "ตั้งลม" ได้ จึงสามารถอธิษฐานได้ดั่งใจปรารถนา ตามภาพที่ได้กำหนดไว้ ณ ตำแหน่ง "ตั้งลม" ทุกประการ

เรื่องของการ "ตั้งลม" ที่ลึกลงไปตรงปถวีธาตุ พระพุทธองค์ทรงถ่ายทอดวิธีปฏิบัติมากว่า 2558 ปี ว่ามีอานิสงค์มากมายมหาศาลสุดพรรณา

วันนี้จะขอยกตัวอย่างทางการแพทย์ต่างประเทศ ที่ได้พิสูจน์ และยอมรับว่า "การหายใจลึก และหยุดไว้"(ตั้งลม) สามารถ รักษา- ป้องกัน ได้ดีกว่าการทำ "คีโม" ดังนี้ :-
  
สิ่งที่คุณ ไม่เคยคาดคิด มาก่อนเลยว่า - มะเร็ง คือ ธรรมชาติ(Cancer is Natural)

มะเร็ง คือ ธรรมชาติในการปรับตัว ของเซลล์ อันเนื่องมาจาก การที่เลือดของเรา กลายเป็นพิษ เกินกว่าที่ เซลล์จะมีชีวิต ต่อไปได้

ถ้าหาก เซลล์เหล่านั้น ไม่ปรับตัว เซลล์เหล่านั้น จะป่วย และตาย ดังนั้น เซลล์เหล่านั้น จึงตอบสนอง อย่างเป็น ธรรมชาติ ด้วยการผ่าเหล่า เพราะเซลล์ ในร่างกายมนุษย์ มีความสามารถ ที่จะปรับตัว เพื่อรับมือกับ การเปลี่ยนแปลง การปรับตัว ของเซลล์ จึงเป็นสิ่ง ที่เป็นธรรมชาติโดยปกติอยู่แล้ว

แต่เป็นที่ น่าเสียดายอย่างยิ่งว่า คุณหมอทั่วโลก กลับบอกกับเราว่า วิธีการรักษามะเร็ง คือ การบำบัดด้วย-คีโม หรือ การทำลาย เซลล์มะเร็ง ด้วยรังสี แต่สิ่งที่คุณหมอเว้นวรรค(อุบ)ไว้  ไม่ได้บอกเราคือ สาเหตุที่ ทำไมเซลล์มะเร็ง จึงเกิดการผ่าเหล่าตั้งแต่แรก ?

อย่างไรก็ตาม- เมื่อสภาพแวดล้อม เปลี่ยนไป เซลล์อีกจำนวนมาก ก็จะผ่าเหล่า- ต่อไปอีก-ไม่เร็วก็ช้า นั่นเป็นสาเหตุ ที่เราพบเห็น คือ ผู้ป่วยมะเร็ง ถูกให้คีโม ดีขึ้นเพียงชั่วคราว แล้วกลับทรุด ลงไปใหม่อีก และในที่สุดก็ตายทุกราย ภายหลังจากที่ทำคีโมได้ไม่นาน

จากมุมมอง ของเซลล์ หากมัน ไม่ผ่าเหล่า-มันจะต้องตาย การผ่าเหล่า ของเซลล์ จึงเป็นธรรมชาติ 

มะเร็ง แท้จริงแล้ว คือ วิวัฒนาการ ของกลุ่มเซลล์ ที่พยายามรอดตาย จากสภาพแวดล้อม ที่เป็นพิษ แต่ทั้งหมดนี้ ก็กลายเป็นสิ่งที่ ควบคุมไม่ได้ เพราะเซลล์เหล่านั้น ลงเอยด้วยการ- ฆ่าร่างกาย แต่นั่นกลับ ไม่ใช่ประเด็น ที่แท้จริง

มะเร็ง คือ วิวัฒนาการ ของกลุ่มเซลล์ ที่พยายาม จะรอดตาย ในสภาพแวดล้อม ที่เป็นพิษอย่างสูง เราต้องพยายาม ทำความเข้าใจ ในประเด็นนี้ ให้ชัดเจน 

