เล่าถึงเรื่องประวัติศาสตร์ไทย (คำสอนพระอาจารย์ธรรมบาล 27 กุมภาพันธ์ 2558)


 ทุกครั้งที่แผ่นดินไทยภาคใต้  เกิดความไม่สงบสุข เต็มไปด้วยภยันตราย จากโจรผู้ร้าย และผู้ก่อความไม่สงบ พระสงฆ์เป็นฟันเฟืองอันสำคัญ ที่จะฟื้นฟูขวัญกำลังใจ ให้กับประชาชนพลเมือง  ดุจดั่งบูรพาจารย์บรรพบุรุษไทย  ได้กระทำมาแล้วในอดีต

การลงใต้เพื่อถ่ายทอดวิชชา เสริมส่วนที่ขาดแก่คณะสงฆ์ เพื่อให้เป็นที่พึ่งทางใจ ของประชาชนไทย  คือการเขียนประวัติศาสตร์  อีกครั้ง ดั่งที่บูรพาจารย์เคยทำมา
ดังปรากฏในประวัติศาสตร์ไทยดังนี้




วันนี้จะเล่าถึงเรื่องประวัติศาสตร์ไทย ในครั้งอยุธยาตอนต้น เมื่อพระมหาธรรมราชา ได้ขึ้นครองราชย์ในอณาจักรอยุธยา ได้ทรงนิมนต์พระเถระจากวัดฤาษีชุม(วัดป่ามะม่วง) เมืองสุโขทัย อันสืบทอดวิชชา สมาธิมาแต่สมเด็จพระมหาเถระสรีสัทธาฯ ให้มาถ่ายทอดพระอภิธรรม คำสั่งสอน ณ อยุธยาอณาจักร



พระมหาธรรมราชา ทรงถวายที่ดิน ณ ป่าประดู่ชายเมือง สร้างเป็นโรงธรรม(วัด) จึงเรียกว่า "วัดประดู่โรงธรรม" ต่อมาประชาชนได้พากันปลูกต้นดอกแก้วรอบวัด จึงได้ชื่ออีกชื่อหนึ่งว่า "วัดป่าแก้ว"  ถวายตำแหน่งเป็นที่ "สมเด็จพระพนรัตน์" ปกครองคณะสงฆ์ฝ่ายอรัญวาสี ทั่วสังฆมลฑล ประชาชนจึงเรียกพระนามท่านว่า "สมเด็จพระพนรัตน์ วัดป่าแก้ว" 



สมเด็จพระพนรัตน์ ได้ทรงเป็นพระอาจารย์ถ่ายทอดคัมภีร์มหาจักพรรดิ์ฯ แด่สมเด็จพระนเรศวรครั้งทรงเจริญวัย อันสมเด็จพระนเรศวรฯ ได้ใช้ในการทำศึกสงคราม ชำนะทั่วสารทิศ ไร้ปัจจามิตร ทั้งหลาย กู้แผ่นดินไทยให้มีอิสรภาพ เป็นเอกราช จากทาสคืนสู่ความเป็นไท อีกครั้ง



ครั้นเมื่อสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทรงขึ้นครองราชย์ แผ่นดินตอนใต้อยุธยา คือ ตั้งแต่นครศรีธรรมราช ลงไปจรดปัตนานี ปีนัง ตรังกานู บรูไน มะละกา สิงหล ล้วนมัก ก่อเหตุเพศภัย กระทำให้เดือดร้อนแก่ประชาราษฏร์ ไม่สุขสงบได้

            สมเด็จพระนเรศวรจึงทรงปรึกษาต่อ สมเด็จพระพนรัตน์วัดป่าแก้ว เพื่อขอขรัวครู ผู้ทรงวิทยาอาคม แตกฉานในการธรรม ให้ติดตามกองทัพเพื่อเป็นขวัญกำลังใจ ในการนำไพร่พลสู่ใต้ในครั้งนั้น

สมเด็จพระพนรัตน์ วัดป่าแก้ว จึงส่งพระครูเวทวิทยาคุณ ศิษย์เอกของท่านเป็นหัวหน้า พร้อมพระสงฆ์ตามขบวนอีก ๔ รูป รวมเป็น ๕ ครบองค์สงฆ์ ร่วมไปเป็นขรัวครูในกองทัพที่จักลงใต้นับแต่นั้น

ครั้นเมื่อกองทัพอยุธยามุ่งลงใต้ เลยผ่านเมืองนครเข้าสู่ป่าใหญ่ ทะลุออกอีกด้านกลายเป็นทุ่งกว้างสุดลูกหูลูกตา แต่กลางทุ่งมีควน(เขาเล็ก ๆ) พุ่งอยู่กลางเป็นที่อัศจรรย์ ท่านพระครูเวทฯ เห็นเป็นมงคลยิ่งดั่งในตำรามหายุทธ จึงบอกให้ให้ยั้งทัพ ตั้งค่าย ที่เหลือก็ตัดไม้มาปักทำเสาตะลุง(คอกช้าง) จึงเป็นที่มาของชื่อจังหวัดว่า "พัทลุง" มาจากคำว่า "ปักตลุง" คือ ปักเสาตะลุงช้าง)


ท่านพระครูเวทฯ นำพระอีก ๔ รูป เดินไปสำรวจเชิงควนที่ล้อมรอบไปด้วยต้นอ้อต้นแขมหนาแน่น เมื่อถางต้นอ้อเข้าไป จึงเห็นว่าเป็นถ้ำใหญ่ พอที่จะใช้ทำสังฆกรรมตามพระวินัยได้ จึงกำหนดเขตสงฆ์ ณ ตรงนั้นให้เป็นที่จำพรรษา และปฏิบัติธรรม (ต่อมาคือ ควนอ้อ หรือ เขาอ้อ ในปัจจุบัน)

วันหนึ่งท่านพระครูเวทฯ ได้พบกับพระอาคันตุกะอันมาแต่วัดใหญ่ เมืองนครศรีฯ เอาสามเณรน้อย มีนามว่า "ปู" อายุประมาณ ๑๒ ปี มาฝากเพื่อให้ไปเรียนต่อที่กรุงศรีอยุธยา ด้วยว่าเณรน้อยนี้ฉลาดหนักหนา แม้อายุน้อยก็ท่องตำรา ศึกษาบาลี รู้แจ้งได้ถ้วนทั่ว จนหมดภูมิอาจารย์ทั้งหลายที่วัดใหญ่จะถ่ายทอดได้ จึงฝากให้พระครูเวทฯ ช่วยส่งเสริมให้สามเณรน้อยได้เข้าไปศึกษาในกรุงศรีอยุธยา ด้วยเถิด

พระครูเวทฯ เห็นลักษณะท่าทางสามเณร "ปู" ดูผิวพรรณ วรรณะ ดุจดั่งผู้มีบุญ สมควรสนับสนุน จึงส่งสามเณรน้อยไปพร้อมกับ ทหารที่ต้องขึ้นล่องส่งรายงานถึงกรุงศรีฯ พร้อมกับจดหมายฝากฝังสามเณร "ปู" ให้ไปอยู่ที่วัดแคเพื่อศึกษาบาลี และระเบียบปฏิบัติที่จะรับใช้ เป็นศิษย์ สมเด็จพระพนรัตน์วัดป่าแก้ว ต่อไป

สามเณร "ปู" เมื่อเข้ามาในกรุงศรีฯ พำนักที่วัดแค เพื่อศึกษาระเบียบวัตรปฏิบัตร พร้อมกับไปศึกษาบาลีที่วัดลุมพลีนาวาส สามเณรปูขยันศึกษาหาความรู้ จนเชี่ยวชาญทางบาลี หาตัวจับมิได้ในอยุธยา 

