เสาร์ ที่ 24 ตุลาคม 2552
วันนี้จะเล่าเรื่องความลับของการอธิษฐาน = Realityในกรณีที่ทำไมบางคนอธิษฐานได้ บางคนก็อธิษฐานไม่ได้ เราสามารถแทนคำของคำของคำว่าอธิษฐานกับสมการปัจจุบันได้อย่างไร
อธิษฐาน ความจริงแล้วก็คือ การตั้ง Keywordในการค้นหาสิ่งที่ต้องการ เหมือนเราค้นใน Google ดังนั้น การพิมพ์ผิดนิดเดียวก็จะค้นเอาคำที่ผิดมาให้ การทำงานของร่างกายมนุษย์ก็เป็นชนิดเดียวกัน เพราะเครื่องคอม เลียนแบบจากการทำงานของมนุษย์ แต่ยังไม่ได้1 ใน10ล้านส่วน ยังไม่มี Mainframe ไหนในโลกที่สามารถทำได้ แม้จะพยายามแล้วก็ตาม ฉนั้น เราจึงควรที่จะสนใจที่จะหาวิธีปฏิบัติเพื่อควบคุมสิ่งที่เหนือชั้นกว่า Tech ไม่ดีกว่าเหรอ
พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาเดียวที่เข้าถึงความลับนี้
การค้นข้อมูลของสมองก็ต่างกับการค้นของใจ หรือ มโน ใครสงสัยไหมว่าต่างกันอย่างไร การตั้งภาพอยู่ในใจก็คือ การตั้งคำที่จะพิมพ์ลงไปใน Google ก่อนนั่นแหละว่าจะหาอะไร ไม่ใช่ว่าพิมพ์ไปเรื่อย ฟหกด อย่างนี้ 1000ปี ก็ไม่เจออะไร และก่อนที่เราอธิษฐาน เราต้องรู้ก่อนแล้วว่าต้องการอะไร นั่นหมายถึง ภาพสิ่งที่ต้องการมันมีชัดเจนและรู้ว่าคืออะไร ไม่ใช่อธิษฐานอยากเลี้ยงไดโนเสาร์ ตัวเองยังไม่เคยเห็น แล้วมันจะได้มะเนี่ยะ
การนำภาพสิ่งที่ต้องการมาอธิษฐานเป็นสิ่งสำคัญ เหมือนที่เคยบอกเรื่องซื้อแหวน ซื้อเสื้อ มันสวยเพระาเราเห็นภาพว่าสวย คงเข้าใจนะ
ความลับของการอธิษฐาน อยู่ที่ว่า เมื่อตั้งภาพไว้ได้แล้วและสิ่งนั้นเกิดขึ้นมา แต่มีหลายอย่างให้เลือก นี่ซิจะเลือกอันไหนดี ทีละอย่าง ทีละคำสิ เหมือนค้น Google เอาทีละเรื่อง ไม่ใช่ นึกไปเรื่อย ก็เสียเวลาเปล่า
เรื่องต่อไป
มโนวิญญาณ คือ สภาพสิ่งมีชีวิตในลักษณะที่4 เป็นอานุภาค ภาษาพระเรียกว่า โอปะปาติกะ อยู่ในชั้นเดียวกับเทวดา (ผี เป็นสัมภเวสี)
มโนวิญญาณ เป็นการรับรู้ทางใจ มี 2 พฤติ คือ
มโนวิญญาณที่เป็นไปในปัญจทวาร คือการรับรู้อารมณ์ทั้ง 4 นี้ลักษณะหนึ่ง และมโนวิญญาณที่รับรู้อารมณ์นอกเหนือไปจากปัญจทวาร(ทวารทั้ง 5) ที่เราเรียกว่า สำผัสที่6 (Six Sense) ก็คือมโนส่วนนี้ ที่สามารถทะลุมิติได้ไร้ขีดจำกัด(คือที่เราฝึกกันนี่แหละ) การที่จะรับรู้ มโนวิญญาณที่2 นี้ จึงมีวิธีการฝึกเฉพาะในพระพุทธศาสนา อย่างที่พวกเราได้เรียนกันมา ขึ้นอยู่กับว่าใครทำมากกว่าใคร แต่ทำไม่ได้เป็นไม่มี มีแต่ไม่ได้ทำ
มโนวิญญาณที่เข้าสู่ระดับใช้งานเรียกว่าอาลยวิชญาณ ล่วงรู้สภาวะทุกมิติได้
สัมผัสที่6 มีทั้งเสียงและภาพ เหมือนวิทยุ โทรทัศน์ แล้วแต่ว่าฝึกได้ขนาดไหน ขั้นต้นๆก็ได้แต่ฟังหรือรับรู้ฝ่ายเดียว โต้ตอบไม่ได้ แต่ฝึกไปก็จะคุยได้ สัมผัสได้ เหมือนโทรศัพท์หากัน ในที่สุดก็พบตัวจริง ยังไงก็ยังงั้น(แต่บางคนยังใช้มือถือไม่เป็นเล้ย)
การสัมผัสรับรู้กับมโนวิญญาณ ซึ่งเราทั้งหลายได้ฝึกออกเสียงให้พร้อมกับปาก ก็เพื่อให้แยกให้รู้ว่า เสียงเรา (เสียงในตัวเรา) หรือ เสียงจากคนอื่น ต้องแยกให้ออก=บางคนยังไม่ได้ยินอะไรเลยแม้แต่เสียงตัวใน ก็เพราะฝึกเสียงยังไม่ได้ วาจา กับ ใจ ยังไม่พร้อม
ความจริงก็คือการส่งรหัสออกไปโดยมโนวิญญาณ ซึ่งเป็นอานุภาคที่เล็กและเร็วกว่าแสงหลายแสนล้านเท่า ดังที่ อธิบายไปแล้ว
ความคิดเป็นคลื่นชนิดหนึ่ง แต่มีความแคบกว่าคลื่นของมโนวิญญาณ ดังนั้น การใช้มโน หรือใจ เป็นตัวกำหนด จึงได้ผล เพราะผ่านสนามเวลาได้
เมื่อเราทำอะไรบ่อยๆซ้ำซาก เราจะกลายเป็นสิ่งนั้นไป เหมือนเราตั้งใจประทับใจใน Hero เราก็จะมีนิสัยเป็นงั้นไปเลย นี่คือการ "จัดให้" โดยเราไม่รู้และควบคุมไม่ได้ ดังนั้นเราจึงต้องมาฝึกควบคุมมโนใจให้ได้ อย่าปล่อยให้เป็นกากมะพร้าวลอยน้ำ
การใช้ตัวมโนวิญญาณหรือใจ ออกไปค้นสิ่งประสงค์ ซึ่งอาจจะเป็นอีก100ปีข้างหน้า เช่นว่าต้องการรวย จริงอยู่ความรวยนั้นรอเราข้างหน้าอีก100ปี แต่มโนหรือใจ ก็จะจัดมาให้ทันที คือถ้าปล่อยตามเวรตามกรรม มันก็ไม่มีวันพบสิ่งที่เราต้องการได้ในชาตินี้ จึงต้องใช้การอธิษฐาน หรือมโนวิญญาณนี่แหละเป็นเครื่องช่วยหลัก เหมือนเราค้น Google ถ้าค้นเอง 1000ปีก็คงหาไม่ได้ครบ นี่คือความมหัศจรรย์ของวิธีปฏิบัติของพระพุทธศาสนา
มโนวิญญาณคือสิ่งมีชีวิตที่อาศัยร่างเราอยู่ เรียกตามภาษาพระว่า ชีวิต อ่านว่า ชี วิ ตะ คำเต็มว่า ชีวิตะรูป เกิดขึ้นโดยอำนาจกรรม เรียกรวมว่า กมฺมชรูป อ่านว่า กัมมะชะรูป
เรื่องเหล่านี้ ใครที่ทำกาย วาจา ใจ ให้ตรงกันได้ ก็สามารถเรียนรู้ได้เอง ไม่ต้องอ่าน เพราะครูบาอาจารย์ ของแต่ละคนรออยู่แล้ว ศาสนาพุทธจึงไม่กลัวของปลอมไง
เรื่องต่อไป
ดิน น้ำ ลม ไฟ เป็นสิ่งสมมุติ ร้อน เย็น อ่อน แข็ง เป็นด้วยการสัมผัส มันร้อนก็สมมุติให้เย็นก็ได้ เป็นน้ำก็นึกว่าเป็นบนบกก็ได้ เป็นดินก็สมมุติให้เป็นน้ำมุดเล่นซะก็ได้ เป็นเรื่องสมมุติ เราเห็นเอง เป็นเรื่องจักขุวิญญาณ ต้องการให้ใครเห็นอย่างไร ก็สร้างกระแสคลื่นให้ตามจักขุวิญญาณจะสื่อได้ เรื่องนี้เป็นเรื่องสนุกและอธิบายตามหลักฟิสิกส์ได้ง่าย มนุษย์จะรับรู้จากจักขุวิญญาณโดยการ สะท้อนกลับของแสงที่พื้นผิวนั้นๆ
(อาการปิติ คือ อาการที่มโนวิญญาณกำลังจะเคลื่อนตัวเป็นอิสระจากกาย หรือ ตื่นขึ้น อย่างที่กล่าวว่า พุทธ คือ ผู้ตื่น)
(จิต แปลว่า คิด โดยมากจะใช้กันผิด จิต =ธรรมชาติใดคิด ธรรมชาตินั้นเรียกว่า จิต
ธรรมชาติใดระลึก โดยมีนิมิตเป็นที่ตั้ง ธรรมชาตินั้นเรียกว่า สติ)
(ความคิด สร้างภาพไม่ได้ คิด = Text นึก = ภาพ ระลึก = Text+ภาพ+อารมณ์)ปรากฏมีพุทธพจน์ยืนยันเรื่องใจไว้ชัดเจน ในพระไตรปิฏกว่า
" มโน บุพพํ คมาธมฺมา มโน เสฏฐา มโนมายา " สิ่งทั้งหลายย่อมสำเร็จได้ด้วยใจ