การพยายามฆ่า เซลล์เหล่านั้น -โดย ไม่ได้เปลี่ยนแปลง สภาพแวดล้อม เปรียบได้กับ การฆ่าแมลงวัน โดยไม่ได้พยายาม ที่จะนำเอาขยะออกไป เพราะขยะต่างหากที่เป็นตัวส่งกลิ่นเรียกแมลงวัน

เอาละ เมื่อเข้าใจต้นสายปลายเหตุของมะเร็งกันแล้ว ก็ถึงเวลาที่คุณจะได้เริ่มรักษาตัวคุณอย่างถูกวิธีและได้ผลเกินร้อย คุณจะมัวรออะไรอยู่อีก ที่จะปรับปรุง สภาพแวดล้อมให้กับเซลล์ใน ร่างกายของคุณ ได้อย่างรวดเร็ว  คือ :-

::: หายใจลึกๆ - แล้วหยุดไว้ :::

สิ่งแรกที่กระตุ้น ให้เซลล์ผ่าเหล่า และ กลายเป็น เซลล์มะเร็ง คือ การขาดออกซิเจน

เซลล์มะเร็ง ปรับตัวเพื่อรอดชีวิต ในสภาพแวดล้อม ที่มีระดับ ออกซิเจนต่ำ ยิ่งมีออกซิเจน ต่ำเท่าไร เซลล์มะเร็ง ก็ยิ่งเติบโต ได้มากขึ้นเท่านั้น
เพราะนี่คือ วิวัฒนาการ ของเซลล์ ที่ปกติต้องการ จะรอดชีวิต อยู่ได้ ในสภาพแวดล้อม ที่มีระดับ ออกซิเจนต่ำ

- วิธีแก้ไขคือ หายใจลึกๆ ซึ่งเป็นการ ออกกำลังง่ายๆ เพื่อเพิ่ม ระดับออกซิเจน ให้กับเลือด

การหายใจ ให้เข้าไปหยุดอยู่ในท้อง ไม่ใช่หายใจ เข้าไปแค่ในทรวงอก นี่คือวิธีการหายใจ ที่ถูกต้องจะช่วยให้เซลล์มะเร็ง ชะลอการกลายพันธุ์ ได้แน่นอนกว่าการทำ "คีโม"

::: เรียบเรียงจาก วารสารการแพทย์ Shafin de Zane presents: What is Cancer?


สิ่งหนึ่งที่บทความทางการแพทย์นี้ไม่ได้บอกคือ " ไม่ได้รับรองว่าหายจากโรคมะเร็งได้เด็ดขาด" ตรงนี้แหละที่เราท่านที่ปฏิบัติในวิถีแห่งสติปัฏฐาน-ปฏิสัมภิทามรรค เหนือกว่าแพทย์ปัจจุบัน คือ "หายขาดจากโรคมะเร็ง ได้ด้วยพุทธานุภาพ" ที่ฝรั่ง หรือสำนักไหนไม่มีสอน

   จะเห็นได้ว่า "การตัั้งลม" ที่สมาชิกปฏิสัมภิทา ที่ได้ฝึกวิธีหาใจไปแล้ว ก็แน่นอนใจได้เลยว่า "เซลล์จะไม่กลายพันธุ์" นี่ว่ากันทางการแพทย์ คือ จะไม่เป็นมะเร็ง


ว่ากันตามหลักแห่งพระพุทธศาสนา "มะเร็ง ไม่ใช่โรคระบาด โรคระบาดจะเรียกว่า สาธารณกรรม คือ ใคร ๆ ก็ต้องรับ เช่นแผ่นดินไหว หรือโรคติดต่อร้ายแรง" 

เมื่อ มะเร็งไม่ใช่โรคระบาด มะเร็งจึงเป็นโรคที่ "เกิดจากอกุศลกรรม" ที่แสดงผล ดังนั้นการรักษามะเร็งให้หายขาด ก็คือ ไม่ให้อกุศลกรรมแสดงผล โดยการสร้าง "บุญ"

"ไม่มีบุญใด ที่จะมีกุศล(ผลของบุญ) ยิ่งใหญ่ไปกว่าการปฏิบัติสติปัฏฐาน แม้จะสร้างเจดีย์ทองคำ จากโลกมนุษย์ถึงดวงจันทร์ ยังไม่เท่า "กาย วาจา ใจ ถึงพร้อม เป็นสมาธิชั่วหนึ่งอึดใจ"
ฉะนั้น ผู้ที่ปฏิบัติ "สติปัฏฐาน-ปฏิสัมภิทามรรค" สามารถที่จะให้ กาย วาจา ใจ ถึงพร้อม และ "ตั้งลม" ตามปรารถนา ซึ่งแน่นอน ต้องมากกว่า 1 อึดใจ 


