โวล์ฟ ได้หลบหนีไปอยู่ที่สถานีรถไฟ เพื่อที่จะหนีไปให้ ไกล ....ไกล...เกินกว่าที่จะมีใครทำร้ายเขาได้ เขาตั้งใจจะเข้าสู่ กรุงเบอร์ลิน โดยทางรถไฟ แต่เขาไม่มีเงินพอค่าโดยสาร จึงต้องรอจังหวะเหมาะที่จะซ่อนตัว ขึ้นตู้โดยสาร
เมื่อจังหวะเหมาะมาถึงโวล์ฟ แอบหนีขึ้นรถไฟที่มุ่งหน้าไปยังกรุงเบอร์ลิน ประเทศเยอรมัน โดยไม่มีตั๋ว ซ่อนตัวหลบอยู่ใต้ม้านั่ง และเขาก็หลับไปด้วยความอ่อนเพลีย
และเมื่อรถไฟเคลื่อนขบวน ไประยะหนึ่ง พนักงานตรวจตั๋วได้เดินตรวจตั๋วผู้โดยสารรถไฟ ผ่านแต่ละตู้... ละตู้...และในที่สุด...เท้าของพนักงานตรวจตั๋ว ก็สะดุดเข้ากับขาของโวล์ฟ ที่นอนหลับ และยื่นออกมาจากใต้ที่นั่ง
"... เฮ้ย.. ตื่น ...ตื่น.. เอาตั๋วมาดูซิ..! ถ้าไม่มีตั๋ว กูโยนลงรถไฟแน่... เร็ว..เอาตั๋วมา.." พนักงานตรวจตั๋วตะคอกด้วยความโกรธ เพราะเขาเกือบที่จะหกล้ม ตกไปนอกรถ เพราะสะดุดขาของโวล์ฟ
โวล์ฟ ซึ่งขณะนั้นเป็นเด็กอายุเพียง 11 ปี สดุ้งตื่น จากเสียงขู่ตะคอก ของพนักงานตรวจตั๋ว ครู่หนึ่งเขาก็ตั้งสติได้ ในภาวะเฉียบพลันและมีภัย เขาสูดลมหายใจลึก พร้อมกับรวบรวมสมาธิ พุ่งไปที่เศษกระดาษหนังสือพิมพ์ที่เขาใช้ปูนอน โดยกำหนดภาพในสมาธิ ที่เขาได้สมมุติสร้างขึ้นในขณะจวนตัวนั้น เป็นภาพตั๋วรถไฟ .ที่ผ่านจากร่างเขาไปสู่เศษกระดาษ และเขาก็ฉีกส่งให้พนักงานตรวจตั๋ว...
เป็นที่น่าอัศจรรย์ เมื่อพนักงานตรวจตั๋วได้รับเศษกระดาษหนังสือพิมพ์นั้น ก็นำสอดเข้าในคีมเจาะบัตร เมื่อเจาะแล้วแล้วยื่นส่งกลับไปให้โวล์ฟ ราวกับว่าเศษกระดาษหนังสือพิมพ์นั้น เป็นตั๋วโดยสารรถไฟที่ออกโดยสถานี
และนี่คือครั้งแรกในชีวิตที่โวล์ฟ เมสซิง ใช้พลังสมาธิ Enlighterment Power ที่ฝึกจากหนังสือ คัมภีร์บูรพาทิศ มาบังคับผู้อื่นให้เห็นภาพตามที่ตนเองต้องการได้สำเร็จ
ณ กรุงเบอร์ลิน มันไม่ได้เป็นเมืองสวรรค์เหมือนอย่างที่โวล์ฟ คิด มันคือเมืองนรก มีแต่ความเห็นแก่ตัว ผู้คนที่นี่ไร้ความเมตตา เด็กและคนชรานอนตายข้างถนนด้วยความหนาวเหน็บ และขาดอาหาร เรี่ยรายไปตามทาง ที่ผู้คนแต่งตัวสวยงามต่างเดินผ่าน เหมือนกับเห็นใบไม้แห้งที่ร่วงหล่น.... ชีวิตคนมันช่างไร้ค่า กว่าหมาที่คนแต่งตัวดีเหล่านี้จูงเสียอีก
โวล์ฟ ที่มีอายุเพียง ๑๑ ปี ต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว ปราศจากญาติพี่น้อง คนรู้จักที่จะให้การช่วยเหลือ ต้องเดินขอทานเพื่อนำเงินไปซื้ออาหาร ไม่มีน้ำตา ไม่มีเสียงร้องขอความเห็นใจ มีแต่ดวงใจที่กร้าวแกร่ง ทุกครั้งที่เขาท้อ เขาจะสร้างความรู้สึกและภาพ มารดาของเขา มาคอยให้กำลังใจ คอยปลอบโยน ยามเขาอ่อนล้า ....
แม้เขาจะไม่เคยพบหน้าแม่แม้สักนาที ที่จำความได้ แต่เขาก็รับรู้ไออุ่นจากอกแม่ ที่ได้สัมผัสเขายามแรกเกิด และภาพของแม่ที่ประทับอยู่ในส่วนลึกของจิตใจ ทำให้เขามุ่งหน้าฝึกฝน ปฏิบัติสมาธิ เพราะในคัมภีร์บูรพาทิศ ได้กล่าวไว้ว่าฺ ....เมื่อปฏิบัติได้สำเร็จระดับหนึ่ง จะสามารถข้ามกาลเวลา ไปพบกับอดีตบุคคลได้....และแรงผลักดันที่ทำให้เขาฝึกอย่างไม่ย่อท้อ เพราะเชื่อว่า .....วันหนึ่ง เขาต้องได้พบแม่ ....แม้จะอยู่ในต่างมิติ
โวล์ฟ ได้กลายสภาพเป็นเด็กขอทาน เลี้ยงชีวิตด้วยเศษอาหารที่เขาโยนทิ้ง วันไหนที่เขาขอทานไม่ได้ เขาก็ต้องคุ้ยถังขยะหาเศษอาหารพอประทังชีวิต เขาร่อนเร่เซซังด้วยเสื้อผ้าเพียงชุดเดียวที่แสนสกปรก ดุจลูกนกน้อยๆ ที่กำลังบินฝ่าพายุร้าย
ในวันหนึ่งเวลาเที่ยง ซึ่งเป็นช่วงที่ โวล์ฟขอทานไม่ได้ ทำให้เขาต้องอดอาหารมา ๓ วันแล้ว อาศัยแต่น้ำจากก๊อกสาธารณะข้างถนนดื่มเพื่อประทังชีวิต
เขาหน้ามืดและล้มลงบนสะพานข้ามแม่น้ำ ท่ามกลางสายตาผู้คนนับร้อยที่กำลังเดินข้ามไปอีกฝั่งหนึ่ง เขานอนแน่นิ่งไม่ไหวติง ผู้ใจเมตตาผู้หนึ่งได้นำเขาไปโรงพยาบาล ซึ่งอยู่อีกฟากหนึ่งของสะพาน
และที่โรงพยาบาลนี้เอง แพทย์ได้ตรวจร่างที่แน่นิ่งของโวล์ฟ พบว่าไม่หายใจ ไม่มีการเต้นของหัวใจและชีพจร ร่างกายเย็นเฉียบ แพทย์ลงความเห็นว่า "ตาย" แน่นอน จึงให้นำร่างของโวล์ฟ (ในขณะนั้นเรียกว่า "ศพ") ไปกองไว้รวมกับศพอื่น เพื่อรอสัปเหร่อนำไปฝังที่ป่าช้าในวันรุ่งขึ้น
โวล์ฟ..... จะตายหรือไม่ ?? ติดตามตอนต่อไป ในวันพรุ่งนี้ !!
ขอความผาสุขสวัสดี ในตรุษจีนปีนี้ ให้ร่ำรวย ยิ่งใหญ่ สมดั่งใจอธิษฐาน ทุกท่านเทอญ เจริญพร