ในโลกนี้สิ่งหนึ่งที่ทุกท่านต่างยอมรับกันก็คือ "………ไม่มีใครอยากโง่…ใคร ๆ ก็อยากฉลาดทั้งนั้น !!!" แต่ความจริงแล้ว "ความฉลาด และ ความโง่ ไม่มี……มีแต่สัญญาณไฟฟ้าชีวภาค ที่สื่อสารระหว่างเซล กับ สมองทำงานแตกต่างกัน…เท่านั้น
ในทางอายุรแพทย์ระบบประสาทและจิตแพทย์รวมถึงนักวิทยาศาสตร์สายสุขภาพทั่วโลกต่างก็มีผลงานทางวิชาการมากมายที่ยืนยันรับรองแล้วว่า มนุษย์เราสามารถพัฒนาเพื่อปรับเปลี่ยนรูปแบบของคลื่นสมองของตัวเองได้ โดยที่คลื่นสมองของคนเรานั้นมีความสัมพันธ์โดยตรงกับการทำงานของสมอง หรือพูดง่ายๆ ก็คือ สมองของเรานั้นสามารถพัฒนาให้อยู่ในระดับที่ดีขึ้นได้จริงๆ ซึ่งแต่เดิมอาจจะเข้าใจว่ามีอิทธิพลมาจากพันธุกรรมDNA แต่อย่างเดียว ซึ่งหากจะกล่าวอย่างตรงไปตรงมาแล้วต้องกล่าวว่า พระพุทธศาสนาค้นพบวิธีการเปลี่ยนพันธุกรรมDNA และพัฒนาสมองมนุษย์มากว่า 2,500'ปีแล้ว โดยพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่เพียงแต่พระองค์ทรงค้นพบเท่านั้น พระพุทธองค์ยังทรงเผยแผ่ วิธีการปฏิบัติพัฒนาสมองมนุษย์ จากธรรมดาให้เป็นสุดยอดอัจฉริยะที่เรียกว่า "รู้แจ้ง-เห็นจริง" โดยให้พุทธบริษัทปฏิบัติตามแนวทาง "สติปัฏฐาน" ก่อนที่วิทยาศาสตร์จะกำเนิดมาบนพื้นพิภพนี้
ก่อนที่เราจะพัฒนาสมองของเราให้เป็นอัจฉริยะ จึงเป็นความจำเป็นอย่างยิ่งที่เราที่จะต้องทราบถึงการทำงานของสมองของตัวเอง ด้วยเหตุว่าการทำสมาธิมีผลมากต่อคลื่นสมอง มีหลักฐานมากมายที่สนับสนุนว่าบุคคลที่ทำสมาธิ จะมีคลื่นสมองที่ต่ำกว่าคนปกติทั่วไป ซึ่งมีผลทำให้จิตใจสงบ เยือกเย็น ไม่เครียด มีอารมณ์ดี ร่าเริง เบิกบาน มีความคิดสร้างสรรค์ อายุยืน เป็นต้น ซึ่งจะกล่าวต่อไปในภายหลัง แต่ก่อนที่จะเข้าไปในเนื้อหาที่ว่าด้วยสมาธิกับหลักฐานทางวิทยาศาสตร์นั้น อยากจะให้รู้เรื่องเกี่ยวกับคลื่นสมองกันก่อนว่า
การทำงานของสมอง คือการรับส่งข้อมูลเป็นสัญญาณไฟฟ้าชีวภาค(Bio-Electro Manetic) และการเคลื่อนไหวของพลังงานเหล่านี้ ทำให้เกิดคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า หรือที่เราเรียกกันว่าคลื่นสมอง (brainwave) ซึ่งเราสามารถตรวจดูคลื่นสมองโดยใช้เครื่องมือที่เรียกว่า อีอีจี (EEG) หรือ Electroencephalogram โดยที่เครื่องมือชนิดนี้จะจับภาพสัญญาณไฟฟ้าบริเวณสมอง แปรผลออกมาเป็นรูปแบบของคลื่นต่างๆ และแบ่งออกได้เป็น 4 กลุ่ม คือ
คลื่นเบต้า Beta Brainwave (ความถี่ระหว่าง 14 - 30 Hz) เป็นคลื่นสมองที่เร็วที่สุด และยังเป็นส่วนของสมองที่ควบคุมจิตใต้สำนึก เกี่ยวข้องในเรื่องการใช้สมองเปิดรับข้อมูลพร้อมๆ กับการใช้ระบบประสาทสัมผัสทุกด้าน เช่น การทำกิจกรรมต่างๆ และรับผิดชอบเรื่องของความทรงจำระยะสั้น
คลื่นเบต้า (Beta wave)
เป็นคลื่นสมองที่เกิดขึ้นในสภาวะปกติทั่วไป ในสภาวะปกติสมองจะรับข้อมูลต่าง ๆ จากภายนอกเป็นจำนวนมาก จนถึงก่อให้เกิดความสับสนวุ่นวาย คลื่นสมองที่เกิดขึ้นในช่วงนี้จะมีความถี่สูง เรียกคลื่นสมองช่วงนี้ว่า "คลื่นเบต้า" (Beta Wave) ซึ่งมีความถี่ประมาณ ๑๓ - ๔๐ รอบต่อวินาที ยิ่งความถี่ของคลื่นสมองสูงขึ้นไปมากเท่าไร จิตใจของเราก็จะวุ่นวาย สับสนมากยิ่งขึ้นไปเท่านั้น รูปร่างของคลื่นเบต้ามีลักษณะคล้ายเส้นกราฟที่ขยุกขยิกขึ้น-ลง ขึ้น-ลง สลับกัน คล้าย ๆ เวลาเราลากเส้นสลับฟังปลานั่นเอง ถ้าสมองมีเรื่องต้องคิดวุ่นวายมาก เส้นกราฟจะขยุกขยิกมากด้วย ภาวะเช่นนี้จะรู้สึกหงุดหงิด กระสับกระส่าย ประสิทธิภาพในการคิดตัดสินใจไม่ดี ยิ่งคลื่นสมองยิ่งสูง ยิ่งทำให้เกิดอารมณ์ด้านลบได้มากเท่านั้น คนที่ไม่ฝึกสมาธิ จะมีคลื่นสมองเบต้า (Beta wave) มากกว่าคนที่ฝึกสมาธิ ซึ่งส่งผลในทางลบ
คลื่นต่อมาคือ คลื่นอัลฟ่า Alpha Brainwave (ความถี่ระหว่าง 8 - 13.9 Hz ) เกิดขึ้นในขณะที่เรามีการพักผ่อน และมีความสงบ (relaxation) แต่ยังอยู่ในภาวะที่รู้สึกตัว สภาวะเช่นนี้จะทำให้รับข้อมูลได้ดีที่สุด สามารถเรียนรู้ได้ดีมาก ในปัจจุบันมักเรียกว่า Super Learning พูดได้เลยว่า คลื่นนี้ทำให้เราเข้าถึงสิ่งที่สนใจไม่ว่าจะเป็นการเรียนรู้ หรือการทำงาน โดยจะสามารถเรียกความจำได้ง่ายและรวดเร็ว พบบ่อยในเด็กที่มีความสุข และผู้ใหญ่ที่มีจิตสมดุล รวมถึงผู้ที่นั่งสมาธิเป็นประจำ ยังมักพบในขณะร่างกายและจิตใจผ่อนคลายมากๆ เช่น สภาวะก่อนนอนหลับ ในทางการแพทย์ คลื่นระดับนี้เหมาะกับการสะกดจิตเพื่อบำบัดโรค ถือเป็นช่วงที่ดีที่สุดในการป้อนข้อมูลให้แก่จิตใต้สำนึก เพราะสมองสามารถเปิดรับข้อมูลได้อย่างเต็มที่และเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว มีความคิดสร้างสรรค์ เป็นสภาวะที่จิตมีประสิทธิภาพสูง เด็กที่ฉลาดเรียนรู้ไวรวมถึงคนเรียนเก่งก็จะมีคลื่นนี้เด่นมาก
คลื่นอัลฟา (Alpha wave)
เป็นคลื่นสมองที่เกิดขึ้นในสภาวะของคนที่มีจิตใจสงบ เยือกเย็น เรียกว่า "คลื่นอัลฟา" (Alpha Wave) ซึ่งมีความถี่ประมาณ ๘ - ๑๓ รอบต่อวินาที มีจังหวะที่ช้ากว่า มีขนาดใหญ่กว่าและมีพลังงานมากกว่าคลื่นเบต้า (Beta wave) รูปร่างของคลื่นอัลฟามีลักษณะคล้ายรูปลูกคลื่น ไม่ขยุกขยิกเหมือนคลื่นเบต้าคลื่นอัลฟานี้ช่วยทำให้ความสับสนวุ่นวายในสมองลดลง จิตใจจึงสงบและเยือกเย็นขึ้น ซึ่งพร้อมทีจะทำกิจกรรมต่าง ๆ อย่างมีประสิทธิภาพ
คลื่นธีต้า (Theta wave)
เมื่อคลื่นอัลฟาค่อยๆ เปลี่ยนเป็นคลื่นที่มีจังหวะช้าลง ๆ แต่กลับมีพลังงานสูงขึ้นๆ ถ้าคลื่นสมองของคนเรามีความถี่ ๕ -๗ รอบต่อวินาที จะส่งคลื่นธีต้า (Theta wave)ออกมา) คลื่นธีต้า เป็นคลื่นสมองชนิดหนึ่งซึ่งจะปรากฏตัวขึ้นมาเพียงช่วงเวลาสั้นๆ เพียงแว่บเดียวเท่านั้น เป็นแว่บสุดท้าย อยู่ในลักษณะครึ่งหลับครึ่งตื่น และเมื่อหลับแล้วจริงๆ คลื่นสมองจะปรากฏไปอีกแบบหนึ่งซึ่งจะแตกต่างจากคลื่นธีต้าTheta Brainwave (ความถี่ระหว่าง 4 - 7.9 Hz)
คลื่นสุดท้าย คลื่นเดลต้า Delta Brainwave (ความถี่ระหว่าง 0.1 - 3.9 Hz) เป็นคลื่นสมองที่ช้าที่สุด เกิดขึ้นในขณะนอนหลับ สมองทำงานตามความจำเป็นเท่านั้น แต่กระบวนการของจิตใต้สำนึกจะจัดและเก็บข้อมูลอย่างต่อเนื่อง เป็นช่วงที่ร่างกายอยู่ในภาวะที่กำลังพักผ่อนอย่างเต็มที่ หลับลึกโดยไม่มีความฝัน จะรู้สึกสดชื่นเป็นพิเศษเมื่อยามตื่นแล้ว
คลื่นเดลต้า Delta เป็นคลื่นที่เกิดขึ้น ในสภาวะของคนนอนหลับ เป็นคลื่นสมองที่มี ความถี่ของสมองที่ต่ำที่สุด แต่มีพลังงานสูง จะอยู่ระหว่าง ๔ รอบต่อวินาที จนถึงนิ่งเป็นเส้นตรง ระหว่างนี้ สมองของคนเรา จะส่งคลื่นเดลต้า (Delta wave) แผ่กระจายไปทั่วร่างกาย ทำให้มีอารมณ์ สุข สงบ แล้วนำไปบันทึกไว้เป็นรหัสชีวภาคอย่างถาวร ใน DNA เพื่อใช้เทียบเคียง และส่งให้สมองสั่งการในครั้งต่อไป) ดังนั้น ผู้ที่ทำสมาธิจึงได้รับความสุข สงบ เมื่อเข้าถึงระดับนี้ทุกครั้ง พระพุทธองค์จึงทรงให้พุทธบริษัทปฏิบัติตามพุทธวิถี "สติปัฏฐาน-ปฏิสัมภิทามรรค" ระลึกรู้อารมณ์ คือ กำหนดความถี่ของคลื่นไว้ ซึ่งเรียกว่า "สติ แปลว่า ระลึกรู้อารมณ์(สัญญาณไฟฟ้าชีวภาค) เหมือนการโปรแกรมรีโหมต ที่เราเปิด TV ยังไงยังงั้น คือกดปุ๊บ ติดปั๊บ = นั่งปฏิบัติปั๊บ เข้าสมาธิตั้งอารมณ์ต่อของเก่าได้เลย จึงสามารถปฏิบัติต่อเนื่องจากของเก่าที่ปฏิบัติครั้งก่อน ให้ก้าวหน้าได้ ไม่งั้นต้องเริ่มต้นใหม่ทุกที เหมือนจะไปเชียงใหม่ขึ้นรถที่หมอชิต รถไปถึงนครสวรรค์ พอลงรถ จะไปต่อมิต้องกลับไปขึ้นรถที่หมอชิตกรุงเทพอีกเรอะ ………นี่คือเหตุผล และความเป็นจริงของปัญหา ว่า เหตุใด การปฏิบัติทั่วไป จึงไม่สามารถเดินหน้าได้ เพราะขาด "สติ" และ ไม่เข้าใจความหมายของสติที่แท้จริง ตามพุทธประสงค์ได้