     เมื่อเทียบบัญญัติไตรยางค์ ก็ต้องได้บุญมหาศาล ยิ่ง "ถวายชีวิตเป็นพุทธบูชา" ก็ประกอบเป็นมหากุศล เพราะประกอบด้วย ถวายชีวิต(ทาน)  สัจจะวาจา(ศีล) ตั้งลม(ภาวนา)


     ดังนั้น อกุศลกรรม ที่ทำให้เกิดเป็น "มะเร็ง" ก็ไม่อาจแสดงผลได้อีกต่อไป ผู้ปฏิบัติ "สติปัฏฐาน-ปฏิสัมภิทามรรค" จึงหายจากโรคร้าย  ด้วยประการฉะนี้ 


ที่นำมาเป็นตัวอย่าง เพื่อให้ท่านทั้งหลาย ได้ภาคภูมิใจ ที่ได้ปฏิบัติชอบ ในหนทางอันประเสริฐ ที่พระพุทธองค์ทรงยืนยันว่า เป็นหนทางเดียว ...เอกมคฺโค ..หนทางอื่นไม่มี ฯ


ขอความผาสุขสวัสดี สมปรารถนา ก้าวหน้าในกิจการ ครอบครัว ชีวิต ธุรกิจ การงาน จงทุกประการ ทุกท่านในกาลทุกเมื่อเทอญ ฯ

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

หัวข้อเรียนช่วงเข้าพรรษา

ในการอบรมภายในพรรษานี้ จะเน้นเรื่อง "การพัฒนา และ การดึงเอา "ความรู้ และ ข้อมูล จาก DNA" มาใช้

   เพราะโดยความเป็นจริงแล้ว พระพุทธองค์ได้ทรงสั่งสอนไว้ก่อนที่นักวิทยาศาสตร์จะค้นพบกว่า 2,500ปี ในทางพระพุทธศาสนาเรียกว่า "สัญญา" ซึ่งจะถูกบรรจุอยู่ในทุก DNA ทางวิทยาศาสตร์เรียกว่า "รหัสชีวภาค(life code)" โดยมีเอ็นซายเป็นตัวเก็บข้อมูล

      ในการปฏิบัติที่สามารถทดสอบ ปฏิบัติ ให้ได้ผลจริงทางพุทธศาสนา และอภิธรรม จะสามารถปรับเปลี่ยน ให้ "ข้อมูล" ที่จะถูกบันทึกนั้นเป็นไปตามประสงค์ของผู้ปฏิบัติได้

การปรับเปลี่ยน หน่วยรหัสที่จะฝังเข้าสู่DNA จะปรับเปลี่ยนได้ที่ "โวฏฐัพนะ" ซึ่งเปรียบเสมือนสวิทช์ หรือสะพานไฟ ที่จะเลือกให้ " บันทึก หรือไม่ก็ได้" การบันทึกข้อมูลนี้จะถาวร ไม่มีการแปรเปลี่ยนไปตามกาลเวลา ที่เราเรียกว่า "ภพชาติ" ทางอภิธรรมเรียกว่า "ชวน(อ่านว่า ชะ วะ นะ แปลตามคำ คืชะวะ =บันทึกย่อ เช่น ชวเลข คือ ตัวรหัส  ส่วน น (นะ) แปลว่า ไม่แปรเปลี่ยน

     ด้วยเหตุดั่งนี้ มนุษย์ที่เกิดมา จึงมีเอกลักษณ์ส่วนตัวที่ไม่ซ้ำกัน สุขทุกข์แตกต่างกัน พุทธองค์เรียกว่า "สัตว์โลกเป็นไปตามกรรม"

      ผู้ที่ "เข้าใจ" และ "รู้ถึง" วิธีปฏิบัติแห่ง "สติปัฏฐาน-ปฏิสัมภิทามรรค" เท่านั้น จะสามารถปรับเปลี่ยน "รหัสพันธุกรรม" ให้แสดงผล หรือ หยุดการแสดงผลได้ตามปรารถนา

