ต่อไปนี้จะได้บรรยาย ขยายความ หัวข้อธรรม เรื่อง
อธิจิต จุดเชื่อมของมิติ
ในทางพระพุทธศาสนาเพื่อสาธุชนจะได้นำไปค้นคว้า ศึกษา ในอนาคตต่อไป
มิติ” ในทางฟิสิกส์ไม่ได้หมายถึงมิติลี้ ลับ มิติมหัศจรรย์หรือว่าอีกโลกหนึ่ง แต่หมายถึง Dimension ในภาษาอังกฤษซึ่งมีความหมายทางคณิตศาสตร์ อย่างเช่น จุด (.) มีมิติเป็นศูนย์หรือไม่มีมิติ เส้นตรงก็มี 1 มิติ ส่วนพื้นที่เป็น 2 มิติ และปริมาตร 3 มิติก็เป็นสิ่งที่เราคุ้นเคยมีกว้าง ยาว สูง ในทางคณิตศาสตร์คุณสามารถมีมิติเท่าไหร่ก็ได้ แต่อวกาศหรือที่ว่างที่เราเห็นนั้นเป็น 3 มิติ ซึ่งในการเคลื่อนที่ของวัตถุนั้นนอกจากขึ้นกับพื้นที่แล้วยังขึ้นอยู่กับเวลาด้วยซึ่งในทางคณิตศาสตร์นับเป็นอีกมิติ หนึ่งได้กลายเป็น 4 มิติที่เรียกว่า Space-Time หรือ กาล-อวกาศ
ทฤษฎีของ Quantum Physic แสดงความเป็นไปได้ว่าจะมีมากกว่า 4 มิติ ในปี1921 ธีโอดอร์ คาลูซา (Theodor Kaluza) สันนิษฐานว่ากาล-อวกาศมี 5 มิติ ซึ่งมิติที่เกินมานั้นเรียกว่า มิติพิเศษ (Extra-Dimension) ซึ่งคาลูซา อธิบายว่ามิติดังกล่าวขดตัวอยู่ (Compactify) กลายเป็นมิติที่เล็กมากจนมองไม่เห็น และ ไม่สามารถเข้าถึงได้โดยวิธีปกติทางกลศาสตร์ หรือ ฟิสิกส์ยุคปัจจุบัน
คล้ายกับการม้วนกระดาษเป็นทรงกระบอกเปรียบเสมือนสนามเวลา หากรัศมีของการม้วนสั้นกว่าความยาวคลื่นของแสง แสงจะไม่สามารถสะท้อนเป็นภาพออกมา ให้มองเห็นได้
ด้วยความสนใจของนักวิทยาศาสตร์ทั้งโลกในกรณีดังกล่าว จึงร่วมกันตั้งโครงการCERN ขึ้นเพื่อจะเปิดประตูมิติพิเศษ(Extra-Dimension) ดังกล่าว
โดยเบื้องต้นได้ทำการทดลองยิงอนุภาคด้วยเครื่องเร่งอนุภาค “แอลเอชซี” (LHC: Large-Hadron Collinder) ของห้องปฏิบัติการเซิร์น (CERN) อันเป็นองค์กรการวิจัยด้านนิวเคลียร์ ตั้งอยู่ที่สวิตเซอร์แลนด์ โดยตามหลักกลศาสตร์ควอนตัมต้องใช้พลังงานจำนวนมหาศาลเพื่อทำให้อนุภาคที่ สามารถเป็นได้ทั้งคลื่นและอนุภาคนั้นมีความยาวคลื่นสั้นลง จนเล็กพอที่จะเห็นมิติที่ขดซ่อนอยู่ได้
สำหรับการทะลุมิติพิเศษในทางQuantum Physic จะหมายถึงการเร่งให้พลังงานสูงพอที่จะเล็กที่สุด พอที่ผ่านทะลุเข้าสู่มิติพิเศษที่นอกเหนือไปจากมิติทั้ง 4 ซึ่งเหนือกว่ามิติปกติปัจจุบันอันเรารับรู้กันอยู่นี้ เปิดประตูมิติพิเศษนั้นออกมาให้เห็นได้ แต่พลังที่ว่านั้นต้อง “มีความเร็วยิ่งยวดกว่าแสง มีพลังสูง และเล็กที่สุด” ซึ่งปัจจุบันขณะนี้ในเชิงปฏิบัติการยังไม่สามารถผลิตเครื่องมือ ที่มีประสิทธิภาพดังกล่าวได้สำเร็จ
เมื่อเราได้อ่านข้อมูลข้างต้นก็ตื่นเต้นไปกับข่าวสารนั้นว่า ตอนนี้โลกเจริญก้าวหน้า ขนาดกำลังทำเครื่องข้ามมิติกันแล้ว
เปล่าเลย !! ความจริงแล้วนักวิทยาศาสตร์ระดับโลกเหล่านั้น ยังล้าหลังกว่าพระพุทธศาสนาเกือบ2,600 ปี เพราะพระพุทธองค์ทรงค้นพบ และสั่งสอนถ่ายทอดให้กับพุทธบริษัท ให้แนวปฏิบัติที่สามารถผ่านทะลุ มิติพิเศษ(Extra-Dimension) ที่ว่านั้นได้เป็นปกติ จนกลายเป็นเรื่องธรรมดาของพุทธสาวกผู้ปฏิบัติชอบในแนวทางแห่ง สติปัฏฐาน-ปฏิสัมภิทามรรค ทั่วไป
เพราะหากว่าผู้ปฏิบัติไม่สามารถผ่านทะลุมิติพิเศษ(Extra-Dimension) นี้ไปได้ ก็จะกล่าวไปใยถึงเรื่องของพระนิพพาน ซึ่งก็เหนือกว่ามิติที่ว่านี้มากมายนัก
จึงขอนำหลักฐาน และ แนวทางการปฏิบัติเพื่อใช้ในการเจาะทะลุมิติพิเศษ(Extra-Dimension) มาให้ผู้ใคร่ศึกษา-ปฏิบัติ ได้ประดับความรู้ และเป็นแนวทางค้นคว้าในอนาคต.
....โปรดติดตามในตอนต่อไป
ขอความสวัสดีมีชัย จงบังเกิดแก่สาธุชนทุกท่านทั่วกัน
(ต่อ) คำสอนพระอาจารย์ธรรมบาล 27 สิงหาคม 2558
ก่อนที่เราจะเข้าไปถึงข้อมูลเชิงลึก ในทางปฏิบัติของพระพุทธศาสนาว่า "จะเจาะทะลุมิติพิเศษExtra-Dimension) ได้ยังไง ก็ต้องทำความเข้าใจถึงพื้นฐานขั้นตอนกันก่อนว่ามีอะไรบ้าง? เพื่อจะได้ไม่เข้าใจสับสน
พระพุทธองค์ได้ทรงตรัสไว้ในสติปัฏฐาน แบ่งร่างกายมนุษย์ออกเป็น 2 ชั้นด้วยกัน ชั้นนอก เรียกว่า กายนอก(รูปกาย) หรือ กายเนื้อ(Mass) ที่สามารถสัมผัสรับรู้ มองเห็น สัมผัสได้ด้วยประสาททั้ง 5 อันเรียกเป็นบาลีว่า "กายสังขาร"
ชั้นใน เรียกว่า กายใน(นามกาย) หรือ กายในกาย(Plasma) มีสภาพที่ไม่สามารถมองเห็น หรือ สัมผัสรับรู้ได้ด้วยประสาทภายนอกทั้ง 5 รู้ได้ว่ามีอยู่ แต่มองไม่เห็น เรียกเป็นบาลีว่า "มโนสังขาร" หรือ “ใจ”
พระพุทธองค์ทรงให้ความสำคัญอย่างยิ่งของ “กายใน(นามกาย)”โดยบัญญัติไว้เป็นข้อแรก ในการปฏิบัติเพื่อเข้าสู่มิติพิเศษ(Extra-Dimension) เพราะกายในมีสภาพเป็นPlasma ไม่ใช่เป็นMass ซึ่งมีสภาวะเป็นทั้งพลังงาน และ อานุภาค ในขณะเดียวกัน
รวมทั้งทรงตรัสยืนยันชัดเจนถึงความเร็วยิ่งยวดว่า “ไวกว่าสิ่งใด ๆ แม้แต่แสง” ซึ่งหลังจากนั้น2500กว่าปี การค้นคว้าทางPhysic ก็ยืนยันตรงกันว่า การประมวลผลของประสาทในตัวมนุษย์นั้นไวกว่าแสงหลายล้านเท่า เพราะการประมวลผลแต่ละครั้ง นับแต่การเริ่มถอดรหัสโดยRNA ส่งเป็นสัญญาณไฟฟ้า ผ่านเส้นประสาทที่ยาวมากจนสามารถพันรอบโลกได้ถึง 6 รอบ เพียงในเวลาไม่ถึง 1ส่วนล้านวินาที
แต่สภาวะของกายใน(นามกาย) ไวกว่านั้นอีก จึงไม่ต้องกล่าวถึงการผ่านทะลุเปิดมิติพิเศษ(Extra-Dimension) ซึ่งกลายเป็นเรื่อง จิ๊บ ๆ สำหรับผู้ปฏิบัติสติปัฏฐานขั้นต้น ๆ เท่านั้น ยังไม่ต้องพูดถึงผู้ที่ปฏิบัติขั้นสูงกว่านั้น ซึ่งท่องไปทั่วจักรวาล ที่ดาราศาสตร์ฟิสิกส์ ก็ยืนยันว่ามีหลายล้านจักรวาล(Galaxy)
ในการหลักการปฏิบัติเบื้องต้นทางพุทธศาสนา จะต้องสามารถเข้าถึง กายใน(นามกาย) ให้ได้ก่อนโดยการฝึกฝนทำสมาธิขั้นต้นเรียกว่า”อุปจารสมาธิ” อันจะทำให้เกิดสภาวะพิเศษขึ้นเรียกว่า “อธิจิต”
"อธิจิต" จะเกิดขึ้นได้จากการปฏิบัติให้เกิด "สมาธิ" คือการรวมเป็นหนึ่งของ "วาจา กับ ใจ" จะโดยการสวด ท่องมนต์ เพื่อให้เกิดความพร้อมของวจีสังขารกับมโนสังขาร ซึ่งเราเรียกว่า "ปริต" เป็นสมาธิขั้นต้นหรือ อุปจารสมาธิ ซึ่งอธิจิตนี้เปรียบเสมือนตัวเชื่อมระหว่างมิติธรรมดา กับ มิติพิเศษ นั่นเอง
หากเปรียบเทียบให้มองเห็นภาพได้ชัดเจนขึ้น คือ สมมุติว่า บ้านของคุณอยู่ใกล้สนามบินเพียง 7 กม. แต่เป็นเส้นทางOneway คือวิ่งได้ทางเดียว จะย้อนศรไม่ได้(เปรียบได้กับวิถีจิตทั้ง 7 เมื่อสุดวิถีจะวนมาเริ่มใหม่เช่นเดิมจากอตีตภวังคจิต เหมือนคุณขับเลยสนามบิน คุณก็ต้องวนไปเริ่มต้นใหม่อีก 7 กม. แล้วย้อนกลับมา...นี่คือการเวียนว่ายตายเกิด คือ ตรงนี้ !!)
คุณมีความตั้งใจจะเดินทางไปอเมริกา ซึ่งขับรถไปไม่ได้ต้องไปด้วยเครื่องบิน (นั่นหมายถึงไปด้วยกายเนื้อ หรือ รูปกายไม่ได้ ต้องไปโดยทางมโนทวารเท่านั้น) เมื่อคุณขับรถไปถึงที่สนามบิน คุณก็จอดรถ ในที่นี้รถก็คือ กายนอก(กายเนื้อ) เดินทางด้วยถนน(ปัญจทวารวิถี) แต่เครื่องบินบินไปในเส้นทางอากาศ(มโนทวารวิถี)
คุณจึงต้องลงจากรถ ในใจคุณได้ตั้งเป้าหมาย โดยมีอารมณ์พร้อมภาพ(สติ+นิมิต)ว่าคุณจะต้องไปขึ้นเครื่องบิน พฤติ(อาการ)ที่คุณรักษา ระลึกรู้อารมณ์ที่จะไปขึ้นเครื่องตรงนี้แหละ เรียกว่า “อธิจิต” ที่จะนำคุณเข้าสู่ประตูกั้นเขตระหว่างคนธรรมดาที่ไม่มีสิทธิเดินทาง(ผู้ไม่ปฏิบัติสมาธิ) ประตูนี้เทียบได้กับ “มโนทวาร”
ที่กล่าวมาแล้วข้างต้น เป็นการเทียบเคียงเพื่อให้เกิดความเข้าใจการทำงาน และหน้าที่ของ “อธิจิต” ในทางPhysic Quantum กับพระพุทธศาสนา
โปรดติดตามตอนต่อไป ในโอกาศหน้า
ขอความผาสุข สวัสดี มีโชคชัย จงบังเกิดแก่ท่านทั้งหลายทั่วกันทุกท่านเทอญ
อธิจิต (ภาคต่อ)
สารบัญทั้งหมดจะอยู่ทางด้านขวามือของหน้า (ทุกหน้า)