              เมื่ออายุครบอุปสมบท สมเด็จพระพนรัตน์ทรงเป็นอุปฌายะ ได้ตั้งฉายา ว่า "ราโมธมฺมิโก" ในช่วงต้นแผ่นดินพระเอกาทศรศ

ลุ  พ.ศ. ๒๑๔๙ ตรงกับรัชสมัยของสมเด็จพระเอกาทศรถ ประเทศสิงหล(ศรีลังกา ปัจจุบัน) เคยเป็นเมืองขึ้นของอยุธยา คิดแก้มือด้วยการทำพนันในการแปลธรรมะ (คัมภีร์) จึงส่งราชทูตมาท้าพนันกินเมือง กับ อาณาจักรอยุธยาเมืองแม่

คราวนั้นพระราโมธมฺมิโก(พระปู) แห่งวัดป่าแก้ว สามารถทำการแปลธรรมะ (คัมภีร์) ได้สำเร็จถูกต้องทุกประการ จนได้รับชัยชนะ


พราหมณ์ราชฑูต ราชฑูต ทั้ง ๗ ของสิงหหล(ศรีลังกา ปัจจุบัน)จึงยอมแพ้ สมเด็จพระเอกาทศรถทรงพระกรุณาโปรดเกล้าแต่งตั้งสมณศักดิ์ ให้กับพระราโมธมฺมิโก(พระปู) เป็นที่ “สมเด็จพระราชมุนีสามีรามคุณูปมาจารย์) พระเอกาทศรศ ได้ถวายเครื่องราชบรรณาการของกษัตริย์ประเทศลังกาให้แก่ท่านแต่ท่านไม่ยอมรับ และถวายคืนแก่พระสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระเอกาทศรถ เพื่อให้ทรงประกาศเป็นเครื่องหมายแห่งชัยชนะของชนชาติไทย 

ต่อมา กลางรัชกาลพระเอกาทศรส ได้เกิดกบฏพระพิมลธรรม ยึดอำนาจในกรุงศรีอยุธยา เจ้านายสายสมเด็จพระนเรศวร (ราชวงศ์พระร่วง) รวมทั้งขุนศึก เหล่าทหารที่กอบกู้เอกราชให้กับชนชาติไทย ล้วนถูกกำจัดสิ้น ไพร่ฟ้าเดือดร้อนทั้งแผ่นดิน ไม่เว้นแม้วัดป่าแก้ว ก็ถูกกวาดล้าง พระสงฆ์ทั้งหลายในวัดต่างหลึกเร้นสู่ป่าเขาอรัญประเทศ กระจัดกระจายไป


สมเด็จพระราชมุนีสามีรามคุณูปมาจารย์ จึงอาศัยสำเภากลับสู่แดนเกิด เพื่อเผยแผ่พระธรรมคำสั่งสอนของพระบรมศาสดา สืบต่อพระพุทธศาสนา ในดินแดนภาคใต้ ผู้คนทั้งหลาย เรียกท่านว่า "สมเด็จพะโคะ" หรือ อึกนามหนึ่งว่า "หลวงปู่ทวด" นั่นเอง

เมื่ออ่านมาถึง  อักษรวรรคสุดท้าย ท่านสาธุชนทั้งหลาย คงจะเข้าใจถึงความสำคัญในการเผยแผ่ธรรม ในภาคใต้นั้น  มีความสำคัญต่อประเทศและประชาชนอย่างไร  ท่านทั้งหลาย คือผู้ที่ถูกเลือก ให้เขียนประวัติศาสตร์ชนชาติไทยอีกครั้ง  ในการรักษาผืนแผ่นดินไทยให้ร่มเย็นเป็นสุข  ด้วยกระแสธรรม


ขออนุโมทนา  กุศลจิตศรัทธาของทุกท่าน ที่ได้มีส่วนร่วม  และเป็นกำลังใจ  ในครั้งนี้  ขอบุญกุศล จงดลบันดาลให้ความเจริญ ก้าวหน้า   สิ่งปรารถนาทั้งหลาย  จงบังเกิดผลโดยทันตา เทอญ  เจริญพร

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

พลังเหนือโลก 6 (คำสอนพระอาจารย์ธรรมบาล 25 กุมภาพันธ์ 2558)






โวล์ฟ ถูกนำตัวไปพบกับ Lavrenti Beria หัวหน้าตำรวจลับKGB ซึ่งได้แจ้งให้ โวล์ฟทราบว่า  "สตาลิน" ผู้นำสูงสุดของรัสเซีย ต้องการพบเขาด่วน เป็นการส่วนตัว...


   แต่เขาจะต้องใช้ความสามารถเข้าไปพบสตาลินด้วยตัวเอง โดยผ่านด่านคุ้มกันของทหารหน่วยรบพิเศษจำนวนนับพันที่ทำหน้าที่อารักขา ซึ่งพร้อมที่จะสังหารทุกชีวิตที่ผ่านเข้าไปโดยไม่ได้รับอนุญาต และสตาลลินก็ไม่ได้มีคำสั่งอนุญาตให้ทหารเหล่านั้น ปล่อยให้ โวล์ฟ ผ่านเข้าพบเป็นกรณีพิเศษแต่อย่างใด !!

สรุปคือ...ถ้าโวล์ฟผ่านเข้าไปได้ก็ได้พบ ผู้นำสตาลิน ..แต่... ถ้าผ่านไม่ได้ก็ตายสถานเดียว !!



จากนั้นเจ้าหน้าที่KGB ได้นำตัวของโวล์ฟไปยังนอกปราสาทที่พักของสตาลินอันเป็นเขตหวงห้ามพิเศษตั้งอยู่ชานเมืองKuntsevo 



ภายในตัวปราสาท ได้มีคำสั่งด่วนให้อารักขารักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวดสูงสุด 
         โดยเฉพาะหน้าห้องสตาลิน ได้เสริมกำลังเข้าไปอีกหนึ่งกองร้อย ให้ทำการสกัดกั้นสังหารทุกสิ่งไม่ให้ผ่านเข้ามาได้ ไม่เว้นแม้แต่ มด แมง แมลง หนู 


โวล์ฟ ภายใต้เครื่องแต่งกายพลเรือนปกติ หยุดนิ่งทำสมาธิอยู่หน้าปากทางเข้าคฤหาสน์นั้นพักหนึ่ง ท่ามกลางการจับจ้องของเจ้าหน้าที่KGBที่คอยดูเหตุการณ์อย่างระทึก เพราะพวกเขารู้ว่านี่คือการทดสอบความสามารถโวล์ฟ โดยสตาลินผู้นำสูงสุดของรัสเซีย


โวล์ฟ เริ่มออกก้าวเดินผ่านหน่วยอารักขารบพิเศษ ไปเรื่อยๆ แต่ละด่าน ทุกด่านล้วนมีพฤติกรรมเหมือนกันคือ ทหารเหล่านั้นทำความเคารพโวล์ฟอย่างเข้มแข็ง  และเปิดไม้กั้นให้โดยปราศจากการตรวจตราใดใดทั้งสิ้น


โวล์ฟ เข้าประตูภายในตัวปราสาท ผ่านห้องต่าง ๆ ที่ประดับตกแต่งอย่างพิเศษปูพรมขนแกะอย่างดี ภาพเขียนสีน้ำมันขนาดยักษ์ที่แขวนอยู่บนฝาผนัง เขาขึ้นบันไดสู่ชั้นบนซึ่งเป็นเขตหวงห้ามสูงสุด มีหน่วยล่าสังหารรบพิเศษพร้อมปืนกลมือที่ขึ้นลำพร้อมยิงประจำอยู่ทุกขั้นบันได ต่างล้วนชิดเท้าทำความเคารพโวล์ฟ ตลอดจนถึงประตูหน้าห้องโถงใหญ่ 


ทหารหน้าห้องเปิดประตูให้ โวล์ฟเดินตรงเข้าไปยังชายผู้หนึ่งที่ไว้หนวดขลิบปากกำลังนั่งทำงานอยู่กลางห้อง โดยไม่รู้ตัวว่าโวล์ฟได้เดินเข้ามาถึงตัวแล้ว   โวล์ฟ รู้ทันทีว่านี่คือ "สตาลิน" ผู้นำสูงสุดของรัสเซีย
          "ท่านผู้นำ...ท่านสตาลิน.." โวล์ฟ ส่งเสียงเบา ๆ เรียก


      สตาลิน ผู้นำสูงสุดแห่งรัสเซีย เงยหน้ามองโวล์ฟด้วยสายตาตกตะลึง เพราะคาดไม่ถึงว่าโวล์ฟจะสามารถฝ่าแนวอารักขาเข้ามาถึงตัวได้

ตาลินซึ่งอยู่ในสภาพฉงนสนเท่ห์และทึ่งในความสามารถพิเศษของโวล์ฟ ที่ผ่านแนวป้องกันที่เข้มแข็งสุดยอดมาได้โดยปราศจากการขัดขวาง สตาลินได้สอบถามโวล์ฟว่า ใช้วิธีใด แบบไหน จึงสามารถผ่านแนวป้องกันเข้ามาถึงตัวเขาได้ดั่งปาฏิหารย์เช่นนี้



โวล์ฟ ได้เปิดเผยขั้นตอน วิธีการฝ่าแนวป้องกัน จนถึงตัวสตาลิน อย่างละเอียดว่า 
          
"... ผมได้ใช้พลังสมาธิ(Enlighterment Power)กำหนดให้ใจเห็นภาพของ Lavrenti Beria หัวหน้าหน่วยสืบราชการลับKGB ซึ่งเป็นผู้แจ้งให้โวล์ฟทราบว่า ท่านสตาลินต้องการพบด่วน

เมื่อได้กำหนดภาพ(image) ของหัวหน้าKGB ในใจจนชัดเจนแล้ว เขาก็สร้างภาพเชิงซ้อน(Imagine) ของตัวเขา จากนั้นซ้อนภาพของหัวหน้าKGB ไว้บนภาพของเขา (Layer) แล้วก็รักษาความรู้สึก ว่าประคองภาพทั้งสองให้ซ้อนกันพอดี ในขณะที่ผ่านแนวป้องกันอารักขา

ทหารที่อารักขาท่าน(สตาลิน) ทุกนาย ทุกด่าน จึงต่างมองเห็นผมเป็น Lavrenti Beria หัวหน้าหน่วยสืบราชการลับKGB และปล่อยให้ผมผ่านจนมาถึงตัวท่านผู้นำ

และเมื่อผมเข้ามาภายในห้องท่านผู้นำ ผมจึงหยุดใช้พลังสมาธิ (Enlighterment Power)ท่านผู้นำจึงเห็นผมตามสภาพปกติที่ผมเป็น ก็คือ โวล์ฟ เมสซิง ที่อยู่ตรงหน้าท่านในขณะนี้ ครับ


โวล์ฟ ได้เปิดเผยถึงความลับในการอ่านความคิด-จิตใจของบุคคลอื่น ไว้ว่า 


"...ผมตั้งสมาธิให้ใจนิ่ง เหมือนยืนอยู่ชายทะเลที่สงบเงียบ จากนั้นก็จะเห็นภาพความคิดของคนอื่น ๆ ไหลเข้ามาเป็นฉาก ๆ เหมือนดูละคร มันเป็นภาพที่เกิดขึ้นในใจ รับรู้ สัมผัสความรู้สึกไดเสมือนว่าเกิดขึ้นจริง ๆ...

ซึ่งทั้งนี้ก่อนที่ผมจะทำได้นั้น ต้องผ่านขั้นตอนของการฝึกฝนระลึกภาพตามแนวปฏิบัติของลามะพุทธอาจารย์ของผม เมื่อครั้งที่ได้ไปศึกษาจากอินเดียคราวนั้น มันเป็นมโนภาพที่ผมต้องกำหนดเวลา(Time) สถานที่(Space)ไว้ล่วงหน้า ต้องชัดจนสัมผัสรับรู้ได้ สิ่งนั้นจึงจะตรงกับความจริง หรือ เกิดขึ้นจริง อย่างที่เห็น

ความสามารถในการอ่านความคิด-จิตใจคน แม้แต่การรู้เหตุการณ์ล่วงหน้านั้น ไม่ใช่เรื่องไสยศาสตร์หรือความลึกลับอย่างที่ใคร ๆ คิด แต่เป็นกฏของธรรมชาติที่ถูกนำมาใช้ เป็นเพียงปรากฏขั้นต้นแรก

เริ่ม ที่เป็นสัญญาณบ่งถึงของความสำเร็จฝึกพลังสมาธิ(Enlighterment Power) เท่านั้น 
ซึ่งทุกคนสามารถฝึกฝนได้ ไม่ใช่แต่เฉพาะผม...ที่สำคัญคือต้องเริ่มเมื่อใจพร้อม และคุณต้องรู้ว่าเมื่อไร ที่ใจคุณพร้อม นี่แหละคือความลับ ที่คุณเท่านั้นจะเป็นคนเดียวที่รู้ เมื่อคุณได้ลงมือฝึกปฏิบัติเอง คุณก็สามารถกำหนดชีวิตคุณได้ตามปรารถนา เมื่อใจของคุณเป็นหนึ่งเดียวกับพลังสมาธิ(Enterlighterment Power)...."



ขอพลังแห่งพุทธานุภาพ  จงสถิตย์อยู่กับทุกท่าน  ดลบันดาลให้ปฏิบัติก้าวหน้า  สมปราถนา  เจริญในธรรมทุกท่านเทอญ 

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

พลังเหนือโลก 5 (คำสอนพระอาจารย์ธรรมบาล 24 กุมภาพันธ์ 2558)



จากวันที่ลามะอาจารย์บอกแก่โวล์ฟเพียงสองสัปดาห์ เขาก็ต้องเดินทางกลับด่วน ตามคำร้องขอของรัฐบาลประเทศโปแลนด์ ที่แต่งตั้งให้เขาเป็นที่ปรึกษาพิเศษของคณะรัฐบาล-กองทัพโปแลนด์  Poland Goverment Advisor WWII


ปี พ.ศ.2480 ณ กรุงวอซอร์ เมืองหลวงโปแลนด์ โวล์ฟ ได้ประกาศต่อหน้าประชาชนนับพันว่า 
        
        " ...ฮิตเล่อร์จะต้องตาย หากเปลี่ยนทิศทางการบุกไปทางด้านทิศตะวันออก...." 