      ซึ่งผู้ที่เข้าอบรมในพรรษานี้(เฉพาะเสาร์-อาทิตย์ 19:00น-21:00นและ14:00-17:00น) เท่านั้น ที่จะได้ศึกษานำไปปฏิบัติ

     จึงเจริญพร มาให้สาธุชนผู้ใฝ่ในกุศลปฏิบัติ ได้ทราบโดยทั่วกัน



สมาชิกที่สนใจ ศึกษา การปฏิบัติให้ได้ผลจริง เชิญติดตาม ที่

http://ustream.tv/channel/sucsess

  วันเสาร์ เวลา 19:00-21:00
  วันอาทิตย์ เวลา 14:00-17:00

เริ่มตั้งแต่วันเสาร์ที่ 1 สิงหาคม 2558  เป็นต้นไป

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

ผู้ปฏิบัติที่ได้ผล

นักวิทยาศาสตร์ยืนยันการตั้งลม รักษาโรคได้











**********************************************************************


วันนี้ ขออนุโมทนากับ Dr M!NT หลังจากที่ได้ประสบความสำเร็จในการอธิษฐาน(ผลต่อเนื่องจากการอบรมที่ตึกAA) ก็ได้ไปค้นคว้าหาข้อมูล ที่เกี่ยวข้อง คล้ายคลึง กับการปฏิบัติ

    เห็นว่าเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ และสามารถนำไปปฏิบัติ ได้  รวมทั้งท่านที่ได้ศึกษาปฏิบัติ "สติปัฏฐาน-ปฏิสัมภิทามรรค" ทุกท่านจะได้ภาคภูมิใจ ว่า "เราคนไทย ชาวพุทธ ก้าวหน้ากว่าฝรั่งหลายขั้น เราไปถึงขั้นอธิษฐานได้ดั่งใจ รักษาโรคร้ายเช่นมะเร็งได้ แต่   ฝรั่งยังอยู่แค่แก้โรคนอนไม่หลับ"


     ขอให้ Dr M!NT มีความก้าวหน้าในการปฏิบัติ การศึกษา และกิจการงาน ด้วยเทอญ  ...เจริญพร
   
   
http://www.kiitdoo.com/%e0%b8%8a%e0%b9%88%e0%b8%a7%e0%b8%a2-%e0%b8%84%e0%b8%99%e0%b8%ab%e0%b8%a5%e0%b8%b1%e0%b8%9a%e0%b8%a2%e0%b8%b2%e0%b8%81/




นักวิทยาศาสตร์สอนตั้งลม
ฝรั่งยังไม่รู้จักแยกแยะ  ระหว่าง "ตั้งลม กับ กลั้นใจ"  และนี่คือ ความลับของ "อธิษฐาน"  จ้า  เจริญพร



*********************************************************************


วันนี้มีแต่ข่าวมงคล ของผู้ที่ปฏิบัติ "สติปัฏฐาน-ปฏิสัมภิทามรรค" 
     อานิสงค์แห่งการ "ฟังด้วยใจ" ในพระปริตร(สวดมนต์) 
พิธีมหาพุทธานุภาพ ได้จัดขึ้นที่ จ.เพชรบูรณ์ เป็นครั้งแรกในสยาม 
ผู้ที่เข้าร่วมในงานและทำสมาธิด้วย "ใจ" รับพลังที่เป็นคลื่นผ่านWave ทางเสียงสวดมนต์ในพิธี นั่นคือ การรับเอาพลังพุทธานุภาพเจ้าไปในชีวิตตน  เหมือนกับ หรือ คล้ายกับ พลังแสงอาทิตย์ เราสามารถCharge เข้ามาสู่ชีวิตได้ เพียงแต่ต้องรู้วิธี  โชคดี และ ความสำเร็จเป็นWave ที่เราสร้างขึ้นได้ ฝึกแล้วจะรู้ว่า จริง ๆ แล้ว your life on your hand เจริญพร




