ก่อนที่จะต่อ the Enlighterment Power ในตอนที่ 4 ก็ขอทำความเข้าใจ กับท่านผู้อ่าน กันเสีก่อนว่า
อย่าอ่านเพียงผ่าน ๆ หรือ เพื่อความสนุก ตื่นเต้น แต่ขอให้อ่านด้วยความพิจารณา เทียบเคียง ไปด้วย
ที่สำคัญคือ การนึกภาพ การอ่านคือการฝึกนึกภาพ ...ดังนั้น คนสมัยก่อนจึงส่งเสริมการอ่าน เพราะ ภาพ หรือ Image นั้นมีความสำคัญต่อการมีชีวิตอยู่ของมนุษย์อย่างยิ่ง .... สิ่งที่เราเป็นมา หรือ จะเป็นไป ส่วนใหญ่เราจะมีภาพอยู่ใน "ใจ" ของเรา ก่อนแล้ว
จากนั้น "ใจ" จะนำภาพนั้น ๆ ไป create ให้เป็น Physical ที่เราสามารถแตะต้อง หรือเป็นเช่นนั้นได้ พระพุทธองค์ จึงทรงสอนว่า "สิ่งทั้งหลาย สำเร็จได้ด้วยใจ" เราเห็นภาพเราเป็นอย่างไร ไม่นานเราก็จะเป็นอย่างนั้น ฝรั่งมีคติว่า U can be, what U want to be...
เพื่อไม่ให้เสียเวลารอคอย ติดตามตอนที่ 4 ต่อไป...
โวล์ฟ ได้มุ่งมั่นฝึกฝนEnlighterment Power ในรูปแบบของโยคีชมพูทวีป และศึกษาศาสนา-ปรัชญาบูรพาทิศ ถึงระดับที่สามารถส่งกระแสจิต รับรู้ และอ่านจิตใจ ความคิดผู้อื่นได้ เป็นที่ประจักษ์อย่างอัศจรรย์ เช่นกรณีของ เคานต์ ซาโต ริสกี้(Count Czartoryski) ซึ่งเป็นเชื้อพระราชวงศ์โปแลนด์ ขณะนั้นดำรงฐานะเป็นมหาเศรษฐีแห่งโปแลนด์ ภายในงานเลี้ยงรับรองของรัฐ
โดยเคานต์ ซาโต ได้ท้าทายความสามารถของโวล์ฟ ว่า หากค้นหาสร้อยเพชรประจำตระกูลที่สูญหายไปได้ เขาจะมอบเงินรางวัลให้แก่โวล์ฟ 250,000เหรียญโปแลนด์ ซึ่งเคานต์ซาโต ได้เคยแจ้งความกับตำรวจให้สืบค้นมาแล้วก่อนหน้านั้น แต่เจ้าหน้าที่จนหนทาง ค้นหาไม่พบ (สร้อยเพชรนั้นมีค่าเกือบล้านเหรียญโปแลนด์)
โวล์ฟ รับคำท้านั้นทันที เขาหลับตาทำสมาธิเพียงชั่วขณะ ต่อหน้าแขกในงาน ซึ่งรวมทั้งผู้บัญชาการตำรวจเจ้าของคดีสร้อยเพชรที่สูญหาย สักครู่หนึ่งเขาก็ลืมตาขึ้น และบอกให้เคานต์ซาโต นำเขาไปยังปราสาทของท่าน แขกเหรื่อในงานเมื่อได้ยินก็ต่างขอติดตามไปด้วยกว่าครึ่งร้อย
เมื่อไปถึงปราสาท โวล์ฟ ได้ถามท่านเคานต์ซาโต ว่า ห้องนอนของลูกคนใช้ในปราสาทอยู่ตรงไหนให้ช่วยนำไปด้วย ท่านเคานต์เดินนำหน้าโวล์ฟ และแขกที่ตามมาจากงานเลี้ยง หลังจากเข้าประตูห้องคนใช้ โวล์ฟ เหลียวมองหาอยู่พักหนึ่งก็หยิบตุ๊กตาหมี ซึ่งเป็นของลูกคนใช้
เขาขอให้ท่านเคานต์ซาโต ผ่าตุ๊กตาหมีนั้นออกมา ปรากฏว่าพบสร้อยเพชรประจำตระกูลที่สูญหายถูกซ่อนอยู่ภายในตุ๊กตานั้น ต่อหน้าแขกระดับสูงของรัฐที่ติดตามมา
นับแต่นั้นมา โวล์ฟ ก็ได้รับเชิญอย่างเป็นทางการ จากผู้นำนานาประเทศ ให้ไปสาธิตพลังสมาธิ เช่น ญี่ปุ่น, อาเย็นติน่า, บราซิล, ออสเตรีย, ฝรั่งเศส, อังกฤษ, สวิสเซอแลนด์ เป็นต้น
ในปี พ.ศ.2470 โวล์ฟ ได้รับเชิญจากรัฐบาลอินเดีย มหาตมะ คานธี ได้ขอให้เขาแสดงพลังสมาธิ ต่อหน้าบุคคลสำคัญของรัฐบาลอินเดีย โดยให้โวล์ทำสมาธิ แล้วมหาตมะ คานธี จะเป็นผู้นึกในใจ ให้โวล์ฟ ใช้ ทำตามที่มหาตมะ คานธี นึกนั้นให้ถูกต้อง
โวล์ฟ ถูกแยกให้อยู่อีกห้องหนึ่ง ซึ่งห้องที่มหาตมะ คานธี อยู่นั้นประกอบไปด้วยนักวิชาการ และผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์สาขาประสาทวิทยา ผู้นำศาสนาฮินดู รวมทั้งบุคคลชั้นนำในรัฐบาลอินเดีย มหาตมะ คานธี ได้เขียนข้อความใส่ไว้ในซองปิดผนึก โดยไม่มีใครทราบข้อความนั้น
หลังจากที่เขียนเสร็จ มหาตมะ คานธี ก็นั่งนิ่งนึกสิ่งที่เขียนไว้ และรอพิสูจน์ผล ว่าโวล์ฟ จะสามารถรู้ความคิดนั้นหรือไม่
เหตุการณ์อีกห้องที่โวล์ฟอยู่ คือ โวล์ฟ ได้ลืมตาจากสมาธิ แล้วลุกขึ้นไปหยิบขลุ่ย(สำหรับเป่าในพิธีทางศาสนาของฮินดู) จากนั้นเดินออกจากห้อง นำขลุ่ยนั้นไปมอบให้กับมือมหาตมะ คานธี
มหาตมะ คานธี จึงเปิดผนึกซองที่เขียนไว้ว่าจะนึกอะไร? ต่อทุกสายตาในห้อง ในกระดาษนั้นมีข้อความว่า "จงไปหยิบขลุ่ย และนำมันมาให้ฉัน ในห้องนี้" มหาตมะ คานธี ได้ยกย่องโวล์ฟว่า "เป็นผู้บรรลุความวิเศษแห่งโยคะ(ฌาน)..."
โวล์ฟ ได้อาศัยช่วงเวลาที่ได้รับเชิญจากรัฐบาลอินเดีย ไปกับการศึกษา-ปฏิบัติสมาธิ เพิ่มเติม จากเหล่าโยคี ลามะพุทธ ตัวจริง-มีชีวิตจริง ในแถบภูเขาหิมาลัย เป็นเวลาหลายปี สมดั่งที่เขาไฝ่ฝันมาตลอด นับตั้งแต่ครั้งเป็นเด็กที่ต้องศึกษา-ฝึกฝนด้วยตนเอง จากตำราที่ถูกทิ้งแล้วเท่านั้น
ที่วัดถ้ำเชิงเขาหิมาลัย โวล์ฟได้พบกับลามะพุทธอายุเกินสองร้อยปี โวล์ฟจึงได้เข้าพิธีสาบานตน ฝากตัวเป็นศิษย์เรียนสมาธิแบบพุทธธิเบต นับว่าเป็นครั้งแรกในชีวิตของ โวล์ฟ ที่ได้มีหลักธรรมประจำใจ
วันหนึ่งลามะผู้เป็นอาจารย์นั้นได้บอกแก่โวล์ฟว่า
"...ภายใน 15 วันนี้เธอจะต้องเดินทางไปจากชมพูทวีป หลังจากนั้นต้องพบเคราะห์กรรมอย่างแสนสาหัส
เธอต้องใช้พลังสมาธิ (Enlighterment Power) ที่ได้เรียนและปฏิบัติไปนี้เท่านั้น
จึงจะช่วยเธอจะรอดพ้นเคราะร้ายทั้งหมดได้...ไม่มีวิธีอื่นนอกเหนือไปจากนี้..."
ขอความผาสุขสวัสดี จงบังเกิดมีแด่สมาชิกทุกท่าน ขอจงมีความสุขสำราญบานใจ ในวันปีใหม่จีน หวังสิ่งใดจงได้ดั่งหวัง อู๋จี้ ตั่งตั๋ง เซ็งลี้ฮ้อ ขอสิ่งใดอันเป็นกุศล จงสำฤทธิผล ในกาลทุกเมื่อเทอญ เจริญพร