คนต่างศาสนา เมื่อมาปฏิบัติสติปัฏฐาน-ปฏิสัมภิทามรรค ภาคอธิษฐานแล้วจะได้ผลหรือไม่ ?" (คำสอนพระอาจารย์ธรรมบาล 5 กันยายน 2558)

ต่อไปนี้จะได้ นำหัวข้อธรรม วิสัชนาให้สมาชิกปฏิสัมภิทาผู้ใฝ่ในธรรม ได้ศึกษา-ค้นคว้า -ปฏิบัติ สืบต่อไป





เนื่องจากมีข้อสงสัยของสาธุชน Line กลุ่มปฏิสัมภิทามรรค เรื่อง.

 "คนต่างศาสนา เมื่อมาปฏิบัติสติปัฏฐาน-ปฏิสัมภิทามรรค ภาคอธิษฐานแล้วจะได้ผลหรือไม่ ?"






กรณีคนนอกศาสนา จะเข้ามาปฏิบัติในพระพุทธศาสนา ดังกล่าวนี้ ไม่ใช่เพิ่งเกิดขึ้น ได้ปรากฏมีตัวอย่างเดียวกันนี้ในสมัยพุทธกาล ที่พระพุทธองค์ได้ทรงกำหนดบทบัญญัติไว้ สำหรับผู้นอกศาสนา เรียกว่า. "ปริวาส" ที่ผู้ต่างศาสนาจะต้องเข้าอบรมปฏิบัติขัดเกลาก่อน ยิ่งจะบวชเข้ามาเป็นพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา ยิ่งจะต้องเข้มงวด กวดขันวัตรปฏิบัติอย่างยิ่ง ดังในพระไตรปิฏก

ปริวาส” คำนี้มีมาแต่สมัยพุทธกาล เนื่องด้วยมีคฤหัสถ์มากมายที่ไม่ใช่ผู้ที่นับถือพระพุทธศาสนา หรือไม่ได้เข้าถึงพระรัตนตรัย คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ คือเป็นผู้ที่นับถือศาสนาอื่นหรือลัทธิอื่น ๆ มาก่อน ซึ่งคนจำพวกนี้เรียกว่า "เดียรถีย์"

ซึ่งเดียรถีย์เหล่านี้เมื่อได้ฟังพระธรรมจากพระพุทธเจ้าบ้าง หรือพระอัครสาวกบ้าง ภิกษุอื่น ๆ บ้างก็เกิดมีความเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนา คิดจะเข้ามานับถือพระพุทธศาสนา โดย "ยังครองเพศเป็นคฤหัสถ์เช่นเดิม(ไม่ได้บวชเป็นพระสงฆ์) หรือ จะขอบวชก็ตาม  พระพุทธเจ้าทรงพิจารณาเห็นว่าควรจะให้คนเหล่านี้ได้อบรมตนให้เข้าใจในหลักพระพุทธศาสนาเสียก่อนเป็นเวลา ๔ เดือน จึงได้ทรงอนุญาตให้อยู่ประพฤติตน เรียกว่า “ติตถิยปริวาส” ไว้

คนที่ถูกกำหนดว่าเป็นเดียรถีย์ต้องอยู่ ติตถิยปริวาส ๔ เดือนนั้น ตามพระบาลีท่านกล่าวว่า ติตถิยปริวาสในพระบาลีนั้น พึงให้แก่อัญเดียรถีย์ชาตินิครนถ์เท่านั้น; ไม่ควรให้แก่ชนเหล่าอื่นฯ ซึ่งในข้อนี้พระอรรถกถาจารย์ท่านแก้ไว้ว่า ติตถิยปริวาสนี้ ควรให้แก่ อาชีวก หรือ อเจลกะผู้เป็นปริพาชกเปลือยเท่านั้นฯ


ความอีกตอนหนึ่งว่า ส่วนเดียรถีย์แม้คนอื่นใดไม่เคยบวชในพระศาสนานี้มา...ควรให้ปริวาส ๔ เดือนแก่เธอนั้น..ขึ้นชื่อว่า ติตถิยปริวาสนี้ ท่านกำหนดนามว่า อัปปฏิจฉันนปริวาสฯ (สมนต.๓/๕๓-๕๔)

ชนเหล่านี้เรียกว่าอาชีวก และ อเจลกะ ไว้ว่า อาชีวก ได้แก่ คนที่นุ่งผ้าสไบเฉียงข้างบนผืนเดียว ส่วนข้างล่างเปลือย อเจลกะ ได้แก่ คนที่เปลือยกายทั้งหมด

   คนสองประเภทนี้เท่านั้น คือ คนเปลือยครึ่งท่อนกับคนเปลือยทั้งส่วนที่เป็นดาบสชีปะขาวอื่นมี ปริพาชก เป็นต้น ที่ยังมีผ้าขนสัตว์หรือผ้าพันกายเป็นเครื่องหมายของลัทธิอยู่ ถือว่าได้รับสิทธิพิเศษไม่ต้องอยู่ปริวาสก่อน ๔ เดือน

อย่างเช่น อัครสาวกทั้ง ๒ ซึ่งเป็นปริพาชก ไม่ใช่เป็นชีเปลือยทั้ง ๒ ประเภทที่กล่าวข้างต้น และเคยอยู่กับปริพาชกมาก่อนก็ดี สีหเสนาบดีชาวเมืองเวสาลี ซึ่งเป็นศิษย์เอกของนิครนถ์นาฏบุตรพาวรีพราหมณ์ทั้ง ๑๖ คน ชานุสโสณีพราหมณ์ ติมพรุกขปริพาชก วัปปศากยสาวกนิครนถ์ สุลิมปริพาชก กาปทกมาณพ และโลกายติกพราหมณ์ก็ดี ท่านเหล่านี้ไม่ต้องอยู่ปริวาส ๔ เดือนเพราะท่านเหล่านี้ท่านเรียกว่า สันสกถติสัทธา ได่แก่ผู้ที่มุ่งหน้าเข้ามาหา มาถามปัญหาโดยมีศรัทธาเป็นประธาน ซึ่งก็ได้แก่ผู้ที่เป็นสาวกบารมีญาณแก่กล้าเต็มที่แล้วนั่นเอง

ในทางคัมภีร์ชั้นบาลีนั้น ผู้ที่ไม่ได้เป็นชีเปลือยก็เคยมีปรากฏว่าอยู่ติตถิยปริวาสมาบ้างแล้ว ในตอนที่พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตติตถิยปริวาส ๔ เดือน นี้ ได้แก่พวกเดียรถีย์(วินย.๔/๘๖/๑๐๑-๒) ท่านหมายเอาคนนอกศาสนาผู้มีความเห็นผิดเป็นนิยตมิจฉาทิฏฐิเข้าด้วย เช่นสภิยพราหมณ์ ผู้นึกดูหมิ่นพระพุทธเจ้า(สภิยสูตร ๒๕/๕๔๘) และ ปสุรปริพาชก ผู้ไปเข้ารีตเดียรถีย์ เป็นต้น

ผู้ไปเข้ารีตเดียรัจถีย์ คือ ผู้ที่นับถือศาสนาพุทธ แล้วไปนับถือศาสนาอื่น แล้วต่อมาจะกลับเข้ามานับถือพระพุทธศาสนาอีก.....(เมืองไทยตอนนี้เยอะ)

คนเหล่านี้ก็ยังมีเสื้อผ้าอยู่ และการอนุญาตติยถิยปริวาส ให้แก่ อเจลกกัสสปะ ชาวเมืองอุชุญญนคร  ซึ่งทั้งสามท่านที่ยกตัวอย่างมานี้ ภายหลังเลื่อมใสในพระพุทธศาสนามาก จึงขออยู่ปริวาสถึง ๔ ปี

