ต่อไปนี้จะได้บรรยายธรรมหัวข้อเรื่อง
"มหานรก ขุมลึกที่สุด อยู่ที่ "ปทุมฯ"
ที่จริง คิดว่าจบไปแล้วเรื่องโลกหน้า คือเทวโลก(สวรรค์) และ พรหมโลก แต่เมื่อวานนี้ได้มีสมาชิกท่านหนึ่งมาสนทนาธรรม ได้ยกข้อวิสัชนาขึ้นมาว่า "หลวงพ่อทราบไหมว่า นรกอยู่ที่ไหน ? " เราฟังแล้วก็คิดว่าเขา ปุจฉามาเล่น ๆ เราก็ตอบไปว่า "นรกอยู่ในใจ" ใจเป็นใหญ่ ใจเป็นประธาน ขึ้นสวรรค์ ไปนิพพาน หรือลงนรก ก็ขึ้นอยู่ที่ "ใจ". เรานี่แหละ
เขาก็บอกว่า " ไม่ใช่หรอกหลวงพ่อ นรกน่ะอยู่ที่ปทุมฯ มีชื่อเรียกว่า "ปทุมนรก" !!!
ก็ด้วยวาทะที่สมาชิกได้สะกิดมา ทำให้ต้องไปค้นหา เพื่อพิสูจน์ทราบว่า ปทุมฯ เป็นนรกจริงหรือ ? และแล้วก็พบจนได้ปรากฏมีอยู่ในพระสุตันตปิฏก ขุทกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม๑ ภาค ๖ ที่พระพุทธองค์ทรงตรัสเทศนาให้ท้าวสหบดีพรหมฟัง เรื่อง "ปทุมนรก" จริง ๆ
ก็เลยนำข้อมูลมาเรียบเรียง ให้สาธุชน และสมาชิกทุกท่านได้ศึกษา เพื่อป้องกัน และรักษา "สติ" ไม่ให้อารมณ์พลั้งพลาด ไป ในทางอกุศลอันเป็นประตูต้นทางสู่อบายภูมิ มีปลายทางอยู่ที่ "ปทุม" ขุมที่เกิดจากกรรมแห่งมิษฉาทิษฐิ ดังนี้
สาเหตุอันทำให้สัตว์ทั้งหลายต้อง ไปจุติในนรกนั้น มีพระบาลี จารึกไว้ว่า
กายสฺส เภทา ปรมฺมรณา อปายํ ทุคฺคตึ วินิปาตํ อุปปชฺชติ
หลังจากแตกกายทำลายขันธ์แล้ว เขา(ผู้ทำอกุศลกรรม=ชั่ว) ย่อมเข้าถึงอบายทุคติ วินิบาต นรก
ในพระบาลีได้กล่าวอธิบาย โลกธาตุว่าประกอบด้วย ดวงจันทร์ (วัดโดยตรงโดยส่วนยาวส่วนกว้างและส่วนสูง) ๕๙ โยชน์ ดวงอาทิตย์ประมาณ ๕๐ โยชน์ ภพดาวดึงส์ประมาณหมื่นโยชน์ ภพอสูร อวีจิมหานรก และชมพูทวีปก็มีประมาณเท่านั้น อมร-โคยานทวีป ประมาณ ๗ พันโยชน์ ปุพพวิเทหทวีป ก็มีประมาณเท่านั้น
อุตรกุรุทวีป ประมาณ ๘ พันโยชน์ ก็แล ทวีปใหญ่ ๆ ในโลกธาตุนี้ แต่ละทวีป ๆ มีทวีปเล็ก ๆ เป็นบริวาร ทวีปละห้าร้อย ๆ จักรวาลหนึ่งแม้ทั้งหมดนั้น ชื่อว่าโลกธาตุหนึ่ง
ในระหว่างแห่งจักรวาลนั้น เป็นโลกันตริกนรก หรือ มหานรก มีลักษณะพื้นที่สี่เหลี่ยมจตุรัส มีประตูสี่ช่องซึ่งจำแนกนับออกโดยส่วน มีกำแพงเหล็กล้อมรอบ มีแผ่นเหล็กครอบไว้. มหานรกนั้นมีภาคพื้นสำเร็จด้วยเหล็ก มีเปลวไฟรุ่งโรจน์ ประกอบด้วยไฟร้อนแผ่ไปร้อยโยชน์โดยรอบตั้งอยู่ตลอดกาลทั้งปวง
มหานรกอันเป็นที่น่าสยดสยองเผาพลาญสัตว์ให้มีทุกข์ร้ายแรง มีเปลวไฟ แสนยากที่จะเข้าใกล้ น่าขนลุกขนพอง น่ากลัว ให้เกิดภัย ให้เกิดทุกข์. กองเปลวไฟตั้งขึ้นแต่ฝาด้านตะวันออกแล้ว แผดเผาเหล่าสัตว์ที่มีบาปกรรม ผ่านไปกระทบฝาด้านตะวันตก. กองเปลวไฟตั้งขึ้นแต่ฝาด้านตะวันตกแล้วแผดเผาเหล่าสัตว์ที่มีบาปกรรม ผ่านไปกระทบฝาด้านตะวันออก.
กองเปลวไฟตั้งขึ้นแต่ฝาด้านเหนือแล้ว แผดเผาเหล่าสัตว์ที่มีบาปกรรม ผ่านไปกระทบฝาด้านใต้. กองเปลวไฟตั้งขึ้นแต่ฝาด้านใต้แล้ว แผดเผาเหล่าสัตว์ที่มีบาปกรรม ผ่านไปกระทบฝาด้านเหนือ. กองเปลวไฟที่น่ากลัวตั้งขึ้นแต่ภาคพื้นข้างล่างแล้ว แผดเผาเหล่าสัตว์ที่มีบาปกรรม
ผ่านไปกระทบฝาปิดข้างบน. กองเปลวไฟที่น่ากลัวตั้งขึ้นแต่ฝาปิดข้างบนแล้วแผดเผาเหล่าสัตว์ที่มีบาปกรรม ผ่านไปกระทบภาคพื้นข้างล่าง. แผ่นเหล็กที่ไฟติดทั่วร้อนอยู่เสมอ มีไฟลุกรุ่งโรจน์ ฉันใด อเวจีนรกข้างล่างข้างบน และโดยรอบ ก็ฉันนั้น
สัตว์ทั้งหลายในนรกนั้น มีกรรมหยาบมาก ทำกรรมร้ายแรงมาก มีบาปกรรมโดยส่วนเดียว ย่อมหมกไหม้อยู่ แต่ไม่ตาย. ร่างกายของเหล่าสัตว์ที่อยู่ในนรกนั้น เหมือนไฟที่ลุกอยู่ เหล่าสัตว์วิ่งไปข้างตะวันออกแล้วก็วิ่งย้อนกลับมาข้างตะวันตก วิ่งไปข้างเหนือแล้วก็วิ่งย้อนกลับมาข้างใต้. วิ่งไปทิศใดๆ ประตูทิศนั้นๆ ก็ปิดเอง
สัตว์เหล่านั้นมีความหวังเพื่อจะออกเป็นผู้แสวงหาประตูที่จะออก. สัตว์เหล่านั้นไม่ได้เพื่อจะออกไปจากนรกนั้น เพราะบาปกรรมเป็นปัจจัยเพราะบาปกรรมที่สัตว์เหล่านั้นทำไว้มาก ยังมิได้ให้ผลหมดสิ้น ดังนี้.
ทุกข์และโทมนัสนั้นเป็นภัยของสัตว์นั้นเกิดแต่อะไร?
ภัยนั้นเกิดเกิดพร้อม บังเกิด บังเกิดเฉพาะ ปรากฏแต่อาชญาของตน. ทุกข์ที่มีในนรกก็ดี ทุกข์ที่มีในกำเนิดสัตว์ดิรัจฉานก็ดี ทุกข์ที่มีในเปรตวิสัยก็ดีทุกข์ที่มีในมนุษย์ก็ดี ทุกข์เหล่านั้นเกิด เกิดพร้อม บังเกิด บังเกิดเฉพาะ ปรากฏแต่อะไรๆ ทุกข์เหล่านั้นเกิด เกิดพร้อม บังเกิด บังเกิดเฉพาะ ปรากฏแต่อาชญาของตน เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่าภัยเกิดแต่อาชญาของตน.(อาชญา ๓ อย่าง กายทุจริต,วจีทุจริต ,มโนทุจริต)
ผู้ที่จะตกลงไปในอเวจีมหันตนรก บุคคลผู้มีทิฐิวิบัติ เป็นไฉน
ทิฐิวิบัติ ในข้อนั้นเป็นไฉน ทิฐิ ความเห็นไปว่า ทานที่ให้ไม่มีผลการบูชาใหญ่ [คือมหาทานที่ทั่วไปแก่คนทั้งปวง] ไม่มีผล สักการะที่บุคคลทำเพื่อแขก ไม่มีผล ผลวิบากแห่งกรรมที่ทำดีทำชั่วไม่มี โลกนี้ไม่มี โลกหน้าไม่มี มารดาไม่มี บิดาไม่มี สัตว์อุปปาติกะไม่มี สมณพราหมณ์ผู้พร้อมเพรียงกัน ผู้ประพฤติดีปฏิบัติชอบ ที่รู้ยิ่งแล้วซึ่งโลกนี้และโลกหน้าด้วยตนเอง แล้วประกาศทำให้แจ้งในโลกนี้ไม่มี กล่าวตู่พุทธพจน์บิดเบือนพระธรรมวินัย อันพระบรมศาสดาตรัสไว้ดีแล้ว ดังนี้
มีอย่างนี้เป็นรูปอันใด ทิฐิ ความเห็นไปข้างทิฐิ ป่าชัฏคือทิฐิ กันดารคือทิฐิ ความเห็นเป็นข้าศึก ความเห็นผันผวนสัญโญชน์คือทิฐิ
ความยึดถือ ความเกี่ยวเกาะ ความยึดมั่น การยึดถือความปฏิบัติผิด มรรคาผิด ทางผิด ภาวะที่เป็นผิด ลัทธิเป็นแดนเสื่อม ความยึดถือ การแสวงหาผิด อันใด มีลักษณะอย่างนี้ นี้เรียกว่า ทิฐิวิบัติ มิจฉาทิฐิ แม้ทั้งหมด เป็นทิฐิวิบัติ บุคคลประกอบด้วยทิฐิวิบัตินี้ ชื่อว่าผู้มีทิฐิวิบัติ
ผู้ที่มีทิษฐิวิบัติเหล่านี้ ย่อมต้องไปรับผลกรรมทิษฐิวิบัติของตนในมหานรก อันมีขุมลึกที่สุดเรียกว่า "ปทุมนรก" ซึ่งอยู่ลึกต่ำลงไปกว่าชั้นอเวจีมหันตนรก ทนทุกข์ทรมานด้วยระยะเวลาที่ยาวนาน จนแทบจะประมาณมิได้ (เมื่อเทียบเคียงพฤติกรรมกับข้อวิสัชนาของสมาชิกที่ว่า "นรก อยู่ที่ ปทุมฯ เห็นด้วยเต็มร้อย จริง ๆ เพราะที่ ปทุมฯ เป็นมิจฉาทิษฐิโดยแท้.... ต้องเจริญพรขอบคุณ ในวาทะวิสัชนาของสมาชิกท่านนี้เป็นอย่างยิ่ง)
เปรียบเทียบเวลาของปทุมนรก กับ มนุษย์โลก ดังมีในพระไตรปิฏกดังนี้
เมล็ด งา 1 เกวียน มีอัตรา 20 ชารี 1ชารี เท่ากับ 256 ทะนาน
เมื่อล่วงไป 1 แสนปี เอาเมล็ดงาออกจากเกวียน 1 เมล็ดทำจนหมดจากเกวียน ก็ยังไม่ถึง 1 อัพพุทะในนรกเลย. การเปรียบเทียบ 1 อัพพุทะ เมื่อเทียบกับตามมาตราปัจจุบันโดยประมาณ จะได้ดังนี้
1 ทะนาน เท่ากับ 1 ลิตร
1 ลิตร เท่ากับ 1000 ลูกบาศเชนติเมตร
เมล็ดงา 1 เมล็ด ประมาณ 1 มิลิเมตร ดังนั้น 1 เชนติเมตร เอาเมล็ดงาเรียงกันได้ 10 เมล็ด
จะได้ 1 ลูกบาศเชนติเมตร จะมีจำนวน เมล็ดงา ประมาณ 10 X10 X 10 = 1000 เมล็ด
จะได้ 1 ลิตรมีเมล็ดงาประมาณ 1000X1000 ประมาณ 1,000,000 เมล็ด
จะได้ 1 ทะนานจะมีเมล็ดงาประมาณ 1,000,000 เมล็ด
จะได้ 1 ชารีมีเมล็ดงาประมาน 256 X 1,000,000 ประมาณ 256,000,000 เมล็ด
จะได้ 1 เกวียนจะมีเมล็ดงาประมาณ 20 X 256,000,000 ประมาณ 5,120,000,000 เมล็ด
จะได้เวลาทั้งหมดเมื่อหยิบเมล็ดงาออกหมดเกวียน ประมาณ 100,000 X 5120,000,000 ปี
ประมาณ 512,000,000,000,000 ปี
ซึ่งยังไม่ถึง 1 อัพพุทะแต่ก็ประมาณ 512,000,000,000,000 ปีหรือ 5.12 X 10**14 จึงเอาไปแทนค่าตามข้างล่าง
20 อัพพุทะ เป็น 1 นิรัพพุทะ 20**1 X 5.12 X 10**14
20 นิรัพพุทะเป็น 1 อพัพพะ 20**2 X 5.12 X 10**14
20 อพัพพะเป็น 1 อหหะ 20**3 X 5.12 X 10**14
20 อหหะเป็น 1 อฏฏะ 20**4 X 5.12 X 10**14
20 อฏฏะเป็น 1 กุมุทะ 20**5 X 5.12 X 10**14
20 กุมุทะเป็น 1 โสคันธิกะ 20**6 X 5.12 X 10**14
20 โสคันธิกะเป็น 1 อุปปละ 20**7 X 5.12 X 10**14
20 อุปปละเป็น 1 ปุณฑริกะ 20**8 X 5.12 X 10**14
20 ปุณฑริกะเป็น 1 ปทุมะ 20**9 X 5.12 X 10**14
และ 20**9 = 512,000,000,000 = 5.12 X 10**11
ดังนั้น 1 ปีปทุมนรก ประมาณ 5.12 X 10**11 X 5.12 X 10**14 ประมาณ 26.2144 X10**25
ประมาณ 2.62 X 10**26 หรือ 1 ปทุมนรก ประมาณ 262,144,000,000,000,000,000,000,000 ปีมนุษย์(....เป็นไงเครื่องคิดเลขควันขึ้นเลย ... แล้วคนสมัยบรรพกาลเค้าใช้อะไรคำนวณเลขจำนวนมาก ๆ เหล่านี้...แสดงให้เห็นถึงระดับความรู้คนยุคนั้นด้านการคำนวณ)
ดังที่คำนวณมาแล้วจะเห็นว่า ปทุมนรก มีเวลายาวนานมาก ดังนั้นในตำราของพระพุทธศาสนาจึงกล่าวแบบเป็นที่ให้เข้าใจง่ายว่า ผู้ที่ตกนรกอเวจีต้องทรมานอยู่ชั่วกัปชั่วกัลป์
แต่สำหรับผู้ที่ปฏิบัติตาม พุทธวิถี มนสิการอาปานัสสติปัฏฐาน-ปฏิสัมภิทามรรค แม้ได้เพียรฝีกฝนปฏิบัติได้แค่ อุคหโกศล คือ "วจสา" =วจีสังขาร(ปาก)+มโนสังขาร(ใจ) ถวายชีวิตด้วยสัจจวาจา ในพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หนึ่งเดียว อย่างไม่ลังเลสงสัย ย่อมปิดเสียซึ่งประตูนรก มีพรหมโลก และนิพพานเป็นที่หวังได้
แม้ในชาติปัจจุบัน ก็ย่อมประสบพบแต่สิ่งอันเป็นมงคล ด้วยว่าปวงเทพยดาผู้ดูแลรักษพระพุทธศาสนา(อารักขเทวตา) จะคอยดูแล กำจัดอุปสรรค เสริมส่วนที่ขาด ให้ชีวิตประสบแต่ความสุขสมบูรณ์ไร้ทุกข์กังวล ซึ่งจะทำให้มีเวลาที่จะปฏิบัติธรรมในสติปัฏฐาน-ปฏิสัมภิทามรรคยิ่ง ๆ ขึ้นไปปวงเทพยดาทั้งหลาย ก็มีส่วนได้ในกุศลจากอนุโมทนาบุญ
ขอความผาสุขสวัสดี ก้าวหน้าในการปฏิบัติ เจริญวัฒนา ประสบสิ่งอันเป็นมงคล สมดั่งปราถนาจงทักประการ ทุกท่านเทอญ เจริญพร
สารบัญทั้งหมดจะอยู่ทางด้านขวามือของหน้า (ทุกหน้า) เวอร์ชันสำหรับเว็บ