ขอบคุณอนุโมทนา ข้อมูลจากคุณNut Happy 


น้องปุ้ก
จะน้อมปฏิบัติให้มากขึ้นในคำสอนของพระอาจารย์นะค่ะ



อนุสนธิ จากประสบการณ์ คุณปุ๊ก

 ผู้ที่ไม่ได้ไปในพิธีมหาพุทธานุภาพ แต่ได้ "ตั้งใจ" อธิษฐานอยู่ที่ กทม. จะได้ผลหรือไม่ ?
    คำตอบคือ แม่จะไม่ได้ไปในงาน แต่ได้ทำสมาธิ "ตั้งลม" ในเวลาที่ทำพิธี ก็ได้ผลเช่นเดียวกัน เปรียบเสมือน เสารับสัญญาณโทรศัพท์ มีได้ทั่วไป รับคลื่นสัญญาณได้
     พุทธานุภาพ เป็นคลื่นพลังที่ไร้ขีดจำกัด ผู้ปฏิบัติ "สติปัฏฐาน-ปฏิสัมภิทามรรค" จึงสามารถรับได้เช่นเดียวกัน 
    ข้อสำคัญคือ "ใจ" ของเรา "ถึง" พระพุทธคุณหรือไม่ นั่นคือ คำตอบว่าจะได้ผลหรือเปล่า ? อยู่ตรงนี้ เจริญพร






***********************************************************************



***********************************************************************
คุณอ๋อย





***********************************************************************








***********************************************************************








**************************************************************** 





********************************************************************


วันนี้เป็นวันที่ประกอบไปด้วยศุภวารดิถี คือวันอาทิตย์ขึ้น ๑๔ ค่ำ เป็น "มหาวัน" คือ วันแห่งความยิ่งใหญ่ ความสำเร็จ รุ่งโรจน์ โชติช่วงของชีวิต เป็นการเริ่มชีวิตใหม่ ที่สดใสด้วยความสุข สว่าง สงบ พร้อมด้วยปัญญาบารมี จึงควรที่สาธุชนทุกท่าน จะได้เจริญพระปริตร์ ให้ วาจา+ใจ ประสานเป็หนึ่งเดียว เพื่อใช้ในการอธิษฐาน จะได้ผลเร็วชนิดฉับพลันทันใจ
     และวันนี้ ก็มีข่าวดีอันเป็นมงคล คือ ผลปฏิบัติตามพุทธวิถี "สติปัฏฐาน-ปฏิสัมภิทามรรค" ซึ่งคุณพ่อของเด็ก ได้มาบวชที่วัดสุวรรณโคมคำ 15 วัน เพื่อศึกษาปฏิบัติพุทธวิถี แล้วนำไปสอนสมาชิกในครอบครัว ปรากฏว่า ลูกชายสามารถอธิษฐานได้ผล โดยใช้เวลาเพียง 5 นาที สิ่งที่ปรารถนาก็สัมฤทธิผล
    นี่คือข้อพิสูจน์ได้ว่า พุทธานุภาพ เป็นของจริงพิสูจน์ได้ ไม่ได้ขึ้นกับวัยหรืออายุ ขึ้นกับว่า "ตั้งใจ" จริงหรือเปล่า ? คือ "รู้ที่ตั้งของใจ" หากรู้ อะไร ก็สำเร็จ พระพุทธองค์ตรัสรับรองไว้ว่า "สิ่งทั้งหลายย่อมสำเร็จได้ด้วยใจ" 
    ท่านใดที่ยังลังเล สงสัย หรือไม่ค่อยได้ปฏิบัติ ก็ให้ดูกรณีเด็กนี้เป็นตัวอย่าง

คุณพ่อเด็กได้ส่งภาพขั้นตอนที่สอนลูกมาด้วย เห็นว่ามีประโยชน์สำหรับผู้เริ่มปฏิบัติ จึงเขียนบรรยายขั้นตอนลงไปในภาพนั้น จะได้ใช้เป็นตัวอย่างสืบไป ขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัย และพุทธานุภาพ เทวานุภาพ จงส่งเสริมให้คุณ Eddie และครอบครัว มีความเจริญก้าวหน้าในการปฏิบัติ และสมปรารถนาในสิ่งอันเป็นกุศล พร้อมด้วยสาธุชนทุกท่านที่ได้ร่วมอนุโมทนานี้เทอญ


