Pages - Menu

วันจันทร์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

เจาะรหัส (คำสอนพระอาจารย์ (คำต่อคำ) 25 ต.ค. 2552)




เจาะรหัส...สนทนาธรรม คำต่อคำกับพระอาจารย์ วันที่ 25 ตุลาคม 2552

คำถาม: ท่านอาจารย์บอกว่า

การทำสมาธิคือการ
Format Diskการตั้งลม คือการ Defragmentการเลื่อน คือการ Optimizationแสดงว่าเราต้องเลื่อนทุกครั้งใช่หรือไม่

คำตอบ: ทั้งนี้ก็เพื่อให้เกิดพลังหรือความรวดเร็วในผลของการอธิษฐาน ทางพุทธศาสนาเรียกว่า " สมาธิพละ " หรือ " กำลังแห่งสมาธิ " ใช้ได้หลายเรื่อง

ตัวเราก็เหมือนกับ Hard Disk เมื่อใช้งานไปเรื่อยๆก็จะมีการบันทึกและลบข้อมูล Disk จะเก็บไวรัสและขยะไว้ พวกคำอิจฉาหรือเรื่องไม่ดี เก็บไว้ในใจ=เรื่องคนอื่นจำแม่นนัก=เอาไว้จิก (พวกนี้ต้อง Format ทิ้งไป) ทำให้พื้นที่ว่างใน memory ไม่เป็นระเบียบ สะเปะสะปะ ทำให้การประมวลผลช้า ขยะและไวรัสจะมารบกวนคำอธิษฐาน ทำให้ใจวอกแว่ก สับสน พระพุทธองค์จึงทรงให้ พุทธบริษัททำสมาธิ จึงจะเกิดปัญญา ผู้ที่จะทำสมาธิได้คือ ต้องมีศีล(สัจจะ) เมื่อ Format ทิ้งแล้ว พื้นที่ใน memory ของเราก็ยังไม่เป็นระเบียบ ต้องทำการ Defragment เพื่อจัดระเบียบให้กับพื้นที่ว่างคือการจัดความเร็วของการสร้าง นั่นคือ สามารถระลึกตัว นะ หรือ โม ได้เร็ว ก่อนที่ลมหายใจจะออก เพราะใหม่ๆจะมีช่วงลมหายใจสั้น ตั้งไม่ได้นาน ก็เลยไม่ค่อยได้ตามต้องการตามเวลาที่กำหนด เมื่อจัดระเบียบระบบของ memoryเรียบร้อยแล้ว ก็จะต้องจัดการทำให้เครื่องหรือระบบทำงานอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดคือการทำ Optimization (ความคิดมันสับสน ต้อง Format และเมื่อจัดระเบียบความคิดแล้ว ก็ต้องเร่งความเร็ว = optimization คือการตั้งลม



คำถาม: แล้วเราล้างออกให้หมดไม่ได้หรือคะ


คำตอบ: ล้างออกได้ พวกที่ไม่จำเป็น เช่นเรื่องกลุ้มใจที่ทำงาน เรื่องขั้น เรื่องยศ เรื่องหนี้สิน มันเรื่องเด็กเด็ก ไม่เห็นต้องเก็บมาจำ แต่เรากลับจำได้ และลืมยากเสียด้วย

ลืมยาก=ฝังอยู่ใน Hard Disk = ส่วนความจำ


คำถาม: การตั้งลมหาใจ จำป็นหรือไม่ที่ต้องทำหลายๆครั้งคะ หมายถึงในช่วงที่ทำสมาธิค่ะ 


คำตอบ : ต้องทำทุกครั้งที่หายใจนะ ต้องฝึก ใหม่ๆต้องทำ พอทำเป็นแล้วมันเป็นอัตโนมัติเอง เหมือนเข้าเกียร์รถนั่นแหละ ใหม่ๆก็ งง พอขับชำนาญ แซงปาดหน้าเฉยเลย จุดประสงค์ของการทำสมาธิ อยู่ที่ตัวใน = คนขับ แต่เราต้องประคองพวงมาลัย = ควบคุมความคิด

คำถาม : การทำสมาธิคือการตั้งลมให้ได้นานที่สุดใช่ไหมคะ


คำตอบ : ทั้งใช่และไม่ใช่ ใช่คือ ต้องได้สมาธิคือเสียงนอกเสียงในเป็นหนึ่งเดียวและมาจุดที่ใจตั้งอยู่นั่นก่อน ไม่ใช่คือ เอาแต่ว่าไปตั้งไว้ ยังไม่รวมกัน ตั้งเฉยๆ ก็ได้ผลช้า คือเสียงปากกับเสียงใจเป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว=ฝึกดีแล้ว จึงเข้าสู่ขั้นที่ 2 คือเอาลมหาใจ หาว่าใจตั้งอยู่ที่ไหนแล้วให้เสียงออกมาจากตรงนั้น จากนั้นจึงเลื่อน นิยมะ ไปตามตำแหน่งที่ต้องการจะให้เป็น หากต้องการให้เป็นอะไร ถ้าเป็นวัตถุจับต้องได้ ก็เอาไว้จุด
1

คำถาม : แล้วอธิษฐานได้ด้วยทุกครั้งที่ทำใช่ไหมคะ


คำตอบ : .ใช่ อธิษฐานทุกครั้ง แม้ว่าจะได้มั่งไม่ได้มั่ง ก็เหมือนหัดขับ ไม่ใช่กลัวจนไม่กล้าเข้าเกียร์ ลากเกียร์ 2 ตลอด มันถึงเหมือนกัน แต่ไม่รู้กี่ปี เมื่อชำนาญแล้ว จะรู้ว่า ความเป็นจริงของชีวิตมีอะไรที่เรายังไม่รู้อีกมากมาย

มาดูชั้นเรียนกันว่าเราอยู่ชั้นไหนกันบ้างแล้ว
:อนุบาล คือ การทำให้เสียงพร้อมกันนอกและใน
ชั้นประถม คือ นำลมไปตั้งไว้ที่ฐานแรก

ชั้นมัธยม คือ เลื่อนไปถึง นิยมะที่
5ชั้นอุดมศึกษา คือ ตั้งลมได้นานตามต้องการ
ชั้นปริญญาโท คือ รู้ทุกเรื่องที่อยากรู้

ชั้น PhD คือ ได้ทุกอย่างที่อยากได้ ตามเวลาต้องการ

พระพุทธศาสนาไม่กลัวสิ่งแปลกปลอมเพราะเมื่อกายวาจาใจถึงพร้อมแล้ว จะเข้าสู่มิติของครูบาอาจารย์ ที่รอพวกเราอยู่แล้ว พร้อมแล้วที่จะสอน ทางพุทธเรียกว่า เรือนว่าง โคนไม้ พระโมคคัลลานะ พระสารีบุตร ท่านจบ PhD (เทียบกับปัจจุบัน) ยังต้องวางไว้ แล้วฝึก กาย วาจา ใจ จึงเข้าถึงโลกุตร เป็น ศจ.



คำถาม : แล้วเวลาเราอยากจะรู้เรื่องอะไร รู้ว่ามีหนังสือเล่มนี้อยู่ ตอนแรกหาไม่เจอ พอเราคิดถงมันมากมาก เหมือนส่งสัญญาณไปเรื่อยๆ ไม่นานก็พบมันคือระดับไหนแล้วคะ


คำตอบ : ระดับประถม เพราะไม่ได้ในทันที เหมือนเร่งรถไม่ขึ้น ถ้าระดับมัธยม จะได้ดั่งใจแต่ต้องรอนิด อุดมศึกษา จะได้ตามเวลากำหนด



คำถาม : เห็นจุดหมายแล้ว รู้ว่าจะไปอย่างไร ทางไหน แต่รถสตาร์ทไม่ติดค่ะ


คำตอบ : แสดงว่าจัดเวลาในการปฏิบัติไม่ถูกหรือคิดว่าการปฏิบัติต้องใช้เวลา ความจริงแล้ว ทำได้ทุกเวลาที่หายใจและพูด คือ หายใจเข้าออกทุกขณะที่นึกได้ก็ทำ ตั้งลมเคลื่อนไปอย่างนี้แหละ รวมทั้งเวลาพูดคุยและอ่านหนังสือให้ออกเสียงจากข้างในให้พร้อมกัน



คำถาม : เวลาทำ จะคิดเสมอว่าเราทำถูกวิธีหรือยัง จะกังวลว่าไม่ถูกตลอด


คำตอบ : ไม่ต้องกลัวว่าถูกหรือผิด มันอยู่ที่เราทำหรือยัง เสียงนอกในพร้อมหรือยัง อย่าโกหกตัวเอง มีสัจจะกับตัวเอง อันนี้สำคัญมากว่าเราได้ยินเสียงภายในหรือยัง หากได้ยิน เราก็จะได้ยินเสียงโอปปาติกะ =เทวดา ซึ่งอยู่ในสภาพเดียวกันกับภายใน ไม่ใช่เสียงผี ปีศาจ ไม่ต้องกลัว ผีจะไม่เข้ามาส่งเสียง เนื่องจากเรามีศีล มีนะโม ได้รับการคุ้มครองจากอารักขเทวดา เมื่อได้ยินเสียงจากภายใน เราก็จะถามได้ เขาก็จะตอบเรา สอนเรา นี่หมายถึงขั้นประถมก็ได้แล้วนะ ถ้าขั้นมัธยม คุยกันเหมือนโทรศัพท์(ตอนยังไม่ได้บวชใช้ทำธุรกิจเลยในส่วนนี้)



คำถาม : เรื่องของสัมผัสที่6 มีไหมคะที่เกิดติดตัวมาโดยไม่ต้องฝึก


คำตอบ : มี แต่ไม่สามารถทำเองได้ ยังไงก็ต้องฝึก แต่จะได้เร็วกว่าคนทั่วไปนะ พุทธองค์ตอนเป็นเด็กก็มีอาจารย์มาฝึกให้นะก่อนบวช เรียกว่า บุพเพกตบุญญตา บุญในชาติก่อน เป็นสัญญาหรือส่วนที่เก็บไว้ใน DNA พวกเราคนไทยทำได้ง่าย เพราะบรรพบุรุษเราทำสมาธิทุกคน เลยถ่ายทอดทางพันธุกรรม



คำถาม : ตอนนี้ยังไม่ได้ยินเสียงของตัวข้างใน จะมีวิธีตรวจสอบได้อย่างไร หลักกิโลเมตรจะสังเกตุได้จากตรงไหนครับ


คำตอบ : ให้สังเกตุเสียงว่าตอนเราเปล่งเสียงกับการอ่านหนังสือในใจ เป็นเสียงเดียวกันหรือยัง อันนี้สำหรับจำเสียงตัวในของเราเองว่าเสียงเป็นอย่างไร จากนั้น เมื่อจำเสียงตัวในได้แล้วเราก็จะสามารถเปรียบเทียบกับเสียงครูบาอาจารย์ที่แทรกเข้ามาสอน ซึ่งธรรมดาก็เกิดเองโดยธรรมชาติ ที่เรียกว่า หูแว่ว แต่ควบคุมกันไม่ได้ ให้เกิดตามต้องการไม่ได้ เมื่อแยกได้แล้วก็จะเกิดปรากฎการณ์ที่โบราณเรียกว่า พรายกระซิบ อะไรทำนองนั้น แต่เราเป็นผู้ที่ควบคุม ไม่ใช่นึกเอาเอง อย่างนั้นใช้ไม่ได้ ดังนั้นเสียงที่เกิดจะไม่ใช่ความคิด เพราะความคิด=จิต สิ่งที่เราทำอยู่เหนือระดับความคิดและความจำ นั่นคือ ของจริงไม่ต้องจำ ของที่ต้องจำของไม่จริง จะมีทฤษฐีข้อแย้งไปตามเวลา แต่ของจริง ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไร ก็ไม่ต้องแก้ไข เพราะมันจริง ข้อมูลที่ได้รับมาจะไม่มีผิดเพี้ยน แม้สิ่งนั้นจะถูกฝังอยู่ใต้ดินนับพันๆปี ก็รู้ได้ ตัวอย่าง เรื่องการขุดค้นสุวรรณโคมคำ เริ่มมาจากเราก่อน ที่นำเสนอออกสาธารณะ ประเทศลาวได้รับไปทาง WEB ตอนนี้เป็นมรดกโลกไปแล้ว นี่คือตัวอย่าง



คำถาม : เวลาเราโต้ตอบกับเสียงนั้น จะเหมือนกับเราพูดกับตัวเอง ใช่ไหมคะ


คำตอบ : ใช่ เป็นขั้นประถมนะ ได้ยินแต่เสียง แต่ขั้นมัธยมจะสามารถนั่งพูดคุยได้ ชั้นประถมจะเป็นลักษณะคำตอบเมื่อเราติดขัด แต่มัธยมจะเป็นลักษณะโต้ตอบ แต่ไม่เห็นตัว เหมือนโทรศัพท์



คำถาม : มีคนถามว่า ถ้าเราฝึกวิธีนี้ จะทำให้เค้าบ้าได้ไม๊ จะตอบเค้าว่าอย่างไรคะ


คำตอบ : บ้าน่ะเพราะคนนั้นคิดไปเอง ไม่ได้ทำ พระพุทธองค์ไม่ได้สอนให้คนบ้า แต่สอนให้เรียนรู้จากตัวเอง ไม่ให้เชื่อครู ไม่ให้เชื่อตำรา นี่สิของจริง

บ้า เรียกว่า วิกลจริต คือ คิดฟุ้งซ่าน คิด=จิต ...............................แต่เราฝึก " ใจ "