ศุกร์ ที่ 23 ตุลาคม 2552
นิมิต คือ สิ่งที่เกิดขึ้นในขณะที่ทำสมาธิ แบ่งออกเป็น 2 อย่างคือ
1. นิมิต ที่นึกขึ้นมาเอง หรือ ติดค้างความคิด เป็นภาพความทรงจำ ทางปฏิบัติเรียกว่า วิปัสนู
2. นิมิตที่เป็นเครื่องหมาย ที่เกิดจากใจเข้าสู่สภาวะสงบ อันนี้จะมีอาการแปลกไปจากปกติ เช่น ขนลุก น้ำตาไหล เหงื่อออก หรือ คล้ายกับตัวลอยไปมาได้ เป็นต้น
นิมิต แปลตรงตัว แปลว่า เครื่องหมาย
ระลึก คือ ภาพ + Feeling จะมีความประทับใจประกอบไปด้วย เช่น เรารักแม่ คิดถึงแม่ ก็จะเห็นภาพและความรู้สึกพร้อมกัน
ฝัน เป็นสภาวะปลดเปลื้องทางจิต คือ จะคลายตัวทางความคิดที่ตกค้างในใจ คล้ายกับการลบจดหมายขยะทิ้ง แต่ไม่ได้ลบถาวร ยังอยู่ในถังของ e-mail
เกิดขึ้นจริงตามที่เห็นอยู่ก่อน เป็นไปได้ 2 กรณี คือ
1. การทะลุเวลา โดยสภาวะความเร็วของ"ตัวใน"="ใจ" ซึ่งจะเป็นไปเองโดยธรรมชาติ=ควบคุมไม่ได้
2. การทะลุเวลา โดยสามารถควบคุมได้ อย่างที่เราฝึกกันนี่แหละ แต่ส่วนใหญ่จะเป็นการควบคุมได้เฉพาะส่วนลมหายใจเข้า ไม่สามารถควบคุมในส่วนลมหายใจออกได้
ในทางพุทธศาสนาและโดยเฉพาะ(ของเราเท่านั้น)ที่มีการฝึกให้ควบคุมความคิด ระลึก และ กำหนดได้ในขณะที่ลมหายใจออก ซึ่งยากมาก จึงใช้คำกล่าว หรือ สวดแทน
ทดสอบง่ายๆ ลองหายใจออกแล้วคิดพร้อมไปด้วย ยังทำกันไม่ได้ ไม่ต้องพูดถึงการอธิษฐานขณะที่คิดเลย
จะเห็นว่าในการฝึก ให้เอาลมหาใจไปตั้งที่จุดสุดท้าย เมื่อเราหายใจเข้าไปเมื่อหายใจออกให้เสียงเริ่มตรงนั้น
จากนั้น เราก็จะใช้เสียงเป็นสื่อ นำเอาเสียงของใจออกมา เป็นการควบคุมสภาวะของ อานุภาค=ใจ ซึ่งเป็นตัวที่เราต้องควบคุมให้ได้ อันนี้สำคัญ เป็นสุดยอดของพระพุทธศาสนา เพราะใจเท่านั้นที่เราต้องใช้ในทุกสภาวะ ไม่ว่ามิติไหนๆ มีความไวสูงกว่าแสงหมื่นล้านเท่าเร็วกว่า Quarkแสนล้านเท่า จึงสามารถไปได้ทุกมิติเป็นเรื่องปกติอย่างที่เราเห็นในพระไตรปิฎกนั่นแหละ
ฉนั้น การควบคุมอานุภาคหรือเรียกว่า "ใจ " เป็นสิ่งที่เราทุกคนต้องทำให้ได้ นั่นเท่ากับเวลาไม่อยู่เหนือเรา หรือเราสามารถบังคับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นอีก 100หรือ 1000ปี ให้มาปรากฎวันนี้ ตอนนี้ได้ หากว่าควบคุมใจเราได้ เป็นเรื่องปกติ
พุทธศาสนา เป็นเรื่องวิทยาศาสตร์ ฟิสิกส์ ฝรั่งไปแอบเอามาทำแล้วก็ประกาศว่าค้นพบ
เวลา หรือ อายุ เป็นสิ่งสมมุติ เวลาคือการนับถอยหลัง สรรพสิ่งนั้นๆว่าจะสิ้นสุดเมื่อไหร่ อายุคนไม่มีนะ เราอายุเท่าไรก็ตาม แต่ใจ ไม่มีอายุ เหมือนรถจะเก่า-ใหม่อยู่ที่คนขับ รถ=ร่างกาย ใจ=คนขับ รถมีอายุการใช้งาน แต่คนขับเปลี่ยนรถได้เสมอ(ถ้ามีเงิน) เงิน=บุญ
การทำสมาธิ สติปัฏฐาน คือ การฝึกให้ใจที่ตั้งในการระลึก หากเป็นธนาคาร ก็เป็นการฝาก บ/ช พิเศษ ได้ดอกเยอะ เหมือนสลากออมสิน ไม่เหมือนการทำบุญอย่างอื่นไง
สติ คือ ธรรมชาติแห่งการระลึกรู้อารมณ์ อันมีนิมิตเป็นที่ตั้ง จึงเรียกว่า สติปัฏฐาน
การควบคุมใจ ต้องควบคุมด้วยลมหาใจและหาที่ตั้งให้ได้ทุกลมหาใจ เมื่อรู้แล้วก็เข้าใจ เห็นไม๊ว่า ภาษาไทยใช้คำว่า เข้าใจ คือ เข้าไปในใจ
การตั้งลมหาใจแล้วอธิษฐานนั้นควรขอทีละอย่าง ขับรถคันเดียว เวลาเดียว ณ ขณะนั้น จะไปได้กี่ทาง ก็ทางเดียว เปลี่ยนทางไป-มา รถติด ไปไม่ถึงนะ เมื่อถึงจุดหมายที่ต้องการแต่แรกแล้ว จะไปที่ใหม่ก็กำหนดใหม่...คงเข้าใจนะ ไม่ใช่ขับไปถึงกลางทาง ไม่เอาละ เปลี่ยนใหม่ เมื่อไรมันมันจะไปถึงล่ะคะ
คำว่า " อ๋อ " ก็คือ การที่ใจ ทะลุผ่านมิติสัญญา หรือ Lib Memory คือ พอเราเข้าใจแล้ว ไม่ต้องอธิบาย ไม่ต้องเรียน รู้ตลอดหมด นี่คือ การทะลุมิติเวลา แต่ต้องควบคุมและใช้ได้ตามต้องการ เรา-ท่าน ผ่านมาหลายภพชาติ แต่ละชาติเอาเป็นว่า ชาติละ 20ปี 100ชาติ ก็เท่ากับ 1000ปี อยากรู้เรื่องทำกับข้าว ลองคิดว่า เรารู้เรื่องทำกับข้าวและชำนาญในการทำมาแล้วเป็น 1000ปี เอามาใช้ ใครจะสู้เราได้
นี่คือ ความลับ ที่พระพุทธองค์สอนให้ทำสมาธิ ก็เพื่อทะลุมิติเวลา หรือ เชื่อมต่อสัญญานี้ ยกตัวอย่าง เรื่องตลาดหุ้นเมื่อไม่กี่วันนี้ ได้บอกไว้ก่อนว่าจะตกหรือขึ้น ตามวันเวลาดังกล่าว และตรงตามนั้น ก็เพราะเป็นเรื่องใกล้ๆ ใครก็ทำได้ ไม่ต้องเสียเวลามาก เห็นไม๊ เวลากำหนดสรรพสิ่ง ถ้าเราสามารถก้าวพ้นมิติเวลา ชีวิตเราจะมีความสุขมากมาก การควบคุมใจ ก็เพื่อที่จะนำไปใช้หาข้อมูลที่เราต้องการ คือการเชื่อมสัญญาเก่า (ความจำเดิม=ที่อยู่ใน DNA) นำออกมาใช้ เพราะความจริงแล้ว ร่างกายมนุษย์ ประกอบไปด้วย เซลล์อิสระเป็นแสนแสนล้านเซลล์ แต่ละเซลล์จะเก็บความจำไว้แต่ละเรื่อง เมื่อสามารถเชื่อมประสานได้ ก็นำมาใช้ได้ ทุกเรื่อง วิธีใช้ไม่มีขีดจำกัด ไม่ว่าเป็นเรื่องธุรกิจ การเมือง การปกครอง หรือ ด้านการเงิน แล้วแต่เราจะตั้งเป้า = อธิษฐานเรื่องอะไร
การอธิษฐาน ก็คือการกำหนดหัวข้อ หรือ Keywordให้ ทำการหาข้อมูลจากเซลล์เรานี่แหละ นี่เอาขั้นต้นๆนะ
ดังนั้น การฝึกลมหาใจก็เพื่อให้เซลล์ในร่างกายของเราตื่นตัว พร้อมรับใช้งานที่เราสั่ง เขาเรียกว่าฝึกให้ใจอยู่ภายในอำนาจ (เป็นวิชาพุทธแท้ๆเรียนมาตั้งแต่ยังเป็นเณร ตอนนี้ก็ใช้อยู่ เกือบ70ปีแล้วนะ ใช้มาตลอด เป็นเรื่องปกติ) เพราะกระแสคลื่น หรือ พุทธานุภาพเหมือนสถานีส่งสัญญาณ ที่มีพลานุภาพมาก เปรียบได้เหมือนสถานีวิทยุ ใครอยู่ใกล้ไม่ต้องเสียค่าไฟฟ้าเพราะหลอดไฟนีออนจะติดเองได้เลย เหมือนกันเป๊ะ แต่ใช้แบบหลอดไส้จะไม่ติด นั่นหมายความว่า วิธีการรองรับพุทธานุภาพหรือการเข้าถึงจึงมีวิธีการเฉพาะ ซึ่งจะประกอบไปด้วยอุปกรณ์และความรู้พื้นฐานบ้าง ซึ่งหากคุณไม่มีความรู้เรื่องไฟฟ้า ก็จะไม่รู้เรื่องหลอดนีออนและไม่รู้ว่า หากหลอดนีออนอยู่ใกล้สถานีวิทยุจะติดได้เอง ไม่เสียค่าไฟฟ้า จึงจะเห็นว่า แม้บ้านอยู่ติดสถานีวิทยุก็ยังไม่รู้วิธีใช้ไฟฟ้าฟรี เหมือนกับคนเป็นพุทธแต่ไม่รู้จักการเข้าถึงพุทธานุภาพ ชีวิตก็ลำบาก มืดมิด และยากจนซ้ำซากต่อไป....ช่วยไม่ได้ นี่แหละ จึงบอกว่า พวกเราทุกท่าน โชคดีที่ได้รู้และได้ปฏิบัติ ไม่ต้องไปนั่งสงสัยว่าทำไมหลอดนีออนถึงติด หน้าที่คือไปซื้อหลอดนีออนมาติดให้เต็มบ้าน สว่างไปหมด แล้วไม่เสียเงินค่าไฟ้าด้วย ของฟรี
"พุทธานุภาพ" เป็นคลื่นที่มีอยู่ชั่วนิรันดร์ รับรองไว้ในพระไตรปิฏก อย่าลืม ในการปฏิบัติง่ายๆ คือ เวลาพูดให้ออกมาจากใจและรู้ทุกลมหายใจเข้า-ออก ก่อนทำ ให้ พุทธัง ชีวิตตัง ถวายชีวิตเป็นพุทธบูชา อะไรที่ไม่ดีก็ไม่เกิดกับเรา
สารบัญทั้งหมดจะอยู่ทางด้านขวามือของหน้า (ทุกหน้า)