แตะที่ภาพเพื่อขยาย






*************************************************************************

คุณปรีชา





ตัวอย่างผู้ปฏิบัติท่านอื่นๆ


  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

อนุโมทนา สำคัญอย่างไร

อนุโมทนาสาธุ คุณสันต์ ค่ะ
เครดิต ภาพ : คุณสันต์ (ณัฐกฤษ บวรภัคพาณิซ)




ตัวอย่างเล็ก ๆ พิสูจน์ ผลของการอนุโมทนาบุญ "ด้วยใจ". รับผลทันที. เป็นไปตามพุทธพจน์ทุกประการ แต่จะเกิดเฉพาะผู้ปฏิบัติชอบ ในแนวทางสติปัฏฐาน-ปฏิสัมภิทามรรค เท่านั้น ไม่มีทางอื่น




อีกรายล่าสุด ได้โชคจากการ "อนุโมทนาบุญด้วยใจ"





อนุโมทนาสาธุค่ะ





  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

ทำไมจึงต้องอาศัยนิมิตทำสมาธิ ? (คำสอนพระอาจารย์ธรรมบาล 6 พฤษภาคม 2558)

เวลาเราเหนื่อย ล้า มาก ๆ ถ้าไม่ใช้จั๊กจั่นลอกคราบ  ร่างกายจะปรับตัวไม่ได้  กล้ามเนื้อจะยึด เช่นนิ้วล๊อค  หรือ ตระคิว  สุดท้ายอัมพาต เพราะร่างกายจะรีดพลังไฟฟ้า Bio-Electric ที่เรามีไปใช้จนหมด แต่เมื่อเราCharge ใหม่ด้วยจั๊กจั่น ก็จะช่วยได้ร่างกายสดชื่น จะเหมือนเราพักผ่อนเต็มที่
ซึ่งเหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ต้องเร่งงาน ไม่มีเวลาพักผ่อนพอเพียง  หมั่นฝึกฝน จะเป็นประโยชน์แก่สุขภาพยามเมื่อสูงอายุ  นะ  เจริญพร

สำคัญที่สุดคือ " ภาพ"(image)หรือ ที่เรียกว่า "นิมิต" เราต้องเห็นให้ "ชัด" เป็นการฝึก"อธิษฐาน" เหมือนกันต้องมี"ภาพ" ที่เราต้องการให้เป็น ให้เกิดขึ้นประกอบไปด้วย  ไม่งั้นจะไม่เกิดผล  แม้พระอริยะบุคคล ปฏิบัติจะไปนิพพาน ก็ทิ้ง "นิมิต"(Image,ภาพ) ไม่ได้


ทำไมจึงต้องอาศัยนิมิตทำสมาธิ ?

เพราะนิมิตเปรียบเหมือนพาหนะของสมาธิ  ไม่มีนิมิต  ไม่มีสิทธิเข้าสู่สมาธิ  ไม่ว่า อุปฺจาร-อปฺปนา  และนิมิตนั้นจะต้องเป็นนิมิตอันเกิดจากใจ (มโน) กำหนด “นิมิตไม่เกิด สมาธิไร้ผลสิ้นเชิง”
เอตฺถ  จ  อญฺญเมว  อสฺสาสารมฺมณํ  จิตฺตํ
อญฺญํ  ปสฺสาสารมฺมณํ  อญฺญํ  นิมิตฺตารมฺมณํ  ยสฺสหิ  อิเม  ตโยธมฺมา  นตฺถิ
ตสฺส  กมฺมฏฺฐานํ  เนว  อปฺปนฺนํ  น  อุปจารํ  ปาปุณาติ
ยสฺส  ปนิเม  ตโย  ธมฺมา  อตฺถิ
ตสฺเสว  กมฺมฐานํ  อุปฺจารญฺจ  ปาปุณาติ
วุตฺตญฺเหตํ
นิมิตฺตํ  อสฺสาสปสฺสาสา  อานารมฺมณเมกจิตฺตสฺส
อชานโต  จตโย  ธมฺเม  ภาวนา  นุปลพฺภติ
นิมิตฺตํ  อสฺสาสาปสฺสาสา  อานารมฺมณเมกจิตฺตสฺส
ชานโต  จ  ตโย  ธมฺเม  ภาวนา  อุปลพฺภติ ฯ

นิมิตหนึ่ง  อัสสาสะ(ลมหาใจเข้า)หนึ่ง  
ปัสสาสะ(ลมหาใจออก)หนึ่งนี้  มิใช่จิตดวงเดียวกัน  ถ้าผู้ใดขาดเสียอย่างใดอย่างหนึ่ง  ภาวนาของผู้นั้นย่อมไม่สำเร็จ
นิมิตหนึ่ง  อัสสาสะหนึ่ง  ปัสสาสะหนึ่ง  ธรรมสามอย่างนี้มิใช่จิตดวงเดียวกัน  ผู้กระทำครบธรรมทั้งสาม  ภาวนาของผู้นั้นย่อม “สำเร็จ”
(พระสารีบุตร-วิ ๒ / ๗๗)


นอกจากจะต้องให้มีสติผูกนิมิตไว้แล้ว  ยังต้องรักษานิมิตนั้นให้ดีที่สุด  ดุจการประครองแก้วมณีค่าควรเมือง
ดังนั้น โยคาวจร(ผู้ปฏิบัติ) ปรารถนาความสำเร็จทั้งปวง ย่อมสำเร็จได้ด้วย "ใจ" ประกอบ "นิมิต" ที่ปรารถนา "จะได้ จะเป็น" พร้อมไปกับลมหาใจนั้น จึงจะสมดั่งได้ปรารถนา เกิดขึ้น "จริง"
ฉะนั้น  ผู้ที่ บอกตัวเองว่า "ปฏิบัติแล้วไม่เห็นได้" ก็แสดงว่า "ภาพ หรือนิมิต" ไม่ชัด 1  หรือ แม้ภาพนั้นชัด  แต่ไม่ได้เข้าออกตามลมหาใจ  มิได้ตั้งไว้  ณ ปถวีธาตุ1 หรือ มิได้เกิดปิติ 1

     โยคาวจร ผู้ต้องการความสำเร็จ ในกาลทุกเมื่อ จงตรวจสอบ เสริม ดั่งได้พรรณามาแต่ต้นนั้นเทอญ


ขอความสำเร็จดั่งปรารถนา จงบังเกิดมี แด่ผู้ปฏิบัติชอบ จงทั่วกันเทอญ 


ก่อนที่จะลืม เพราะอยาก ให้ทุกท่าน สมปรารถนาในสิ่งที่อธิษฐาน ซึ่งส่วนใหญ่มัก  "พลาด"
เวลาที่เราอธิษฐาน ให้ตั้งภาพ  "อธิษฐาน ที่ต้องการไปด้วย" อย่า"นึก" เฉย ๆ จะไม่ได้ผล  และ ต้องให้ "สิ่งที่เราอธิษฐานตามภาพนั้น เรื่องนั้น เกิดขึ้น=สำเร็จเสียก่อน  จึงเปลี่ยน "ภาพ" และคำอธิษฐาน  ไม่ใช่เปลี่ยนทุกวัน  หรือ  ทุกครั้งที่อธิษฐาน นะ  เจริญพร

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

ผลของการอบรมสติปัฏฐาน-ปฏิสัมภิทามรรค 1-3 พ. ค. 2558 ณ ตึก Double A ถนนสาธร

ผลของการอบรม สติปัฏฐาน-ปฏิสัมภิทามรรค เมื่อวันที่ 1-3 พค.2558 เน้นเรื่อง "สัจจวาจา" คือการฝึกให้ปากใจตรงกันเพื่อใช้ในการอธิษฐานให้ได้ผลสมปรารถนานั้นทำได้อย่างไร แบบไหน ? จริงหรือไม่ เพื่อขจัดข้อสงสัยในเหล่าพุทธศาสนิกชน ในประเทศไทย ผลปรากฏยืนยันเป็นหลักฐานประกอบประจักษ์พยาน พยานบุคคล ว่า ทำได้จริง พิสูจน์ได้จริง โดยไม่ขัดกับหลักวิทยาศาสตร์ Physic Quantum โดยเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นกับผู้เข้าร่วมการอบรม



M!nt (Phd. Bio) ใช้เวลาอธิษฐาน และประสบผลสำเร็จตามปรารถนา ภายใน 2 ชั่วโมง ดังปรากฏตามเรื่องราวดังต่อไปนี้


เมื่อเวลา 12:21 วันที่ 3 พค 2558 ณ ตึก AA ซึ่งมีการอบรม สติปัฏฐาน-ปฏิสัมภิทามรรค ขณะพักเที่ยง อยู่นั้น

    Dr M!NT ได้เข้ามาถามว่า "ที่สอนเรื่องการอบรม เรื่องอธิษฐาน แล้วได้ตามปรารถนานี้ สามารถ อธิษฐานให้สิ่งที่หายไปแล้วกลับมาได้ไหม ? "
   ก็ตอบไปว่า " ได้" โดยให้ทำตามที่ได้รับการอบรมไป แล้วจะได้สิ่งนั้นคืน
     แต่ข้อสำคัญ "ภาพของสิ่งที่หายไปนั้น  จะต้องเด่นชัด และให้มีความรู้สึกว่า ได้รับของนั้นคืนมาแล้ว "
     จากนั้น ให้ "ตั้งลม พร้อมภาพ+ อารมณ์ ไปตั้งไว้ ณ จุดปถวีธาตุ แล้วจะได้สิ่งที่หายคืน  ด้วยพลังแห่งพุทธานุภาพ

    เมื่อ Dr M!NT รับทราบแล้ว ก็กลับไปนั่งอบรมต่อ เพราะกลับบ้านยังไม่ได้(มากับเพื่อนหลายคน ต้องรอกลับพร้อมกันตอนเลิกคือ 17:00น)


หลังจากงานเลิก จริง คือ 17:45 น Dr M!NT ได้มาบอกว่าจะกลับแล้วและจะรายงานผลการอธิษฐานให้ทราบ เพราะจะเริ่มอธิษฐานเมื่อกลับไปถึงบ้าน

      จึงถามว่า " สิ่งที่หายไปน่ะ คืออะไร ? "
       เธอตอบว่า  "ลูกหมา ตัวนิ๊ดเดียว และบ้านก็อยู่ติดถนนด้วย แถมอยู่ตรงข้ามวัด  หมาวัดก็เยอะ กลัวถูกรถทับ หรือ หมาใหญ่กัด แต่ก็จะทดสอบพุทธานุภาพ และวิธีการอธิษฐานดู  เพราะก่อนมานั้น ลูกหมาได้หายไปตั้งแต่เช้า (เริ่มอบรม 09:09) ออกจากบ้าน 7โมงเช้า เพราะมากับเพื่อน ห่วงลูกหมามาก เพราะเกือบ 8 ชั่วโมง แล้ว

    และDr ก็กลับไป
 เราก็ไม่ได้เปิด Line ดู เพราะไฟหมด เอาไปCharge ได้รับ iPad ตอนเช้า

     วันรุ่งขึ้น(10:09น 04 พค 2558) จึงได้เปิดLine ดู จึงได้รับรายงาน ผลการปฏิบัติ และอธิษฐานของ Dr M!NT ดังนี้





















   
จึงขอให้สาธุชนผู้ใฝ่ปฏิบัติ ได้ศึกษา กรณีตัวอย่างนี้ ของจริง ต้องพิสูจน์ได้ พุทธานุภาพนั้นมีอยู่จริง เหมือนกับ ไฟฟ้า มันขึ้นอยู่กับว่า "คุณรู้วิธีนำมาใช้อย่างถูกต้อง ถูกวิธีหรือไม่ ?

การนำประสบการณ์นี้มาเผยแผ่ ก็เพื่อเป็นกำลังใจแก่ผู้ปฏิบัติได้ ปฏิบัติให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น และ สำหรับผู้ที่ยังลังเล สงสัย ว่าจริงหรือไม่ จะได้เริ่มปฏิบัติ

   สพฺพทานํ ธมฺมทานํ ชินาติ ฯ  การให้ธรรมทาน เหนือการให้ทั้งปวง

     ขอกุศลใด อันเกิดขึ้นจากการเผยแผ่ประสบการณ์ จงส่งผลให้Dr M!NT จงก้าวหน้า ในชีวิต ธุรกิจการงาน ครอบครัว การศึกษา ทุกสิ่งที่ปรารถนาอันเป็นกุศล จงสัมฤธิผลทุกประการเทอญ  เจริญพร





ตัวอย่าง     :  ผลการปฏิบัติจากท่านอื่นๆ



  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS