จะเห็นได้ว่า ในระดับของโพชฌงค์ จะเท่ากับค่าของตัวโน๊ต และ Spectum
และโพชฌงค์ จะ เป็นเรื่องของ "มโน=ใจ" เรียกว่า "มโนทวารวิถี" ใจ=Plasma นั่นคือ การปฏิบัติเพื่อเข้าสู่ "มโนทวารวิถี= Plasma Dimension"
เราจึงจะเห็นการใช้ "เสียง , เครื่องดนตรี" ประกอบการสวดมนต์ ในหลายศาสนา เพื่อให้เข้าสู่สภาวะนี้
……………
คุณลองตั้งแนวคิด ตามแนวลักษณะนี้ เดี๋ยวจะ "อ๋อ…" ได้ข้อมูลออกมาจากใจอีกเยอะเลย
มโนทวารวิถี เป็นภาษาบาลี = มิติของ "ใจ"
ใจ = Plasma
นั่นคือ Plasma Dimension
ผู้บรรลุโพชฌงค์ จะมีสามารถควบคุมคลื่น Plasmaชนิดหนึ่ง บาลีเรียกว่า "แสงอัปมัญญา" ส่องทั่วสกลจักวาล(ทุกGalaxy) ผู้บรรลุตรงนี้แหละ จึงสามารถ " แผ่…เมตตาให้สรรพสัตว์ทั้งหลายทั่วสกลจักรวาลได้ เรียกว่า "แผ่เมตตา" ที่เราบอกว่าแผ่เมตตาหลังทำสมาธิ ถ้ายังไม่บรรลุ"อัปมัญญา = แผ่…ไม่ได้" จริงแล้วเรียกว่า "อุทิศ คือยกให้ = ยกบุญที่ปฏิบัตินั้นให้ผู้ที่เราเอ่ยนาม
ผู้ปฏิบัติโพชฌงค์ จะต้องทิ้ง "รูปกาย=กายหยาบ" นี่คือที่มาของการ "ฝึกใต้น้ำ" จึงเริ่มด้วย "เมตตา" คือ รู้คุณค่าของชีวิต ว่าสรรพสัตว์ทั้งหลาย ย่อมรักชีวิต จึงเป็นที่มาของ "มรณานุสติ" = ระลึกถึงความตาย ไม่ใช่ไปเพ่งศพ อย่างที่สอนกันมาแบบผิด ๆ
เมตตา ต้องผ่าน มรณานุสติ เพราะ
“เมตตา” คือ ปฐมองค์ธรรมของพรหม
ไม่รู้จักคุณค่าชีวิตตนเอง ย่อมไม่รู้จักคุณค่าชีวิตสรรพสัตว์อื่น
เมื่ออยู่ใต้น้ำ จะเคยชินกับความตาย จะรับรู้และระลึกอารมณ์ของ
“มรณา” ได้อย่างชัดเจน ไม่ใช่ไปนั่งดูศพในห้องดับจิต หรือ ที่เมรุเผาศพ
ไม่งั้นพระพุทธองค์ คงทรงให้พระภิกษุ ไปนั่งริมแม่น้ำคงคาพิจารณาซากศพแล้ว นั่นเรียกว่า “อศุภกมฺมฐาน” จิตบรรลุได้สูงสุดแค่ปฐมฌานเท่านั้น เลื่อนระดับไม่ได้ เพียงเพื่อไม่ให้ติดยึดความสวยงาม และเข้าถึงความไม่เที่ยงของสังขาร แต่ไม่อาจเข้าถึงอารมณ์ “มรณะ” ว่า “ตอนจะตายจริงๆ น่ะ ความรู้สึกมันเป็นยังไง เราสามารถควบคุมชีวิตตนเองได้ ว่าจะตายหรือไม่ตาย “Your life on your hand” นี่คือความแตกต่าง
::::: ผู้ที่ไม่ผ่านการทำอานาปานสติ (ตั้งลม) รูปกสิณ และวิญญานกสิณ จะทำโพชฌงค์ใต้น้ำไม่ได้
รู้ + แจ้ง แจ้ง=แสง+ประจักษ์ หมายความคือ มองเห็นชัดด้วยความสว่างไสว ปราศจากข้อสงสัย
ภาษาไทย เป็น Root ของภาษาบาลี บทสวดมนต์เป็นภาษาบาลี เราจึงใช้การสวดมนต์ แต่ศาสนาอื่นใช้ดนตรี เพราะอะไร ?
ก็เพราะมีภาษาไทยหนึ่งเดียวในโลกเท่านั้นที่มีเสียงครบ ควบคุมธาตุทั้ง 4 คือมหาภูตรูป 4 คือ
1.เสียงสูง 2.เสียงกลาง 3.เสียงต่ำ 4.เสียงดนตรี
- ภาษาบาลีเป็นภาษาย่อความ จากภาษาไท มาเป็นภาษาเขียนใช้ในทางราชการนับแต่ยุคโบราณ คล้ายภาษาชวเลข ต้องนำมาถอดรหัส
- ภาษาสันสกฤต หรือ ภาษามคธ เป็นภาษาไท ที่ใช้เป็นภาษาพูด เพราะแคว้นมคธเป็นแคว้นใหญ่ จึงใช้เป็นภาษากลาง พระพุทธองค์จึงทรงจำพรรษา และเผยแผ่ที่แคว้นมคธ
- ภาษากรีกได้พัฒนาปรับปรุงโดยนักปราชญ์ชาวกรีก ที่ไปศึกษาที่ตักศิลา แล้วนำมามาพัฒนาเป็นอักษรกรีก โดย โสเครตีส อลิโตเติล พิทาคอรัส ฯลฯ เป็นต้น
- ภาษาโรมัน พัฒนาไปจากภาษากรีก และแพร่หลายจากการล่าดินแดน กว้างไปจนถึงเกาะอังกฤษ
- ภาษาอังกฤษ เป็นเพียงการเรียก แต่จริงแล้วชาวอังกฤษมาจากโจรสลัด เรียกว่า "พวกเซลล์" ไม่มีภาษา มายึดเกาะที่โรมันยึดครองอยู่ จึงใช้ภาษาร่วมกัน ต่อมาโรมันหมดอำนาจ ภาษาโรมันจึงกลายมาเป็นภาษาที่ใช้ในเกาะอังกฤษ และแพร่หลายไปทั่วโลกจากการล่าอณานิคม โดยเผาทำลายภาษาถิ่ขิงแผ่ดินนั้นๆ และให้ใช้ภาษาอังกฤษแทน
ภาษาของชนชาติอื่นในโลกมีแต่ไม่ครบ 4 ระดับ
ชนชาติ และ ศาสนาอื่นเลียนแบบ โดยใช้เสียงเพลง, ดนตรี เปิดคลอในขณะทำสมาธิ ซึ่งไม่ได้ผลเพราะต่างจาก "การสวดมนต์" ซึ่งประกอบด้วยวาจา + ใจ
แต่ใช้เฉพาะเสียงเพลงหรือ จะไม่ได้ "วาจา=วจีสังขาร
ด้วยเหตุดั่งนี้ บทสวดมนต์จึงใช้ภาษา "บาลี" ซึ่งมีรากมาจากภาษาไทย ดังนั้นผู้ที่จะแปลภาษาบาลี เข้าใจซึ้งในพุทธพจน์ ต้องรู้จริงอย่างลึกซึ้งในแต่ละธาตุอันเป็นต้นกำเนิดอักษรของภาษาไทจึงต้องศึกษาใน "มูลกัจจายน์" เรียกว่า "คัมภีร์วุโฒทัย แปลว่าความรู้ภาษาไท ซึ่งมีมีมาก่อนยุคพุทธกาล
เสริม …… เพื่อความสมบูรณ์ และ การค้นคว้า
"เมตตา" อันได้ปฏิบัติโดยโพชฌงค์นั้น เกิดจาก "ปิติสัมโพชฌงค์" ลักษณะการเกิดของ "เมตตา" ณ ขณะเวลานั้นเรียกว่า "เมตตาเจโตวิมุติ"
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น