สื่อมวลชนยุโรปกระพือข่าวคำพยากรณ์นี้ทันที ซึ่งแน่ละย่อมเป็นข่าวดีสำหรับประเทศที่ถูกกองทัพนาซีรุกราน แต่กลับเป็นข่าวร้ายสุดสุด สำหรับอาณาจักรเยอรมัน เพราะคำพยากรณ์ของโวล์ฟ ผู้เป็นที่ปรึกษาพิเศษของรัฐบาล-กองทัพโปแลนด์ ทั้งมีฉายาจอมอภินิหารย์ หรือ มนุษย์มหัศจรรย์ ผู้มีตาทิพย์ ซึ่งได้รับการยกย่องโดยสากลว่า "เป็นจริง เชื่อถือได้เต็มร้อย "


 ข่าวคำพยากรณ์ดังกล่าวของโวล์ฟ ล่วงรู้ไปถึงหน่วยเอสเอส(หน่วยสืบราชการลับนาซี) จึงรายงานสู่เบื้องบน เมื่อฮิตเล่อร์ได้รู้ข่าวนี้ จึงมีคำสั่งไปยังกองทัพทั่วภาคพื้นยุโรป ให้จับตัว โวล์ฟ เมสซิง มาให้ได้ โดยมีรางวัลนำจับสูงถึง 200,000 มาร์ค(2ล้าน2แสนบาท ขณะนั้น) ไม่ว่าเป็นหรือตาย และส่งหมายจับประกอบรูปถ่ายไปยังหน่วยทหารทุกพื้นที่ พร้อมกับให้หน่วยเอสเอสรับผิดชอบและรายงานเรื่องของโวล์ฟ โดยตรงต่อท่านผู้นำ(ฮิตเล่อร์) 


จากสาเหตุคำพยากรณ์ของโวล์ฟ ดังกล่าว คณะเสนาธิการของฮิตเล่อร์ ได้ประสานฝ่ายสงครามจิตวิทยา(IO)ปล่อยข่าวลวงออกไปว่า คำพยากรณ์ของโวล์ฟนั้น ไม่เป็นความจริง โดยเปลี่ยนแปลงข้อความคำทำนายของนอสตร้าดรามุส(นักพยากรณ์ของโลก) เป็นว่า "...ฮิตเล่อร์ คือผู้ปลดปล่อยโลก รวมทั้งโปแลนด์" พิมพ์เป็นใบปลิวทิ้งจากเครื่องบินไปทั่วประเทศโปแลนด์ และยุโรป


หลังจากโปรยใบปลิวแล้ว ฮิตเล่อร์ก็สั่งให้กองทัพนาซีบุกเข้ายึดประเทศโปแลนด์ในทันทีแบบสายฟ้าแลบ ชนิดไม่ให้ตั้งตัวโดยบุกเข้ายึดกรุงวอร์ซอ(เมืองหลวงโปแลนด์) ภายในเวลาไม่ถึง24ชม. โดยปราศจากการต่อต้านจากกองทัพแห่งชาติโปแลนด์ หน่วยเอสเอสได้ส่งกำลังออกค้นหา โวล์ฟ เมสซิง ตั้งด่าน ค้นอาคารทั่วกรุงวอร์ซอ เพื่อจับกุมตัวให้ได้ตามคำสั่งท่านผู้นำ


ขณะที่กองทัพนาซีเคลื่อนเข้ายึดกรุงวอร์ซอ โวล์ฟ ไม่อาจหลบหนีออกนอกเมืองหลวงได้ทันท่วงที ในช่วงเวลาอันวิกฤตนั้น เขาได้อาศัยซ่อนในร้านขายเนื้อโดยซุกตัวอยู่ในตู้ แต่ก็ไม่อาจพ้นจากการจับกุมของหน่วยเอสเอส แห่งกองทัพนาซีไปได้



โวล์ฟ ถูกนำตัวไปยังด่านตรวจชั่วคราวของทหารนาซี นั่งอยู่ตรงหน้านายทหารผู้รับผิดชอบด่านนั้น เพื่อทำการไต่สวนโดยมีทหารนาซีถือปืนกลรายล้อมเกือบร้อย
           
       " ... แกเป็นใคร ? " นายทหารนาซีถาม
            
         " ผมเป็นพลเมืองโปแลนด์คนหนึ่ง " โวล์ฟตอบ
            นายทหารนาซีมองหน้าโวล์ฟ แล้วหยิบหมายจับซึ่งมีรูปของโวล์ฟขึ้นมาแล้วโยนไปตรงหน้าโวล์ฟ พร้อมทั้งตะคอกใส่หน้า โวล์ฟ ว่า
          
 " ไอ้บัดซบ ! ไอ้โกหก ... แกคือ โวล์ฟ เมสซิง ที่ทำนายให้ร้ายท่านผู้นำ(ฮิตเล่อร์) ของเรา...ทหาร จัดการมัน.." นายทหารนาซีหันไปพยักหน้ากับทหารที่ยืนถือปืนกลมืออยู่ด้วย

ทันใด ทหารคนหนึ่งก็ใช้พานท้ายปืนกระแทกไปที่ปากของโวล์ฟ จนสลบฟุปไปกับโต๊ะฟันหัก 6 ซี่ เลือดกระจายเต็มโต๊ะ นายทหารสั่งให้เอาร่างของโวล์ฟที่สลบนั้นไปขังเพื่อรอส่งมอบให้กับหน่วยเอสเอสต่อไป

โวล์ฟ ฟื้นจากสลบขึ้นมาท่ามกลางความมืดและหนาวเหน็บ เขารวบรวมพลังสมาธิ(Enlighterment Power)จนเห็นภาพนิมิต(Imagine)ของทหารยามภายนอกอย่างชัดเจน ตามที่ได้ศึกษาฝ ึก ปฏิบัติมาจากลามะพุทธผู้เป็นอาจารย์ ว่าทหารที่ควบคุมเขาอยู่นับร้อยนั้นพากันเดินเข้าไปในห้องขัง 

และทหารผู้หนึ่งใส่กุญแจห้องขังนั้น โดยมีทหารทั้งหมดอยู่ภายใน จากนั้นทหารคนนั้นก็มาไขกุญแจนำตัวเขาออกจากที่คุมขัง พร้อมกับนำไปปล่อยในที่ปลอดคน 

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็เป็นไปตามนิมิตนั้นดุจดั่งปาฏิหารย์(ปรากฏตามคำสอบสวน-รายงานของหน่วยเอสเอส ในกรณีดังกล่าวนี้) สิ่งที่เกิดขึ้นนับเป็นครั้งแรกที่โวล์ฟ ได้ใช้พลังสมาธิ(Enlighterment Power)เอาชีวิตรอดจากความตายได้ สมดั่งที่อาจารย์เขาได้บอกไว้นั้น...แต่มันจะหมดเคราะห์ร้ายของเขาเพียงแค่นี้หรือ.... ?

โวล์ฟ ได้หลบหนีทหารนาซี โดยซ่อนตัวไปกับรถบรรทุกหญ้าแห้ง ร่วมผู้อพยพลี้ภัยสงครามนับพันเข้าสู่เมืองBrest Litovvsk ของประเทศรัสเซีย ได้อย่างปลอดภัย 


เมื่อเข้าสู่ประเทศรัสเซีย โวล์ฟ ตรงไปยังกระทรวงวัฒนธรรมรัสเซีย และเข้าพบ รมว.วัฒนธรรม เมื่อทำการทดสอบความสามารถเหนือมนุษย์ของโวล์ฟ แล้ว รมว.วัฒนธรรม จึงตกลงว่าจ้าง โวล์ฟ ให้เป็นที่ปรึกษาพิเศษ
     
 

  โดยมอบหมายให้ทำหน้าที่เดินทางไปยังเมืองต่าง ๆ เพื่อเปิดการแสดงสาธิตพลังสมาธิ( Enlighterment Power)เหนือมนุษย์ เป็นการเสริมกำลังใจให้แก่กองทัพ และะประชาชนชาวรัสเซีย ให้เชื่อมั่นว่าจะชนะกองทัพนาซีของฮิตเล่อร์ได้ ด้วยพลังเหนือธรรมชาติ กระทรวงวัฒนธรรมรัสเซีย ได้ตั้งชื่อการสาธิตพลังสมาธิ(Enlighterment Power) ของ โวล์ฟ เมสซิง ว่า "การทดลองทางจิตวิทยา"(Parapsychology Experiment


โวล์ฟ ได้แสดงความสามารถแห่งพลังสมาธิ (Enlighterment Power)ในการอ่านจิตใจของผู้นำทางทหารระดับสูงของรัสเซีย เข้าไปถึงระดับการวางแผนยุทธศาสตร์ อีกทั้งสามารถพยากรณ์ผลการรบในยุทธภูมิล่วงหน้าได้อย่างถูกต้องเกินร้อย


พลังสมาธิ(Enlighterment Power) ของ โวล์ฟ ในส่วนของการพยากรณ์ผลการรบล่วงหน้าอย่างถูกต้องทุกสมรภูมิ ทำให้ทางกองทัพของโซเวียตหวั่นวิตกเป็นอย่างยิ่ง เพราะนอกจากการแสดงของโวล์ฟ จะขัดต่อหลักการของลัทธิคอมมิวนิสต์ยุคสตาลินชนิดขาวกับดำ ในการห้ามไม่ให้เชื่อถือสิ่งลึกลับหรือแม้แต่การนับถือศาสนา 


การนำเสนอต่อมวลชนของโวล์ฟ ซึ่งเป็นสิ่งแปลกใหม่ และแม้เหตุการณ์จะเกิดขึ้นจริงตามคำพยากรณ์ของโวล์ฟก็ตาม ทางการรัสเซีย โดยกระทรวงประชาสัมพันธ์ได้ให้ผู้อำนวยการแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางจิตเวช  แถลงผ่านหนังสือพิมพ์ปราฟดา ว่า "การล่วงรู้อนาคต หรือ การอ่านความคิด-จิตใจคนไม่มีอยู่จริง และเป็นไปไม่ได้ในทางวิทยาศาสตร์และการแพทย์...." 

ดังนั้น ขณะที่ โวล์ฟ เมสซิง กำลังสาธิตพลังสมาธิ Enlighterment Power อยู่ที่เมืองGomel ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของรัสเซีย อยู่นั้น


ทันใด เจ้าหน้าหน่วยสืบราชการลับรัสเซีย(KGB)   ก็ได้แสดงตนและประกาศผ่านเครื่องขยายเสียงบนเวทีว่า 

        " ...เรามีความเสียใจอย่างยิ่งต่อผู้มีเกียรติทุกท่าน ที่ต้องจบการสาธิตของ โวล์ฟ เมสซิง เพียงเท่านี้..." 

      จากนั้น โวล์ฟ ก็ถูกเจ้าหน้าที่ KGB นำตัวออกไปขึ้นรถ ท่ามกลางความมตกตลึงพรึงเพริดของผู้เข้ารับชมจำนวนพัน......

...... โวล์ฟ  จะเจอกับอะไร ?  ตายหรือไม่  โปรดติดตามตอนต่อไป ...

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

ตรวจสอบสภาพจิต (คำสอนพระอาจารย์ธรรมบาล 23 กุมภาพันธ์ 2558)







ก่อนที่เราจะเข้าสู่บทต่อไปของ the Enlighterment Power ตอนที่ 5 ....วันนี้เรามาลองตรวจสอบสภาพจิตของแต่ละท่านกันดูก่อน  


เป็นแบบทดสอบที่สถาบันจิตวิทยาระดับโลกนำมาใช้  เอาแค่จิ๊บ  ๆ 6 แบบ ก็คงพอ



แบบทดสอบที่1 ตรวจสภาพความแปรปรวนของอารมณ์ .....ตามภาพที่เห็น  ถ้าอารมณ์ดีจะเห็นเป็นหญิงสาว   แต่อารมณ์ขุ่นมัว  จะเห็นเป็นภาพแม่มด


แบบทดสอบทีื 2 ตรวจสภาพ ความรัก และ ความหวัง .... โปรดดึงสายตาเดินล้อมภาพนี้ 3 รอบแล้ว และตั้งใจมองรูปหัวใจในภาพ ถ้าคุณเห็นหัวใจกระโดด แสดงว่า สภาพความรักของคุณเกิดการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญภายในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมา


แบบทดสอบที่ 3 ตรวจสภาพส่วนลึกของจิตใจ ..... ผู้ชายบางคนมีนิสัยแบบผุ้หญิงบ้าง ส่วนผู้หญิงบางคนมีนิสัยแบบผู้ชายบ้าง เมื่อมองภาพนี้วินาทีแรก ถ้ามองคล้ายเป็ด จะมีนิสัยเป็นผู้ชายมากกว่า แต่หากมองคล้ายกระต่าย จะมีนิสัยเป็นผู้หญิงมากกว่า 


แบบทดสอบที่ 4 ตรวจสภาพความกดดันภายในจิตใจ ..... นี่เป็นภาพนิ่ง ถ้าคุณเห็นภาพถ่ายเคลื่อนไหว แสดงให้เห็นว่า คุณมีแรงกดดันด้านชีวิตความเป็นอยู่มากเกินไป และมีอารมณ์ผันผวนค่อนข้างมาก


แบบทดสอบที่ 5 ตรวจสอบสภาพความเครียดภายใน.... ภาพนี้เป็นภาพนิ่ง ผู้ที่ดูภาพยิ่งมีความเครียดมาก ภาพก็จะหมุนเร็วยิ่งขึ้น แต่ผู้ที่ไม่เครียด เช่นเด็กๆ เมื่อดูภาพนี้มักจะเห็นเป็นภาพนิ่งธรรมดา 


แบบที่ 6 ตรวจสภาพ การปรับตัวเข้ากับสังคม และสิ่งแวดล้อม .... เชื่อไหมว่า บรรดาเส้นนอนในภาพนี้ เป็นเส้นขนานทั้งนั้น คนที่ได้รับผลกระทบมากจากปรากฏการณ์สังคมทางลบ เมื่อมองภาพนี้แล้วจะรู้สึกว่า เส้นนอนทั้งหลายมีความโค้งและไม่ขนานกัน เชิญทดสอบ ลองพิสูจน์ด้วยตนเอง 

สำหรับผู้ที่ปฏิบัติสมาธิอย่างถูกวิธี  จะมองเห็นภาพเหล่านี้แตกต่างไป เพราะสภาพจิตได้ถูกควบคุมให้นิ่งสงบ  นี่คือผลทางบวก ที่เหนือกว่าของผู้ปฏิบัติ



ด้วยอำนาจแห่งพุทธานุภาพ ขอความผาสุข สมหวังจงบังเกิดแด่ทุกท่านทั่วกันเทอญ  เจริญพร

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

พลังเหนือโลก 4 (คำสอนพระอาจารย์ธรรมบาล 20 กุมภาพันธ์ 2558)

ก่อนที่จะต่อ the Enlighterment Power ในตอนที่ 4 ก็ขอทำความเข้าใจ กับท่านผู้อ่าน กันเสีก่อนว่า 
อย่าอ่านเพียงผ่าน ๆ หรือ เพื่อความสนุก ตื่นเต้น  แต่ขอให้อ่านด้วยความพิจารณา เทียบเคียง ไปด้วย  

ที่สำคัญคือ  การนึกภาพ การอ่านคือการฝึกนึกภาพ ...ดังนั้น คนสมัยก่อนจึงส่งเสริมการอ่าน เพราะ ภาพ หรือ Image นั้นมีความสำคัญต่อการมีชีวิตอยู่ของมนุษย์อย่างยิ่ง .... สิ่งที่เราเป็นมา หรือ จะเป็นไป  ส่วนใหญ่เราจะมีภาพอยู่ใน "ใจ" ของเรา ก่อนแล้ว

จากนั้น "ใจ" จะนำภาพนั้น ๆ ไป create ให้เป็น Physical ที่เราสามารถแตะต้อง หรือเป็นเช่นนั้นได้  พระพุทธองค์ จึงทรงสอนว่า "สิ่งทั้งหลาย สำเร็จได้ด้วยใจ" เราเห็นภาพเราเป็นอย่างไร ไม่นานเราก็จะเป็นอย่างนั้น ฝรั่งมีคติว่า U can be, what U want to be...
เพื่อไม่ให้เสียเวลารอคอย ติดตามตอนที่ 4  ต่อไป...



โวล์ฟ ได้มุ่งมั่นฝึกฝนEnlighterment Power ในรูปแบบของโยคีชมพูทวีป และศึกษาศาสนา-ปรัชญาบูรพาทิศ ถึงระดับที่สามารถส่งกระแสจิต รับรู้ และอ่านจิตใจ ความคิดผู้อื่นได้ เป็นที่ประจักษ์อย่างอัศจรรย์ เช่นกรณีของ เคานต์ ซาโต ริสกี้(Count Czartoryski) ซึ่งเป็นเชื้อพระราชวงศ์โปแลนด์ ขณะนั้นดำรงฐานะเป็นมหาเศรษฐีแห่งโปแลนด์ ภายในงานเลี้ยงรับรองของรัฐ


โดยเคานต์ ซาโต ได้ท้าทายความสามารถของโวล์ฟ ว่า หากค้นหาสร้อยเพชรประจำตระกูลที่สูญหายไปได้ เขาจะมอบเงินรางวัลให้แก่โวล์ฟ 250,000เหรียญโปแลนด์ ซึ่งเคานต์ซาโต ได้เคยแจ้งความกับตำรวจให้สืบค้นมาแล้วก่อนหน้านั้น แต่เจ้าหน้าที่จนหนทาง ค้นหาไม่พบ (สร้อยเพชรนั้นมีค่าเกือบล้านเหรียญโปแลนด์) 


โวล์ฟ รับคำท้านั้นทันที เขาหลับตาทำสมาธิเพียงชั่วขณะ ต่อหน้าแขกในงาน ซึ่งรวมทั้งผู้บัญชาการตำรวจเจ้าของคดีสร้อยเพชรที่สูญหาย สักครู่หนึ่งเขาก็ลืมตาขึ้น และบอกให้เคานต์ซาโต นำเขาไปยังปราสาทของท่าน  แขกเหรื่อในงานเมื่อได้ยินก็ต่างขอติดตามไปด้วยกว่าครึ่งร้อย 

เมื่อไปถึงปราสาท โวล์ฟ ได้ถามท่านเคานต์ซาโต ว่า ห้องนอนของลูกคนใช้ในปราสาทอยู่ตรงไหนให้ช่วยนำไปด้วย ท่านเคานต์เดินนำหน้าโวล์ฟ และแขกที่ตามมาจากงานเลี้ยง หลังจากเข้าประตูห้องคนใช้ โวล์ฟ เหลียวมองหาอยู่พักหนึ่งก็หยิบตุ๊กตาหมี ซึ่งเป็นของลูกคนใช้


              
เขาขอให้ท่านเคานต์ซาโต ผ่าตุ๊กตาหมีนั้นออกมา ปรากฏว่าพบสร้อยเพชรประจำตระกูลที่สูญหายถูกซ่อนอยู่ภายในตุ๊กตานั้น ต่อหน้าแขกระดับสูงของรัฐที่ติดตามมา

นับแต่นั้นมา โวล์ฟ ก็ได้รับเชิญอย่างเป็นทางการ จากผู้นำนานาประเทศ ให้ไปสาธิตพลังสมาธิ เช่น ญี่ปุ่น, อาเย็นติน่า, บราซิล, ออสเตรีย, ฝรั่งเศส, อังกฤษ, สวิสเซอแลนด์ เป็นต้น

ในปี พ.ศ.2470 โวล์ฟ ได้รับเชิญจากรัฐบาลอินเดีย มหาตมะ คานธี ได้ขอให้เขาแสดงพลังสมาธิ ต่อหน้าบุคคลสำคัญของรัฐบาลอินเดีย โดยให้โวล์ทำสมาธิ แล้วมหาตมะ คานธี จะเป็นผู้นึกในใจ ให้โวล์ฟ ใช้ ทำตามที่มหาตมะ คานธี นึกนั้นให้ถูกต้อง


โวล์ฟ ถูกแยกให้อยู่อีกห้องหนึ่ง ซึ่งห้องที่มหาตมะ คานธี อยู่นั้นประกอบไปด้วยนักวิชาการ และผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์สาขาประสาทวิทยา ผู้นำศาสนาฮินดู รวมทั้งบุคคลชั้นนำในรัฐบาลอินเดีย มหาตมะ คานธี ได้เขียนข้อความใส่ไว้ในซองปิดผนึก โดยไม่มีใครทราบข้อความนั้น

หลังจากที่เขียนเสร็จ มหาตมะ คานธี ก็นั่งนิ่งนึกสิ่งที่เขียนไว้ และรอพิสูจน์ผล ว่าโวล์ฟ จะสามารถรู้ความคิดนั้นหรือไม่ 


เหตุการณ์อีกห้องที่โวล์ฟอยู่ คือ โวล์ฟ ได้ลืมตาจากสมาธิ แล้วลุกขึ้นไปหยิบขลุ่ย(สำหรับเป่าในพิธีทางศาสนาของฮินดู) จากนั้นเดินออกจากห้อง นำขลุ่ยนั้นไปมอบให้กับมือมหาตมะ คานธี

มหาตมะ คานธี จึงเปิดผนึกซองที่เขียนไว้ว่าจะนึกอะไร?   ต่อทุกสายตาในห้อง ในกระดาษนั้นมีข้อความว่า "จงไปหยิบขลุ่ย และนำมันมาให้ฉัน ในห้องนี้" มหาตมะ คานธี ได้ยกย่องโวล์ฟว่า "เป็นผู้บรรลุความวิเศษแห่งโยคะ(ฌาน)..."


โวล์ฟ ได้อาศัยช่วงเวลาที่ได้รับเชิญจากรัฐบาลอินเดีย ไปกับการศึกษา-ปฏิบัติสมาธิ เพิ่มเติม จากเหล่าโยคี ลามะพุทธ ตัวจริง-มีชีวิตจริง ในแถบภูเขาหิมาลัย เป็นเวลาหลายปี สมดั่งที่เขาไฝ่ฝันมาตลอด นับตั้งแต่ครั้งเป็นเด็กที่ต้องศึกษา-ฝึกฝนด้วยตนเอง จากตำราที่ถูกทิ้งแล้วเท่านั้น

   ที่วัดถ้ำเชิงเขาหิมาลัย โวล์ฟได้พบกับลามะพุทธอายุเกินสองร้อยปี โวล์ฟจึงได้เข้าพิธีสาบานตน ฝากตัวเป็นศิษย์เรียนสมาธิแบบพุทธธิเบต  นับว่าเป็นครั้งแรกในชีวิตของ โวล์ฟ ที่ได้มีหลักธรรมประจำใจ 


   วันหนึ่งลามะผู้เป็นอาจารย์นั้นได้บอกแก่โวล์ฟว่า 
         "...ภายใน 15 วันนี้เธอจะต้องเดินทางไปจากชมพูทวีป หลังจากนั้นต้องพบเคราะห์กรรมอย่างแสนสาหัส 
         เธอต้องใช้พลังสมาธิ (Enlighterment Power) ที่ได้เรียนและปฏิบัติไปนี้เท่านั้น
         จึงจะช่วยเธอจะรอดพ้นเคราะร้ายทั้งหมดได้...ไม่มีวิธีอื่นนอกเหนือไปจากนี้..." 


ขอความผาสุขสวัสดี จงบังเกิดมีแด่สมาชิกทุกท่าน ขอจงมีความสุขสำราญบานใจ ในวันปีใหม่จีน หวังสิ่งใดจงได้ดั่งหวัง  อู๋จี้ ตั่งตั๋ง  เซ็งลี้ฮ้อ ขอสิ่งใดอันเป็นกุศล จงสำฤทธิผล ในกาลทุกเมื่อเทอญ  เจริญพร



  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

พลังเหนือโลก 3 (คำสอนพระอาจารย์ธรรมบาล 19 กุมภาพันธ์ 2558)


เช้าต่อมา ขณะที่อาจารย์แพทย์ได้นำนักศึกษาใหม่ เข้ามาศึกษาภาคปฏิบัติในโรงพยาบาล ได้มีการตรวจคนไข้ทั่วไป และให้นักศึกษาแพทย์เรียนรู้ความแตกต่างการเต้นของชีพจรระหว่างคนที่มีชีวืต กับคนที่ตายแล้ว อาจารย์จึงให้สัปเหร่อไปเข็นศพคนไข้ที่ตายมาให้นักศึกษาทดสอบเป็นตัวอย่าง


สัปเหร่อจึงไปเข็นเอาร่างของโวล์ฟ ซึ่งขณะนั้นก็คือศพศพหนึ่งเข้ามา อาจารย์ได้ให้นักศึกษาแพทย์หลายคนได้ทดสอบจับชีพจรของคนป่วยซึ่งยังไม่ตาย กับร่างของโวล์ฟเพื่อเปรียบเทียบ ต่างคนก็ต่างบันทึกลงในสมุดรายงานของตนว่า "ชีพจรของโวล์ฟได้หยุดเต้น-คือศพคนตายไปแล้วเหมือนกันหมด" 


  จนกระทั่งเกือบจะถึงนักศึกษาแพทย์คนสุดท้าย ที่ได้เข้ามาเข้าจับชีพจรสรีระของโวล์ฟ ก็พบว่า "มีการเต้นของชีพจร แต่แผ่วเบามากจนแทบไม่อาจสังเกตุรู้สึกได้ นักศึกษาแพทย์ที่พบเช่นนั้นดังกล่าวจึงแจ้งให้อาจารย์ทราบ และตรวจสรีระ(ศพ) ของโวล์ฟอย่างละเอียด อาจารย์แพทย์ก็ตกตะลึงเพราะพบว่า มีการเต้นของชีพจรแผ่วเบา แต่หัวใจไม่เต้น..


   ความโกลาหลจึงเกิดขึ้นในทันที อาจารย์สั่งให้นักศึกษาแพทย์ทั้งหมดเข็นสรีระ(ศพ) ของโวล์ฟที่แข็งแล้วนั้น เข้าห้องฉุกเฉิน เพิ่มระดับความร้อนภายในห้อง และดำเนินการทางการแพทย์ทันที หลังจากนั้นไม่นาน โวล์ฟซึ่งสักครู่มีสภาพเป็นศพกลับลุกขึ้นนั่งบนเตียงคนไข้อย่างคนปกติ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น สร้างความแตกตื่นให้กับอาจารย์-นักศึกษาแพทย์-คนไข้ ต่อปรากฏการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นในโรงพยาบาลใดของประเทศเยอรมันนีมาก่อน


ปรากฏหลักฐานตามรายงานของ ดร.อาเบล(Dr.Abel) หัวหน้าแพทย์ผู้เขี่ยวชาญทางด้านประสาทวิทยา ได้บันทึกถึงเหตุการณ์กรณีโวล์ฟ ที่เกิดขึ้นนี้ว่า 
 “...สภาพของโวล์ฟ เมสซิง เมื่อดูด้วยตาจะเหมือนกับศพ แต่ความเป็นจริงเป็นสภาวะอยู่ในการหลับลึก หรืออาการที่ไม่รู้สึกตัวอันเกิดจากการสะกดจิต...


     ความสามารถที่จะสะกดจิตตัวเองถึงระดับนี้ได้ จะต้องมีความชำนาญสูงอย่างยิ่ง เพราะเป็นการบังคับพฤติกรรมตนเอง(Catalepsy) ซึ่งเป็นการสร้างชีวิต หรือร่างกายพิเศษขึ้นอีกส่วนหนึ่งทำหน้าที่ดำรงสภาพการมีชีวิตที่เหนือกว่าที่เราจะเข้าใจ แต่สามารถทรงสภาพอยู่ได้ ซึ่งเป็นสภาพของPlasma ในขณะที่คนทั่วไปอาจจะเข้าใจว่าตาย หรือ เสียชีวิตแล้ว 

 การที่จะสร้างกายพิเศษเช่นว่านี้ หรือ สะกดจิตให้ร่างกายอยู่ในสภาวะหลับลึกดังเช่นเกิดขึ้นกับโวล์ฟนี้ จะต้องเป็นโยคีแถบเขาหิมาลัยในชมพูทวีปเท่านั้น จึงจะรู้วิธีการ หรือปฏิบัติได้ ซึ่งยังไม่เคยพบในประเทศแถบยุโรปมาก่อน......"  แต่ขณะที่เกิดเหตุนี้ขึ้นนั้น โวล์ฟ มีอายุได้เพียง 11 ปี

  จากเหตุการณ์ดังกล่าวนั้น  โวล์ฟ ได้รับการอุปถัมภ์จากคณะแพทย์ของโรงพยาบาล โดยจ้างให้ทำงานเป็นพนักงานส่งหนังสือของโรงพยาบาล  และเป็นผู้ที่แสดงปรากฏการณ์ประหนึ่งตาย(ทำสมาธิแบบโยคีแยกร่างแบบพิเศษ)ให้นักศึกษาแพทย์ได้ชม ในทุกบ่ายวันศุกร์ โดยเขาจะเริ่มทำสมาธิแยกร่างกายพิเศษ ออกจากร่างกายปกติ ร่างของเขาจึงอยู่ในสภาพที่ไม่ผิดกับศพ เพื่อให้นักศึกษาแพทย์แต่ละโรงพยาบาล-วิทยาลัยแพทย์-ผู้เชี่ยวชาญสาขาต่าง ๆ ได้ศึกษาเรียนรู้ปรากฏการณ์นี้ โดยจะเริ่มจากบ่ายวันศุกร์ และออกจากสมาธิ คืนสู่สภาพของมนุษย์ปกติในเที่ยงคืนของวันอาทิตย์


    โวล์ฟ เปิดเผยต่อคณะแพทย์ว่า เขาได้ใชัพลังสมาธิ(Enlighterment Power)กำหนดให้ รักษาสภาพร่างกายของเขาไว้ ให้คงสภาพทั้งที่ปราศจากลมหายใจตลอด 3 วัน  
              (หมายเหตุ....ในทางปฏิบัติสมาธิเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า " การเข้าฌาน สมาบัติ" ..... เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องและไม่สับสนในข้อมูล เพื่อสะดวกในการค้นคว้า ปฏิบัติ สำหรับผู้ใฝ่ศึกษา คือ ความแตกต่าง ระหว่าง ฌาน กับ สมาบัติ


    ฌาน  อ่านว่า ชาน แปลว่า นอกเหนือ, พิเศษ, ต่างหาก, ยื่นออกมา เป็นผลจากการฝึกสมาธิจนถึงขั้น 1ใน 8 เรียกว่าได้ "ฌาน" ซึ่งสามารถใช้อำนาจแห่งพลังสมาธิ  จะแบ่งออกเป็น 2  ระดับ คือ 