เราจะเห็นว่า หากเราทำให้คลื่นสมองมีความถี่ต่ำๆ เช่นคลื่นสมองที่อยู่ในระดับ Alpha Brainwave (ความถี่ระหว่าง 8 - 13.9 Hz) ซึ่งอย่างที่ทราบแล้วคลื่นนี้จะเป็นคลื่นทำให้เป็นคนจิตใจสงบ เยือกเย็น สุขุม มีอารมณ์ดี เบิกบาน ความคิดสร้างสรรค์สูง มีสมาธิและความจำดี มีสติปัญญาฉลาด ไหวพริบปฏิภาณเป็นเลิศ และมีพลังความคิดด้านบวกสูง มองโลกในแง่ดี โดยมากก็จะพบในกลุ่มของนักบวช พระสงฆ์ ผู้ปฏิบัติธรรม ผู้ที่กำลังมีความสุข โดยเฉพาะผู้ที่กำลังสวดมนต์
วิธีปรับคลื่นสมองเพื่อให้มีความถี่ดังกล่าวนั้น สิ่งแรกเราต้องอยู่ในสภาวะแวดล้อมที่ค่อนข้างเงียบสงบ ห่างจากสนามแม่เหล็กไฟฟ้า เช่น เตาไมโครเวฟ สายไฟฟ้า หม้อแปลง คอมพิวเตอร์ เพราะจากงานวิจัยพบว่า สนามแม่เหล็กจากคลื่นรบกวนพวกนี้จะทำลายคลื่นสมอง ล่าสุดมีรายงานในประเทศเยอรมนี รัสเซีย และสวิตเซอร์แลนด์ พบว่า คลื่นไมโครเวฟทำให้คลื่นสมองลดลง ความยาวของคลื่นสมองสั้นลงจนทำให้สมองเสื่อม สังเกตได้จากฉลากขวดนมสำหรับเลี้ยงทารกจะระบุอย่างชัดเจนว่า ห้ามใช้เตาไมโครเวฟต้มน้ำให้เดือด
แต่ตรงกันข้าม การฟังเสียงสวดมนต์ พร้อมกับเปล่งเสียงเบา ๆ คลอไปด้วย จะทำให้เกิดสมาธิ ซึ่งจะเกิดคลื่นอัลฟาได้ หรือแม้แต่กระทั่งการอยู่ใกล้ชิดธรรมชาติ เช่น ภูเขา ทะเล อุทยาน สวนต้นไม้ จะทำให้สมองผ่อนคลาย สมองจะเปลี่ยนไปเป็นคลื่นอัลฟาได้โดยง่าย
ในทางการแพทย์ยอมรับ และรับรองว่า เสียงก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงคลื่นสมองนั้น มีหลายงานวิจัยบอกว่า "คลื่นเสียงความถี่ จากการสวดมนต์ ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของคลื่นสมองมนุษย์ " ซึ่งจะแยกเป็น 3 ระดับ เช่น
เสียงต่ำทุ้ม เช่นการสวดอภิธรรม สังคหะ จะไปกระตุ้นการทำงานของก้านสมอง (Brain Stem) และไขสันหลัง (Spinal Cord) ซึ่งเป็นส่วนที่รับผิดชอบในเรื่องการทรงตัว ประสาทสัมผัส การทำกิจกรรม แสดงท่าทางหรือที่เรียกว่ากายสมดุลย์
ส่วนคลื่นเสียงจากการสวดมนต์ที่ใช้เสียงกลาง เช่นเจริญพุทธมนต์จะไปกระตุ้นการทำงานของสมองส่วนอารมณ์ ที่เรียกว่า ลิมบิก ซิสเต็ม (Limbic System) ซึ่งจัดอยู่ในสมองส่วนกลางของมนุษย์เรา ควบคุมเรื่องของอารมณ์ ความเกลียด โกรธ ความเร่าร้อน และ
บทสวดที่ใช้เสียงสูง เช่นการให้พรจะไปกระตุ้นการทำงานของสมองส่วนนีโอคอร์แท็กซ์ (Neocortex) หรือที่รู้จักกันในนามของสมองส่วนปัญญานั่นเอง
ด้วยพลังแห่งพุทธานุภาพ ขอความผาสุข สวัสดี เจริญก้าวหน้าในธรรมะ-ปฏิบัติ สมปรารถนาในสิ่งอันเป็นกุศล จงปรากฏผลโดยพลัน แก่สาธุชนทุกท่าน ถ้วนทั่วกันเทอญ
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น