การปฏิบัตินั้นจะต้องเป็นขั้นตอนต่อเนื่องเชื่อมต่อกันได้ เปรียบประดุจดั่งสายโซ่ มีอยู่ ๕ ประการ เรียกว่า "สนธิ ๕ แห่งสมาธิ" คือ
๑. อุคคหะ การศึกษา -ปฏิบัติกรรมฐาน เพื่อให้เกิด นิมิต = "ปิติ"
๒. ปริปุจฉา การสอบถาม เมื่อติดขัดในขณะปฏิบัติ
๓. อุปัฏฐานะ ความปรากฏพร้อมแห่งสภาวะ กาย วาจา ใจ รวมเป็นหนึ่ง
๔. อัปปนา ความมั่นคงแนบแน่น ไม่สั่นคลอน แห่งนิมิต ในมโนทวารวิถี
๕. ลักษณะ การกำหนดเป้าหมายนิมิต กาล(เวลา) เทศะ(สถานที่=ภพภูมิ)
ดังนั้น การฝึกกรรมฐานที่ถูกต้อง จะต้องมีขั้นตอนต่อเนื่องกันไปไม่ขาดสาย ผู้ปฏิบัติย่อมรับรู้ได้ อาจารย์ผู้สอนก็สามารถให้คำอธิบายได้อย่างไร้ข้อจำกัด เมื่อศิษย์ติดขัดในสภาวะธรรม และอารมณ์กรรมฐานระหว่างปฏิบัติ หากอาจารย์ไม่อาจอธิบายได้ หรือ อธิบายแล้วขัดต่อพุทธพจน์อันปรากฏในสติปัฏฐาน-ปฏิสัมภิทามรรค อันเป็นเส้นทางเดียวไปสู่พระนิพพาน ไม่มีหนทางอื่น หากไม่ใช่ก็แสดงว่า "ของปลอม"
ในการปฏิบัติสติปัฏฐาน-ปฏิสัมภิทามรรค สิ่งสำคัญที่สุดคือ จะต้องอาศัยใช้ นิมิต+ปิติ พร้อมด้วยลมอัสสาสะปัสสาสะ ดังได้อธิบายไปก่อนหน้านี้ เพื่อเข้าสู่ขั้นตอนแห่ง "อัปปนาสมาธิ" ในมโนทวารวิถี ด้วย "กสิณสมาธิ" เพื่อบรรลุสภาวะ "ฌาน"(หมายถึงการกำหนด จดจ่อ นิมิต+อารมณ์) อันเป็นรากฐานการยกระดับขึ้นไปสู่ภูมิธรรมขั้นสูง อันเป็นเป็นเครื่องระงับดับกิเลศ เป็นอาวุธในการสังหาร "นาม" เช่น สัญญานาสัญญายตนฌาน (ตัดสัญญาการเวียนว่ายตายเกิดทั้งปวง) สัญญาเวทนิโรธฌาน(การหยุดสัญญาเวทนาทั้งมวล) วิมุติ หลุดพ้น = นิพพาน โดยอาศัยปฐวีธาตุเป็นตัวนำ เรียกว่า "ปฐวีกสิณ" เพื่อเข้าสู่ อากาสานัญจายตนฌาน เป็นต้น
ในอดีตมีโยคีผู้ฝึกสำเร็จกสิณสมาธิ ก็มีฤทธิสามารถเหาะเหินเดินอากาศได้ด้วยอำนาจ "ฌาน" มากมาย มาแต่ก่อนพุทธกาล แต่ไม่สามารถที่จะบรรลุพระนิพพานได้ เพราะอะไร ก็เพราะว่า "ฌาน" อันโยคีเหล่านั้นได้ปฏิบัตินั้น "ไม่ประกอบด้วยกุศลมูลจิต" แต่เป็นไปเพื่อให้ได้มาฤทธิเท่านั้นจึงเรียกว่า "อกุศลฌาน" หรือ "มิจฉาสมาธิ" (นี่แหละที่นักปฏิบัติส่วนใหญ่สับสน อาจารย์หลายสำนักก็เลยสอนกันผิด ๆ ว่า อย่าปฏิบัติให้มีฤทธิ มีฌาน ก็เพราะจำข้อมูลไปแต่ส่วนนี้ส่วนเดียว เลยทำให้การปฏิบัติถึงทางตัน ไม่เป็นไปตามสนธิ ๕ ดังกล่าวไว้ข้างต้น)
ความแตกต่างระหว่างโยคี กับ การฝึกตามพุทธวิถี "สติปัฏฐาน - ปฏิสัมภิทามรรค" เริ่มตั้งต้นก็โดยอาศัยรากฐานแห่ง "กุศลมูลจิต" มีพุทธานุภาพเป็นที่พึ่งที่ระลึก มีเป้าหมายคือการหลุดพ้นคือ "พระนิพพาน" เป็นปริโยสาร เส้นทางขั้นตอนปฏิบัติเข้าสู่ "ปฐวีกสิณสมาธิ" นี้เรียกว่า "กุศลฌาน" หรือ "สัมมาสมาธิ" ที่ผู้ปฏิบัติชอบต้องฝึกฝนและเพียรปฏิบัติ ให้สำเร็จ เป็นไปตามขั้นตอน
ในสติปัฏฐานสูตร ปรากฏพุทธพจน์ตรัสไว้ชัดเจนว่า "ภิกษุทั้งหลาย พึงพิจารณากายว่าเป็นปฐวีธาตุ ฯเปฯ "
แม้เมื่อกุลบุตรอุปสมบทเข้ามาเป็นภิกษุ อุปปัชฌายะให้กรรมฐาน ก็ให้ด้วย "ปฐวีธาตุ" เป็นปถม คือ เกสา โลมา นะขา ทันตา ตะโจ ฯ เป็นต้น
ในพระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ เล่ม ๒ ภาค ๒ ว่าด้วย กุศลฌาน จตุกกนัย ได้ระบุความสำคัญในส่วนของปถวีกสิณกรรมฐาน ไว้ดังนี้
[๗๑๐] ฌาน ๔ คือ
๑. ปฐมฌาน
๒. ทุติยฌาน
๓. ตติยฌาน
๔. จตุตถฌาน
[๗๑๑] ในฌาน ๔ นั้น ปฐมฌาน เป็นไฉน ?
ภิกษุในศาสนานี้ เจริญมรรคปฏิปทาเพื่อเข้าถึงรูปภพ สงัดจากกาม
สงัดจากอกุศลธรรมทั้งหลายแล้ว บรรลุปฐมฌานที่มีปฐวีกสิณเป็นอารมณ์
ประกอบด้วยวิตก วิจาร มีปีติและสุขอันเกิดแต่วิเวกอยู่ ในสมัยใด ฌานมี
องค์ ๕ คือ วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตาแห่งจิต มีในสมัยนั้น นี้เรียก
ว่า ปฐมฌานกุศล ธรรมทั้งหลายที่เหลือเรียกว่า ธรรมที่สัมปยุตด้วยฌาน.
[๗๑๒] ทุติยฌาน เป็นไฉน ?
ภิกษุในศาสนานี้ เจริญมรรคปฏิปทาเพื่อเข้าถึงรูปภพ บรรลุทุติย-
ฌานทีมีปฐวีกสิณเป็นอารมณ์ เป็นไปในภายใน เป็นธรรมชาติผ่องใส เพราะ
วิตกวิจารสงบ เป็นธรรมเอกผุดขึ้นแก่ใจ ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร มีแต่ปีติและ
สุขอันเกิดแต่สมาธิ อยู่ ในสมัยใด ฌานมีองค์ ๓ คือ ปีติ สุข เอกัคคตา
แห่งจิต มีในสมัยนั้น นี้เรียกว่า ทุติยฌานกุศล ธรรมทั้งหลายที่เหลือ
เรียกว่า ธรรมที่สัมปยุตด้วยฌาน.
[๗๑๓] ตติยฌาน เป็นไฉน ?
ภิกษุในศาสนานี้ เจริญมรรคปฏิปทาเพื่อเข้าถึงรูปภพ เพราะคลาย
ปีติได้อีกด้วย จึงเป็นผู้มีจิตเป็นอุเบกขา มีสติสัมปชัญญะอยู่ และเสวยสุข
ด้วยนามกายบรรลุตติยฌานที่มีปฐวีกสิณเป็นอารมณ์ ซึ่งเป็นฌานที่พระอริยเจ้า
ทั้งหลายกล่าวสรรเสริญผู้ได้บรรลุว่า เป็นผู้มีจิตเป็นอุเขกขา มีสติ อยู่เป็น
สุข ดังนี้ อยู่ ในสมัยใด ฌานมีองค์ ๒ คือ สุข เอกัคคตาแห่งจิต มีในสมัย
นั้น นี้เรียกว่า ตติยฌานกุศล ธรรมทั้งหลายทีเหลือ เรียกว่า ธรรมที่สัมปยุตด้วยฌาน.
[๗๑๔] จตุตถฌาน เป็นไฉน ?
ภิกษุในศาสนานี้ เจริญมรรคปฏิปทา เพื่อเข้าถึงรูปภพ บรรลุจตุตถ-
ฌานที่มีปฐวีกสิณเป็นอารมณ์ ไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข เพราละสุขและทุกข์ได้
เพราะโสมนัสและโทมนัสดับสนิทในก่อน มีสติบริสุทธิ์ เพราะอุเบกขา อยู่ใน
สมัยใด ฌานมีองค์ ๒ คือ อุเบกขา เอกัคคตาแห่งจิต มีในสมัยนั้น นี้เรียกว่า
จตุตถฌานกุศล ธรรมทั้งหลายที่เหลือ เรียกว่า ธรรมที่สัมปยุตด้วยฌาน.
ขอความผาสุขสวัสดี ก้าวหน้าในการปฏิบัติ เจริญในธรรม จงบังเกิดแก่สาธุชนผู้ใฝ่ปฏิบัติชอบทุกท่าน ทั่วกันเทอญ ฯ
กสิณ ๑
http://seealots.blogspot.com/2015/12/7-2558.html
กสิณ ๒
http://seealots.blogspot.com/2015/12/2-9-2558.html
กสิณ ๓
http://seealots.blogspot.com/2016/01/3-7-2559.html
สารบัญทั้งหมดจะอยู่ทางด้านขวามือของหน้า (ทุกหน้า) เวอร์ชันสำหรับเว็บ