วันนี้ได้อ่านเอกสารชิ้นหนึ่ง จาก Dr Ben สมาชิกผู้ปฎิบัติชอบในพุทธวิถี "สติปัฏฐาน-ปฏิสัมภิทามรรค" ส่งมาให้ เห็นว่ามีประโยชน์ และสามารถอาจเสริมความสมบูรณ์ ให้กับข้อมูล "การทำเงินล้าน ด้วยสมาธิเดินปะคำ" ได้ยิ่งขึ้นด้วย เอกสารดังกล่าว จะเรียบเรียงให้ศึกษากัน ดังนี้……
"……ศรัทธาแห่งลูกประคำที่เป็นเสมือนแหล่งรวมสมาธิที่ตั้งของจิตภาวนา นำมาซึ่งมูลค่าและเงินตราสำหรับผู้สรรหาและสร้างสรรค์ลูกกลมเม็ดเล็กมาเรียงร้อย ดังเช่นเกษตรกรชาวเนปาลที่กำลังทำรายได้มหาศาลจากเมล็ดของต้นโพธิ์ ซึ่งมีที่นี่เพียงแห่งเดียวในโลก!!
มูลค่าที่ทะยานขึ้นสูงในช่วงไม่กี่ปีนี้ เริ่มเป็นข่าวฮือฮา ทั้งเรื่องเกษตรกรชาวเนปาลเช่าเหมาลำเฮลิคอปเตอร์ขนเมล็ดโพธิ์ไปขาย ได้เงินหลายล้าน ขายดิบขายดีจนมีสินค้าไม่พอขาย รวมทั้งข่าวเรื่องเจ้าของต้นโพธิ์พันธุ์นี้ต้องจัดเวรยามเฝ้าต้นไม้หรือติดกล้องวงจรปิด เพราะถูกลักขโมยบ่อยครั้ง และยังต้องโยกย้ายหนีไปอยู่ที่อื่นเพื่อความปลอดภัย
ที่เป็นเช่นนี้ เพราะร่ำลือกันว่าเมล็ดโพธิ์ที่นี่เป็นพันธุ์ที่ดีที่สุด เหมาะสมที่สุดหากนำมาร้อยสายเป็นประคำไว้พกติดตัว หรือสัมผัสนับเม็ด จะช่วยให้สวดมนต์ภาวนาได้ดี
เมล็ดโพธิ์เงินล้าน..สุดบูม
ประคำที่ร้อยจากเมล็ดโพธิ์ เพิ่งจะเป็นที่นิยมอย่างมากเมื่อราว 4 ปีก่อน นายดูร์กา บาฮาดูร์ เชเรสทา เกษตรกรชาวเนปาลซึ่งปลูกต้นโพธิ์มานาน 30 ปี ไม่เคยขายเมล็ดโพธิ์ได้ราคามากมายขนาดนี้ โดยปี 2015 นี้ เขาขายเพียงครึ่งกระสอบ ก็ได้เงินถึง 2.9 ล้านรูปี (ราว 1.5 ล้านบาท) แล้ว
ทั้งนี้ เมืองกัฟเรแพลนโช้ก(Kavreplanchok) ของเนปาล เป็นแหล่งเพาะปลูกที่สำคัญ มีมูลค่าซื้อขายเมล็ดโพธิ์สูงถึงปีละ 1,000 ล้านรูปี (ราว 540 ล้านบาท) ผลผลิตจากต้นโพธิ์เพียงต้นเดียวสร้างรายได้ถึงปีละ 100,000 รูปี (ราว 54,000 บาท) ส่งผลให้เมล็ดโพธิ์มักจะโดนลักขโมยเป็นประจำ จนกระทั่งเจ้าของบางคนต้องย้ายไปนอนเฝ้าใต้ต้นโพธิ์ บางคนก็ลงทุนติดตั้งกล้องวงจรปิดไว้ที่ต้นโพธิ์ หวังใช้จับภาพคนร้าย แล้วจับตัวมาลงโทษ
เกษตรกรรายหนึ่งคือ นายโสนัม ซิงห์ ทาแมง ได้ติดตั้งกล้องวงจรปิดไว้ 4 ตัว แต่ก็ไม่ได้ผล เพราะพวกโจรแอบมาทำลายกล้องเสียหายในยามเที่ยงคืน และขโมยเมล็ดโพธิ์ไปจากต้น โดยได้ไปเกินกว่าครึ่ง ดังนั้น ด้วยความเกรงกลัวภัยอันตราย เขาจึงพาครอบครัวอพยพไปพักที่อื่น แต่เมื่อปีที่แล้ว เขายังเช่าเหมาลำเฮลิคอปเตอร์ขนเมล็ดโพธิ์น้ำหนักประมาณ 200 กิโลกรัมไปส่งพ่อค้า เพื่อตัดปัญหาโดนปล้นกลางทาง
เหตุที่ความต้องการของตลาดมีสูงและไร้คู่แข่งขัน เพราะปลูกได้ที่นี่ที่เดียว ชาวบ้านในเมืองกัฟเรแพลนโช้ก จึงพากันปลูกต้นโพธิ์เป็นสวนไว้ขายเชิงพาณิชย์อย่างจริงจัง
สำหรับเมล็ดโพธิ์ราคาแพงที่ตลาดต้องการนี้ เป็นพันธุ์พื้นเมืองของเนปาลที่ชื่อว่า โพธิจิต (Bodhichitta) เอกสารวิจัยล่าสุดโดย Khem Raj Bhattarai และ Mira Lal Pathak ซึ่งตีพิมพ์ใน Indian Journal of Plant Sciences ให้ข้อมูลว่า ต้น Bodhichitta (Ziziphus budhensis) มีลักษณะเฉพาะไม่เหมือนใคร พบได้แต่เฉพาะในพื้นที่เล็กๆ ของเมืองกัฟเรแพลนโช้ก ทางตอนกลางของประเทศเนปาลเท่านั้น
ต้นโพธิจิตจะเริ่มออกดอกในเดือนเมษายน แล้วโตขึ้นเป็นผลขนาดเล็กๆ กระทั่งผลแก่เก็บได้ในเดือนสิงหาคม ราคาของเมล็ดขึ้นอยู่กับขนาดและคุณภาพ เมล็ดเล็กขายได้ราคาดีกว่าเมล็ดใหญ่ ในแต่ละปีชาวสวนมีรายได้คนละหลายล้านรูปี
แม้ว่าดูผิวเผินเมล็ดโพธิ์จะเป็นแค่เมล็ดพืชกลมๆ ธรรมดาๆ แบบเมล็ดพืชทั่วไป แต่ทว่าพ่อค้าต้องเดินทางเข้าไปซื้อถึงแหล่งปลูก สู้ราคาอย่างไม่เกี่ยง แม้จะขยายพื้นที่ปลูกแล้วก็ยังไม่พอกับความต้องการของตลาด
เบื้องหลังความนิยม คือพลังศรัทธา
ว่ากันว่าเบื้องหลังความนิยมถล่มทลายนี้ นอกจากความหายาก มีจำนวนจำกัด ยังเป็นเพราะความเชื่อความศรัทธาในทางศาสนา นั่นคือ มีการนำเอาเมล็ดโพธิจิตไปร้อยเป็นสายประคำที่ใช้นับเวลาสวดมนต์ ด้วยเชื่อว่า การสวดมนต์พร้อมนับลูกประคำ จะช่วยให้หลุดพ้นจากวัฏฏะการเกิดและตายได้
การนำเมล็ดมาร้อยเป็นสายประคำ เส้นหนึ่งอาจมีราคา 5,000 รูปี (ประมาณ 2,700 บาท) แต่ถ้าขายที่ทิเบตอาจได้ราคาสูงถึงเส้นละ 100,000-150,000 รูปี (ราว 54,000-80,000 บาท) ตลาดสำคัญของประคำโพธิจิตอยู่แถวโบดธา(Bouddha) เมืองกาฐมาณฑุ
ช่วงไม่กี่ปีมานี้ สายประคำที่ร้อยจากเมล็ดโพธิจิต ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด กลายเป็นสินค้าสำหรับพุทธศาสนิกชนที่มีราคาแพงลิ่ว โดยเฉพาะในประเทศจีน อินเดีย เกาหลี ญี่ปุ่น และสิงคโปร์ ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นการบอกต่อถึงคำตรัสขององค์ทะไลลามะ ผู้นำทางด้านจิตวิญญาณสูงสุดของชาวทิเบต ว่าเมล็ดโพธิ์พันธุ์เนปาลมีคุณภาพดีที่สุด
อันที่จริง เป็นความเชื่อโดยพื้นฐานของชาวพุทธอยู่แล้วว่า ต้นโพธิ์เป็นต้นไม้ที่มีความสำคัญ ศักดิ์สิทธิ์ พึงเคารพสักการะ เป็นต้นไม้ที่ประทับตรัสรู้สัมมาสัมโพธิญาณของพระพุทธเจ้า ประกอบกับต้นโพธิจิตของเนปาลนั้น มาจากคำภาษาสันสกฤต คือ โพธิ์(bodhi) และจิต (chitta) หมายถึง จิตที่ตื่นรู้ หรือจิตที่ต้องการตรัสรู้ธรรม เพื่อประโยชน์ของสัตว์ทั้งหลาย อันเป็นปรัชญาของพุทธศาสนาวชิรยานในเนปาล
นอกจากนี้ ยังมีตำนานที่สนับสนุนว่า ทำไมต้องเป็นโพธิจิตของเนปาล นั่นคือ พุทธประวัติของพระพุทธเจ้าที่ว่า พระองค์ทรงบำเพ็ญภาวนาใต้ต้นโพธิ์ 3 ต้น คือ ต้นที่ลุมพินี ต้นที่นะโมพุทธ (Namobudha) และต้นที่หมู่บ้านทิมาล (Timal) ในเมืองกัฟเรแพลนโช้ก หลังจากนั้นปรากฏว่าต้นโพธิ์ต้นที่ 3 คือ ที่หมู่บ้านทิมาลในเมืองกัฟเรแพลนโช้กเพียงต้นเดียวเท่านั้นที่ยืนต้นอยู่ได้
และอีกเรื่องคือ เรื่องของพระปัทมสัมภวะ (Padmasambhava) ผู้เป็นที่เคารพศรัทธาของชาวพุทธในเนปาล ภูฐาน และทิเบต เป็นอย่างมาก ได้รับการยกย่องว่าเป็น กูรูรินโปเช (Guru Rinpoche) ซึ่งแปลว่า อาจารย์ผู้ประเสริฐ ท่านเป็นผู้นำพระพุทธศาสนาวัชรยานเข้าสู่ดินแดนทิเบต ในศตวรรษที่ 8 เชื่อกันว่าท่านเป็นวัชรนิรมาณกายของพระพุทธเจ้า และพระโพธิสัตว์เจ้าทั่วทุกทิศ โดยมีเรื่องเล่าว่า ท่านได้บำเพ็ญสมาธิใต้ต้นโพธิจิต เมื่อครั้งไปบำเพ็ญภาวนาที่เมืองกัฟเรแพลนโช้ก
ความเชื่อเหล่านี้เมื่อรวมกับพลังศรัทธาในพุทธศาสนา เมล็ดโพธิจิตลูกกลมเล็กๆ จึงเหมาะกับการนำมาร้อยเป็นสายประคำ ซึ่งชาวพุทธโดยเฉพาะนิกายมหายาน มักจะพกติดตัวไว้สำหรับการสวดมนต์ภาวนาได้ทุกขณะที่ต้องการให้ลูกประคำเป็นสื่อนำจิตและสมาธิสู่การภาวนา
ย้อนรอยร้อยสายลูกประคำ
ชาวพุทธเนปาลส่วนใหญ่อพยพมาจากทิเบต นับถือนิกายวัชรยาน เช่นเดียวกับชาวพุทธในทิเบต ซึ่งมีความเชื่อด้านไสยศาสตร์และมนตราต่างๆ เลื่อมใสในพระพุทธเจ้าและเหล่าพระโพธิสัตว์ ความเป็นมาของสายประจำจึงปรากฏแทรกอยู่ในเรื่องราวต่างๆ นอกจากเป็นของที่พกติดตัวแล้ว ยังแฝงความเชื่ออันลี้ลับด้วย
การทำสมาธิด้วยการเดินประคำของธิเบตนั้น สืบเนื่องมาจากพระปัทมสัมภวะ คุรุ ริน โป เชเมื่อครั้งไปบำเพ็ญภาวนาที่ถ้ำทองสัมทุนดา(Tongsum Tunda) เมืองกัฟเรแพลนโช้ก โดยเริ่มจากความคิดที่จะสร้างเครื่องมือนำทาง ให้คนในท้องถิ่นที่เลื่อมใสพุทธศาสนาได้พบความสงบแห่งจิตใจ มีความสุข และมั่งคั่งด้วยปัญญาและความรู้แจ้งของท่าน จึงได้ร้อยปะคำเส้นใหม่มอบเป็นของขวัญพิเศษแก่ผู้สนใจการปฏิบัติภาวนา ซึ่งทำขึ้นจากเมล็ดของต้นโพธิจิต ต้นไม้ที่มีเพียงหนึ่งเดียวในโลกที่เนปาล นำเมล็ดกลมๆ สวยงามนี้มาร้อยเป็นสายผูกปลายเป็นวง ให้ชาวพุทธใช้เป็นหลักยึดในขณะสวดมนต์ วงสายเมล็ดโพธิ์จากต้นโพธิจิตนี้ก็คือ สายประคำ หรือ Terela Mala นั่นเอง
ชาวพุทธมหายานจะนับลูกประคำไปด้วยในขณะสวดมนต์ ไม่ว่าจะเปล่งเสียงสวดมนต์ออกมา หรือสวดในใจ บางครั้งก็เอ่ยนามเทพเจ้าที่เคารพศรัทธา การนับจำนวนรอบที่ได้สวดไปแล้ว ช่วยให้จิตจดจ่อและมั่นคงอยู่กับบทสวดมนต์ โดยจำนวนลูกประคำนั้น มีมาตรฐานว่า หนึ่งสายจะร้อยด้วยลูกประคำจำนวน 18, 27, 54 หรือ 108 เม็ด แต่ส่วนใหญ่จะเป็น 108 เม็ด
ชนิดของประคำกับบทสวดที่แตกต่าง
การใช้ประคำสำหรับนับจำนวน เพื่อสร้างสมาธิและเป็นองค์ประกอบในการสวดมนต์ภาวนา มีมานานและขยายวงกว้างออกไปในภูมิประเทศต่างๆ เมล็ดโพธิ์จึงไม่ได้เป็นวัสดุชนิดเดียวที่ใช้ทำลูกประคำ แต่มีการสรรหานำวัสดุมาใช้แตกต่างกันไปตามแต่จะหาได้ในพื้นที่นั้นๆ และตามแต่วัตถุประสงค์ของมนต์ที่สวด หรือความเชื่ออื่นๆ
ประคำบางชนิดใช้ได้กับมนต์ทุกชนิดทุกวัตถุประสงค์ เช่น ประคำที่ทำจากเนื้อไม้หรือเมล็ดของต้นโพธิ์ หรือจากเมล็ดรุดรักษะ (rudraksha) หรืออีกชื่อหนึ่งว่า “น้ำตาพระศิวะ” ซึ่งเป็นต้นไม้ตระกูลเดียวกับมะกอก ว่ากันว่า รุดรักษะมีเฉพาะบนเทือกเขาหิมาลัยเท่านั้น
ถ้าต้องการสวดมนต์บทเพื่อความสงบ จะใช้ประคำสีขาว นิยมพวกแก้วคริสตัล ไข่มุก เปลือกหอยเบี้ย หอยสังข์ หรือหอยมุก เพราะเชื่อว่าเป็นเหมือนจิตใจที่บริสุทธิ์ ปราศจากอุปสรรคใดๆ อย่างความเจ็บป่วย กิเลส และจิตใจที่ไม่สงบ แต่ปัญหาของไข่มุกแท้คือดูแลยาก ใช้ไม่กี่ครั้งเหลือบรุ้งที่เคลือบผิวมุกจะหมอง ส่วนใหญ่จึงใช้สร้อยมุกที่เป็นเครื่องประดับมากกว่า
สำหรับมนต์บทที่สวดเพื่อเพิ่มโชคลาภ ควรสวดไปพร้อมกับนับลูกประคำที่ร้อยจากทองคำ เงิน ทองแดง และอำพัน จะช่วยเสริมให้ชีวิตยืนยาว ฉลาด และได้บุญกุศลยิ่งขึ้น
ส่วนมนต์บทที่สวดเพื่อให้เกิดเมตตา ควรสวดไปพร้อมกับนับลูกประคำที่ร้อยจากหญ้าฝรั่น เมล็ดบัว ไม้จันทน์ ไม้พะยูง เชื่อกันว่าวัสดุที่จะได้ผลดีที่สุดคือ ปะการังโบราณ red coral อายุ 25,000 ปี จนกลายเป็นอัญมณี มีสีแดง ปัจจุบันหายากและราคาแพงมาก เพราะห้ามนำออกจากธรรมชาติแล้ว
ขณะที่มนต์ที่สวดเพื่อให้แคล้วคลาดปลอดภัย ต้องใช้ประคำที่ทำจากเมล็ดรุดรักษะ หรือกระดูกสัตว์
นอกจากประคำที่นิยมจำนวน 108 เม็ดแล้ว ยังมีประคำขนาดอื่นอีก ที่กล่าวถึงในประเทศไทยในลักษณะของมงคลหรือเครื่องรางของขลัง เช่น ประคองแขน ซึ่งมีเส้นผ่าศูนย์กลางพอที่จะสวมข้อมือ แล้วรูดขึ้นไปไว้บนต้นแขนคล้ายกับคาดเชือก หรือประคำมือ มีขนาดเล็ก สวมที่นิ้วโป้ง ใช้สำหรับนักดาบ และยังมีประคำโทน คือ ลูกประคำเม็ดเดียว เอาคุณจากประคำ 108 เม็ดมารวมกันไว้ในประคำเพียงเม็ดเดียว เหมือนการสวดอิติปิโสภควา ที่รวมทั้งหมดเป็นหัวใจหนึ่งเดียว
ลูกประคำในสมัยโบราณของไทยใช้วัสดุหลายหลาก บ้างใช้ว่านมงคล 108 ผสมเครื่องยาจินดามณี ผงใบลาน กะลามะพร้าวตาเดียว งาช้าง เขี้ยวเสือ เขี้ยวหมู กระดูกสัตว์ ฯลฯ ปัจจุบัน ทำจากไม้จันทน์ หยก พลาสติกก็มี โดยปกติ เลข 108 เป็นเลขมงคล ตามความเชื่อของทั้งพุทธและพราหมณ์ ยิ่งในแง่เครื่องรางของขลัง อะไรที่ลงท้ายด้วย 108 แล้วจะเชื่อว่าขลังขึ้นอีกเป็นทวีคูณ
ประคำของประเทศต่างๆ
ความศักดิ์สิทธิ์ของสายประคำมักเป็นที่กล่าวถึงทั่วไป แต่จะจริงเท็จแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับความเชื่อ ซึ่งมักผนวกความลี้ลับทางไสยศาสตร์ไว้ด้วย ความเชื่อที่แตกต่างกันทำให้ประคำของแต่ละประเทศมีความหลากหลายไปด้วย
• ญี่ปุ่น ประคำสำหรับสวดมนต์เรียกว่า ojuzu หรือ onenju ชาวพุทธญี่ปุ่นมีหลายนิกาย ประคำในแต่ละนิกายมีรูปร่างและการใช้แตกต่างกัน เช่น นิกายพุทธ Shingon, Tendai และ Nichiren ใช้ประคำสายยาว ส่วนนิกาย Jodo Shinshu ใช้ประคำสายสั้นกว่า ใช้พร้อมกัน 2 เส้น คล้องไว้กับมือ 2 ข้าง แยกกันข้างละ 1 เส้น และจะไม่นำมาคล้องรวมกัน
ส่วนใหญ่นิยมร้อยด้วยลูกประคำ 108 เม็ด และเริ่มมีการร้อยด้วยเม็ดพลาสติกเป็นช่วงๆ สลับกับวัสดุอื่น อย่างไม้หรือเมล็ดจากต้นไม้ในอินเดีย เช่น Ficus religiosa ซึ่งเป็นชนิดพันธุ์เดียวกับต้นโพธิ์ หรือมีการตกแต่งภาพภายในลูกประคำเม็ดที่ใหญ่ที่สุด ซึ่งมักเป็นภาพของส่วนใดส่วนหนึ่งของวัดหรือนิกาย เมื่อนำมาส่องกับแสงไฟจะมองเห็นภาพได้อย่างชัดเจน
• จีน ในวัฒนธรรมจีน เรียกประคำว่า shu zhu, fo zhu หรือ Nian zhu ใช้นับจำนวนมนต์ บทสวดที่ต้องสวดซ้ำไปซ้ำมา นับจำนวนครั้งของการหมอบกราบ หรือนับลมหายใจ
• พม่า ชาวพุทธเถรวาทในพม่า ใช้ประคำที่เรียกว่า seik badi หรือเรียกสั้นๆว่า badi มีลูกประคำ 108 เม็ด ทำจากไม้หอมอย่างไม้จันทน์ มีพู่สายสีสดใสห้อยอยู่ที่ส่วนปลายของประคำ มักใช้เพื่อนับจำนวนรอบที่สวดมนต์ซ้ำไปมาในระหว่างปฏิบัติสมถกรรมฐาน
• ไทย จากบันทึกต่างๆ ทำให้ทราบว่า ลูกประคำแพร่หลายมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา พระสงฆ์บางรูปทางภาคเหนือก็นิยมใช้ประคำในการเจริญภาวนา เช่น ครูบาศรีวิชัย นักบุญแห่งล้านนา ครูบาพรหมา พรหมจักโก วัดพระพุทธบาทตากผ้า ฯลฯ แต่ผู้คนส่วนใหญ่นิยมใช้เป็นเครื่องรางของขลัง เป็นวัตถุมงคลเพื่อให้คุ้มครองตน ป้องกันการกระทำคุณไสย เป็นต้น
การนับลูกประคำเป็นวิธีหนึ่งในการภาวนาให้ถึงศีล สมาธิ ปัญญา เป็นอุบายในการฝึกสติอย่างหนึ่ง ถ้าไม่มีสติก็จะนับไม่ถูก เพราะต้องนับจำนวนจบที่สวดมนต์และบริกรรมไปแล้ว ให้ได้ตามจำนวนที่ตั้งจิตไว้แต่แรก จึงจะได้มรรคผลจากการนับ
ส่วนวัสดุที่ใช้จะนำมงคลโชคลาภหรืออื่นใดมานั้นเป็นความเชื่อ จะให้ผลอย่างไรก็เป็นเรื่องที่ผู้สนใจต้องพิสูจน์กันไป แต่อย่างไรก็ตาม เมล็ดโพธิจิตของเนปาล ก็ได้กลายเป็นเมล็ดโพธิ์เงินล้านไปแล้วอย่างไม่น่าเชื่อ
จำนวนเม็ดประคำ มติหนึ่งว่ามาจากคุณของพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ จึงใช้ลูกประคำจำนวน 108 ลูก คือ พุทธคุณไว้ 56 พระธรรมคุณ 38 พระสังฆคุณ 14 รวมเป็น 108 คำ(เท่าจำนวนเม็ดปะคำพอดี)
พุทธคุณ 56 คือบท อิ ติ ปิ โส ภะ คะ วา อะ ระ หัง สัม มา สัม พุท โธ วิช ชา จะ ระ ณะ สัม ปัน โน สุ คะ โต โล กะ วิ ทู อะ นุต ตะ โร ปุ ริ สัท ธัม มะ สา ระ ถิ สัต ถา เท วะ มะ นุส สา นัง พุท โธ ภะ คะ วา ติ นับได้ 56 คำ
พระธรรมคุณ 38 คือบท สฺวาก ขา โต ภะ คะ วะ ตา ธัม โม สัน ทิฏ ฐิ โก อะ กา ลิ โก เอ หิ ปัส สิ โก โอ ปะ นะ ยิ โก ปัจ จัต ตัง เว ทิ ตัพ โพ วิญ ญู หี ติ นับได้ 38 คำ
ส่วนพระสังฆคุณ 14 คือบท สุ ปะ ฏิ ปัน โน ภะ คะ วะ โต สา วะ กะ สัง โฆ นับได้ 14 คำ
Cr ::: นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 179 พฤศจิกายน 2558
แต่ที่แน่ ๆ ซึ่งผู้เขียนบทความนี้อุบไว้ (หรืออาจจะไม่รู้ความลับ วิธีที่ทำให้ผู้ทำสมาธิด้วยปะคำ ประสบความสำเร็จในสิ่งปรารถนา ได้ดั่ง "ใจ" อธิษฐาน ทำได้อย่างไร)
จึงนับว่าเป็นมหากุศล ที่สาธุชนผู้ปฏิบัติชอบในพุทธวิถี "สติปัฏฐาน-ปฏิสัมภิทามรรค" ที่ได้รู้วิธีปฏิบัติ นับแต่การเริ่ม คำภาวนาขณะตั้งลมร้อยปะคำ แต่ละลูก การอาราธนาสายปะคำขึ้นคล้องคอ และการทำสมาธิด้วยปะคำ. รวมไปถึงการ "อธิษฐาน" สิ่งที่ปราถนาให้สำเร็จ ดั่ง "ใจ" ซึ่งจัดว่าเป็น "ขั้นอนุบาล" ของการปฏิบัติ ซึ่งส่งผลให้สาธุชนทุกท่านประสบความเจริญก้าวหน้า สมปรารถนาในทางกุศลได้จริงแท้ 100 % จนเป็นที่ทราบกันทั่วไป
การทำสมาธิด้วยการเดินปะคำ ตามปรากฏในแผ่นดินสุวรรณภูมิ(ประเทศไทย) มีมาแต่ยุคสุโขทัย โดยพระมหาเถรสรีสัทธาจุฬามุนีรัตนบังกาทีป สมเด็จพระสังฆราชแห่งกรุงสุโขทัย ทรงเป็นพระอาจารย์ของพระญาลิไท และทรงเดินทางธุดงค์ไปยังกรุงราชคฤห์ เมื่อกลับมาทรงนำพระอภิธรรมปิฏกมาเผยแผ่เป็นครั้งแรกในสุวรรณภูมิ ทรงรจนาคัมภีร์มหาจักพรรดิราช-รัตัญญุศาสตร์ฯ ปถมโพธิกถา ไตรภูมิพระร่วง ทรงเผยแผ่การปฏิบัติตามพุทธวิถี "สติปัฏฐาน-ปฏิสัมภิทามรรค" ที่วัดป่ามะม่วง สุโขทัย และทรงสอนการทำสมาธิด้วยปะคำ เพื่อใช้ควบคุมสมมุติ(มหาภูตรูป๔) ผู้ปฏิบัติสามารถอธิษฐานได้ตามปรารถนา ทำให้แผ่นดินสุโขทัยไร้โจรขโมย ไม่มีคุกตะราง บ้านเมืองเป็นสุข ไพร่ฟ้าหน้าใส และสืบทอดมาจวบจนปัจจุบันยุครัตนโกสินทร์
สำหรับสาธุชนท่านใด ที่เพิ่งเข้ามาอ่าน ต้องการทราบวิธีปฏิบัติ ก็ให้ไปค้นคว้าข้อมูลได้ที่
ขอความผาสุข สวัสดี มีโชค สมปรารถนา ก้าวหน้าในการปฏิบัติ จงปรากฏแก่สาธุชนทุกท่าน ทั่วกันเทอญ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น