พระพุทธองค์ท่านบัญญัติกฏปริวาสที่ใช้กับผู้นอกศาสนาไว้ก็เพราะทรงเล็งเห็นด้วยพระปัญญาวิสุทธิคุณว่า ในอนาคตจะมีผู้ต่างศาสนาอันประกอบด้วยมิจฉาทิษฐิ แฝงตัวปลอมเข้ามาศึกษาหลักธรรมคำสอน อาศัยพุทธศาสนาเป็นเครื่องทำมาหากินหรือ แอบอ้างสร้างสิ่งทำลายพระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์

  ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวก็ได้เกิดขึ้นจริง หลังพุทธปรินิพพาน ได้๖๐๐ปี มีเดียรรัจถีย์หนุ่มชาวรามัญนามว่า "ศังการพราหมณ์" ปลอมเข้ามาบวชในพระพุทธศาสนาที่วัดริมแม่น้ำสินธุ อุปฌายะมักง่าย แม้รู้อยู่ว่าเป็นเดียรัจถีย์ก็มิได้ให้อยู่ปฏิบัติในตติยถิยปริวาสตามพุทธบัญญัติ เปิดโอกาสให้ศังการพราหมณ์ศึกษา คัดลอก หลักธรรม. คำสอนรวมทั้งวิธีปฏิบัติทั้งปวง. แล้วหลบหนีไปยังแคว้นกลิงครัฐอันเป็นแหล่งอาศัยของกลุ่มชนเชื้อชาติรามัญทั้งปวง(ปัจจุบันเรียกว่าแคว้นยะใข่) ตั้งศาสนาใหม่ขึ้นชื่อว่า"ศาสนาฮินดู" แปลว่า "ผู้มาจากสินธุ"


ศังการพราหมณ์ ได้ ตั้งเทพเจ้าขึ้นมาเอง โดยลอกเลียนแบบพุทธศาสนพิธีไปทั้งหมด รวมทั้งกำหนดให้พระพุทธเจ้าเป็นปางอวตารของพระนารายณ์ ซึ่งต่อมาได้ทำลายพุทธศาสนา วิทยาลัยพุทธเช่นนาลันทา เข้ายึดครองพุทธสถานทั่วอินเดีย

แล้วเขียนประวัติศาสตร์ขึ้นใหม่ ว่าพุทธศาสนาถูกอิสลามทำลาย (ทั้งๆที่ความจริงกองทัพอิสลามมีทหารทั้งหมดแค่400คน แต่ชมพูทวีปกว้างใหญ่. ทหาร400ขี่ม้ารอบประเทศทั้งชาติจนแก่ตายก็ไปไม่รอบ) ทำให้และปัจจุบันศาสนาฮินดูได้ยึดครองประเทศอินเดียมากกว่า90% ของพลเมืองทั้งหมด แผ่ขยายไปทั่วโลก

นี่คือความผิดพลาดของอุปฌายะมักง่าย ที่ไม่ใส่ใจในพุทธบัญญัติ เปิดโอกาศให้เดียรัจถีย์ เข้าบวชในพระพุทธศาสนาโดยมิได้ผ่านตติยถิยปริวาสันอุกฤษก่อน แม้ในประเทศไทยยุครัตนโกสินทร์ก็เช่นกัน มีอุปปัชฌายะมักง่ายมากมาย ที่บวชให้ผู้นอกศาสนาเข้ามาศึกษาแนวทางพุทธ ปลุกปั้นให้เป็นนักเทศน์ สร้างกระแสให้คนนิยม

แล้วออกลาสิกขาออกไป เขียนตำราเกลื่อนกลืนหลักธรรมคำสอนของพระพุทธองค์จนฝั่นเฝือ ด้วยมิจฉาทิษฐิอันได้ตั้งไว้แต่ต้นมิได้เปลี่ยนแปลง สภาพของพระพุทธศาสนาในยุครัตนโกสินทร์ จึงเสื่อมโทรมทางด้านพระวินัย และการปฏิบัติ อย่างเห็นได้ชัดและพิสูจน์ได้ แทบหมดทางแก้ไขในปัจจุบัน


จากกรณีคำถามของผู้ต่างศาสนาที่ถามมาในLine ว่า "คนต่างศาสนา เมื่อมาปฏิบัติสติปัฏฐาน-ปฏิสัมภิทา ภาคอธิษฐานแล้วจะได้ผลหรือไม่ ?" คำตอบง่ายๆ ว่า คนต่างศาสนาที่ว่านั้น แต่เริ่มต้นมีความ "จริงใจ" แค่ไหน ? ในการเปล่งวาจา ถวายชีวิตเป็นพุทธบูชา ว่า

                 “อิมาหํ ภณฺเต ภควา อตฺภาวํ ตุมฺหากํ ปริจชามิ ฯ

  ข้าพเจ้าขอมอบกาย ถวายชีวิตและภพชาตินี้ เป็นพุทธบูชา ฯ


ผลสำเร็จในการอธิษฐาน อันจะเกิดขึ้น ได้ก็ต่อเมื่อ ผู้เปล่งออกมา ณ ขณะที่เกิดการสัมปยุตของ วาจา ใจ รวมเป็นหนึ่ง โดยอาศัย “กุศลธรรม นิมิต” ของคำภาวนา เพื่อเข้าถึงโอปกนศรัทธา ในพุทธานุภาพ นี้เรียกว่า "สัจจะ" นับเป็นขั้นแรกสุด


เพราะปรากฏพุทธพจน์ตรัสไว้ชัดเจนใน มหาวาร, สังยุตนิกาย ว่า

ผู้ใด มีความเลื่อมใสยิ่งในตถาคตเพียงหนึ่งเดียว เขาย่อมไม่สงสัย ลังเลในตถาคต หรือ ในคำสอนของตถาคต..

นั่นหมายถึง ใน "ใจ" ที่เปล่งวาจาออกมานั้น จะต้องมีเพียงพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นไม่มีอื่น เรียกว่า "ถึงพร้อมด้วยศรัทธายิ่งในพุทธานุภาพ=โอปกันนะศรัทธา

หากใน "ใจ" ของเขาละทิษฐิ "ทิ้งพระผู้เป็นเจ้า หรือ ศาสดาเดิม ที่เขานับถือ". ได้จริง อย่างที่เปล่งวาจา เขาก็สามารถอธิษฐานได้สำเร็จ เพราะพระพุทธศาสนาแสวงหา "สัจจะธรรม คือความจริงแท้อันไม่แปรเปลี่ยน".

ดังนั้น ผู้ที่จะปฏิบัติได้ จะต้องปลูกเมล็ด "ความจริงใจ" เป็นปฐมบท หากเขาไม่"จริงใจ". จะหวังอะไรกับความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ในชีวิต ที่เขาปรารถนา ย่อมไม่ปรากฏเป็นจริงโดยสิ้นเชิง ดุจดั่ง "เพาะเม็ดมะม่วง ย่อมไม่ออกผลเป็นมะละกอ(ทั้ง ๆที่เป็น มะ เหมือนกัน). ฉันนั้นฯ

จึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ข้อมูลหลักฐาน จากพุทธพจน์อันปรากฏในพระไตรปิฏก ที่ได้นำมาประกอบในคำตอบนี้ คงจะให้ความกระจ่าง. สำหรับผู้ตั้งคำถาม และสาธุชนผู้มีข้อข้องใจสงสัยได้ระดับหนึ่ง แม้จะไม่มากแต่ก็พอเป็นแนวทางใช้อ้างอิง สืบค้นได้ต่อไปภายหน้า




ขอความผาสุข สวัสดี มีโชคชัย ก้าวหน้าในการศึกษา-ปฏิบัติธรรม จงบังเกิดแก่สาธุชนผู้ปฏิบัติชอบทุกท่าน ทั่วกันเทอญ

เจริญพร














สารบัญทั้งหมดจะอยู่ทางด้านขวามือของหน้า (ทุกหน้า) เวอร์ชันสำหรับเว็บ

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS