พฤหัสบดี ที่ 22 ตุลาคม 2552
การสวดมนต์เป็นการสร้างกระแสคลื่นความถี่แนวกว้างเพื่อให้เกิดการโค้งงอของสนามเวลา เราจึงต้องปฏิบัติให้สภาพใจ(มโน) หรือเรียกว่าเป็น อนุภาคที่เล็กที่สุดอยู่ภายใต้การควบคุม ก็จะสามารถรับคลื่นเหล่านั้นได้ ตอนแรกจะรับคลื่นความคิด เมื่อเริ่มฝึกใหม่ๆก็เหมือนกับการรับสัญญาณ ในอากาศมีสัญญาณคลื่นอยู่มากมายไม่ว่าจะเป็นคลื่นวิทยุ โทรทัศน์ ฯลฯ และคลื่นความคิดทั้งในอดีตและอนาคต
ความเร็วของอนุภาค "ใจ" เร็วกว่าแสงหลายล้านเท่า มีปรากฎรับรองในพระไตรปิฎก
ในขณะที่ปฏิบัตินั้นก็พูดออกมาจากจุดที่ลมหายใจเข้าไป สุดตรงไหนก็ออกจากตรงนั้น สั้นยาวไม่สำคัญ ซึ่งทำได้ทุกขณะที่เราพูดและหายใจ นั่นหมายความว่าทำได้ตลอดเวลา ไม่จำเป็นต้องใช้เวลานานๆ แต่ที่สำคัญคือ ไม่มีมนุษย์ใดที่ไม่ฝึกจะสามารถคิดนึกในขณะที่ลมหายใจออกได้โดยเด็ดขาด นอกจากพวกเราเท่านั้น
จะรู้ได้อย่างไรว่าควบคุมสภาพใจได้แล้ว นั่นก็คือ เมื่อเราหายใจเข้าและออกสามารถพูดได้ คือ พูดและคิดได้ทั้งเข้าและออก เพราะปกติเวลาลมหายใจออกจะไม่มีทางพูดหรือคิดได้ นี่คือ "ความลับ" ของคำว่า ทุกลมหายใจเข้า-ออก ส่วนใหญ่ทำได้แต่หายใจเข้า แต่ตอนออกยากที่สุด ถ้าควบคุมลมหายใจออกได้ก็ควบคุมการตายได้และอยู่เลยภาวะของความตายได้
การควบคุมการหายใจออก คือ การก้าวพ้นภาวะของความตาย คือ เลยความตาย หมายถึง จะรู้ว่าเมื่อตายแล้วจะมีลักษณะใด หรือผู้ที่กล่าวว่าตายไปนั้นอยู่ที่ไหน ตามหลักศาสนาพุทธ ไม่มีคำว่า"ตาย" มีแต่คำว่า "ย้ายที่" ดังนั้น เมื่อเราปฏิบัติให้ควบคุมลมหายใจออกได้ เราก็จะรู้ที่ของผู้ที่ตายไปแล้วและเราด้วย
การควบคุมลมหายใจออกจะทำได้อย่างไร
ก็คือ ตอนที่พูด ให้เสียงออกมาพร้อมลมหายใจออกนั่นไง ให้รู้ว่าเสียงออกมาพร้อมลมหายใจ และตอนหายใจเข้า คือ ช่วงที่เราคิดคำพูด จะเป็นการทวนอีกครั้งหนึ่ง นี่คือการฝึกโดยใช้คลื่นเสียง และคลื่นเสียงนี้จะมีช่อง (กว้างขึ้น)ๆ ในที่สุดจะเป็นเส้นตรง และเมื่อนั้นก็ไม่มีมิติไหนที่ผู้ปฏิบัติ แล้วอธิษฐานจะไปไม่ได้ (นอกจากนิพพาน)
การที่เราสามารถได้สิ่งที่ปรารถนา เท่ากับ อธิษฐานประกอบเสียงภาวนา ก็คือ การกดเส้นเวลาให้โค้งงอเข้าหากันด้วยอำนาจสมาธิ แต่จะอยู่ได้นานแค่ไหนก็อยู่ที่การตั้งลม