ระดับเริ่มต้น คือขั้นที่ 1 จะเสื่อมง่าย เหมือนถ่านBattery พลังน้อย ใช้ได้ไม่นาน ภาษาปฏิบัติเรียกว่า "อุปจารสมาธิ-ฌาน"  
ขั้นที่ 2-8  คือ ระดับสูงเรียกว่า "อัปปนาสมาธิ-ฌาน" ระดับนี้ไม่มีเสื่อม เหมือนพลังแสงอาทิตย์ไม่มีหมด 


ฌาน คือ สภาวะที่จิตอันระรึกรู้อารมณ์ และได้ถูกนำไปตั้งไว้ ณ ฐาน(ตำแหน่ง)ที่ได้กำหนดไว้เป็นการเฉพาะ ฐานที่ว่านี้เรียก ที่ตั้งของ "ใจ" หรือ มโน, มนัส, จูตู, เจโต, เจตสิก, กายในกาย ฯลฯ  
              สภาวะที่จิตระลึกรู้อารมณ์ เรียกว่า "สติ" เมื่อนำไปตั้งไว้ ณ ตำแหน่งของใจอย่างมั่นคง ไม่สั่นไหว ก็จะเกิดสภาวะจิตอีกดวงหนึ่ง อันทำให้เกิด ฤทธิ์ที่เหนือธรรมชาติขึ้น สภาวะจิตนี้เรียกว่า "อภิญญาจิต"
               และเมื่อผู้ปฏิบัติถึงขั้นระลึกรู้อารมณ์ ณ ขณะนั้นของการรวม "สติ" กับ "อภิญญาจิต" ได้ ตรงนี้แหละที่เรียกว่า "ฌาน" หรือ ได้ฌาน


จากนั้นผู้ปฏิบัติ นำเอาอารมณ์แห่งสภาวะการรวมของ "สติกับอภิญญาจิตนั้น ไปตั้ง ณ ฐาน(ภาษาปฏิบัติเรียกว่า นิยม อ่านว่า นิยะมะ แปลว่า ที่หมาย , ที่กำหนดไว้ ) นี้เรียกว่า "ทรง หรือ ทรงไว้ หมายความถึง รักษาอารมณ์นั้นไว้ ในการปฏิบัติ ทางพระพุทธศาสนาเรียกว่า "ธมฺม" อ่านว่า ธรรมะ แปลว่า ทรงไว้, ทรงสภาพ,รักษาไว้


การรักษาอารมณ์นั้นไว้ ณ ฐานที่ตั้งอันกำหนด จึงเรียกว่า "ทรงฌาน" หรือภาษาบ้าน ๆ เรียกว่า "เข้าฌาน"  ภาษาปฏิบัติเรียกอาการนี้ว่า "เข้าสมาบัติ" และเรียกรวม ๆ ว่า "ฌานสมาบัติ" ดังนี้


การทรงฌาน จะต้องผ่านการฝึก "ตั้งลม" ให้ได้ก่อนเป็นพื้นฐาน เพื่อใช้ในการรักษาฌาน ในการ "อธิษฐาน" เพื่อให้เกิดสิ่งต่าง ๆ อันเหนือธรรมชาติตามต้องการได้ โดยทำภาพที่ปรารถนานั้น ๆ ปรากฏขึ้นอย่างแจ่มชัดในอารมณ์ของฌาน จากนั้นจึง "ทรงไว้ หรือ รักษาไว้" นี้เรียกว่า "การอธิษฐานด้วยฌาน" อันสำเร็จได้ด้วยอภิญญาจิต ... ส่วนใหญ่ก็จะเรียกกันว่า "ได้อภิญญา" ก็คือ ได้สภาวจิตดังที่กล่าวนี้


   ... พฤติกรรมในการรักษาอารมณ์ไว้นี่แหละ ที่เรียกว่า "ธรรมารมย์" ที่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านทรงบัญญัติไว้ชัดเจนว่า "...ไม่ให้หลงติดในธรรมารมย์ นั้นก็คือ ในทางปฏิบัติคือไม่ให้หลงติดในฌาน เพราะเมื่อมีฤทธิแล้ว ก็จะท่องเที่ยวไป ในจักวาลต่าง ๆ บ้าง ทดสอบ ทดลอง หรือ ที่ทรงฌานได้สูง ก็เข้าฌานสมาบัติ อธิษฐานให้เวลาปกติสั้นลง คือ 100-200ปี เหมือนเวลาวันเดียว ...ทางจีนเรียกว่า "สำเร็จเป็นเซียน หรือ เต๋า" หรือเป็นอมตะ มีสภาพภายนอกปกติเป็นร้อย ๆ ปี ก็เกิดจากอำนาจของการทรงฌาน หรือ ผลของฌานสมาบัติ ดังเช่นปรากฏในพระไดรปิฏก กรณีพระเรวตะ เข้าฌานสมาบัติก่อนพระพุทธองค์ปรินิพพาน เวลาผ่านไปถึง 200ปี จึงมีผู้ไปพบท่าน และท่านก็ออกจากฌานสมาบัติ ลุกขึ้นอย่างมนุษย์ปกติเหมือนเวลาผ่านไปเมื่อไม่กี่นาที  ...เฉกเช่นกรณีเดียวกับที่ โวล์ฟ ได้แสดงการตายเสมือน (ตายแล้วฟื้น) ให้คณะแพทย์ดูนั่นเอง.. 


โวล์ฟ อายุได้ 14 ปี ก็ได้รับเชิญจากมหาวิทยาลัยแพทย์ต่าง ๆ ให้ไปแสดง "การตายเสมือน " และ ให้ข้อมูลประสพการณ์ในการทำสมาธิแก่ ครู อาจารย์ คณะแพทย์ทั่วยุโรป ทำให้ชื่อเสียงของเขาเริ่มเป็นที่รู้จักในหมู่ปัญญาชน-สังคมระดับสูงของยุโรป


เมื่อ โวล์ฟ อายุได้ 15 ปี เขาได้ทำให้ฝูงชนประจักษ์ถึงพลังแห่งสมาธิ ณ เมือง Winter Gaten ประเทศเยอรมันนี โวล์ฟ ได้แสดงการทรมาณตนแบบโยคี คือ นั่งอยู่บนปลายเหล็กแหลมอย่างน่าหวาดเสียว ซึ่งเป็นที่โจษจรรย์จนทำให้สื่อมวลชนเบอร์ลิน นำเสนอข่าวของเขาอย่างครึกโครม ชื่อเสียงของเขาจึงเป็นที่รู้จัก และติดปากประชาชนเยอรมัน และยุโรป ในฐานะมนุษย์มหัศจรรย์แห่งยุค
นี่เป็นเพียงแค่เริ่มต้น ของผู้ฝึกใช้พลังสมาธิEnlighterment Power แต่เส้นทางของผู้ปฏิบัติ  ย่อมมีแบบฝึกหัด และข้อสอบ  นั่นคือสิ่งปกติที่ทุกท่านต้องผ่าน  ไม่มีข้อยกเว้น  สำหรับโวล์ฟ  จะได้รับบททดสอบ สาหัส ขนาดไหน  เขาจะผ่านได้หรือไม่ ....



ติดตาม ใน Enligterment Power ตอนที่ 4  


ด้วยพลังแห่งพุทธานุภาพ จงดลบันดาลให้ สาธุชนผู้ใฝ่ในกุศลปฏิบัติ จงก้าวหน้าในธรรม เจริญยิ่งสำเร็จในทุกสิ่งที่ปรารถนา "อธิษฐานด้วยใจ" ทุกกาล เทอญ ....เจริญพร


  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS