ทุกครั้งที่แผ่นดินไทยภาคใต้ เกิดความไม่สงบสุข เต็มไปด้วยภยันตราย จากโจรผู้ร้าย และผู้ก่อความไม่สงบ พระสงฆ์เป็นฟันเฟืองอันสำคัญ ที่จะฟื้นฟูขวัญกำลังใจ ให้กับประชาชนพลเมือง ดุจดั่งบูรพาจารย์บรรพบุรุษไทย ได้กระทำมาแล้วในอดีต
การลงใต้เพื่อถ่ายทอดวิชชา เสริมส่วนที่ขาดแก่คณะสงฆ์ เพื่อให้เป็นที่พึ่งทางใจ ของประชาชนไทย คือการเขียนประวัติศาสตร์ อีกครั้ง ดั่งที่บูรพาจารย์เคยทำมา
ดังปรากฏในประวัติศาสตร์ไทยดังนี้
วันนี้จะเล่าถึงเรื่องประวัติศาสตร์ไทย ในครั้งอยุธยาตอนต้น เมื่อพระมหาธรรมราชา ได้ขึ้นครองราชย์ในอณาจักรอยุธยา ได้ทรงนิมนต์พระเถระจากวัดฤาษีชุม(วัดป่ามะม่วง) เมืองสุโขทัย อันสืบทอดวิชชา สมาธิมาแต่สมเด็จพระมหาเถระสรีสัทธาฯ ให้มาถ่ายทอดพระอภิธรรม คำสั่งสอน ณ อยุธยาอณาจักร
พระมหาธรรมราชา ทรงถวายที่ดิน ณ ป่าประดู่ชายเมือง สร้างเป็นโรงธรรม(วัด) จึงเรียกว่า "วัดประดู่โรงธรรม" ต่อมาประชาชนได้พากันปลูกต้นดอกแก้วรอบวัด จึงได้ชื่ออีกชื่อหนึ่งว่า "วัดป่าแก้ว" ถวายตำแหน่งเป็นที่ "สมเด็จพระพนรัตน์" ปกครองคณะสงฆ์ฝ่ายอรัญวาสี ทั่วสังฆมลฑล ประชาชนจึงเรียกพระนามท่านว่า "สมเด็จพระพนรัตน์ วัดป่าแก้ว"
สมเด็จพระพนรัตน์ ได้ทรงเป็นพระอาจารย์ถ่ายทอดคัมภีร์มหาจักพรรดิ์ฯ แด่สมเด็จพระนเรศวรครั้งทรงเจริญวัย อันสมเด็จพระนเรศวรฯ ได้ใช้ในการทำศึกสงคราม ชำนะทั่วสารทิศ ไร้ปัจจามิตร ทั้งหลาย กู้แผ่นดินไทยให้มีอิสรภาพ เป็นเอกราช จากทาสคืนสู่ความเป็นไท อีกครั้ง
ครั้นเมื่อสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทรงขึ้นครองราชย์ แผ่นดินตอนใต้อยุธยา คือ ตั้งแต่นครศรีธรรมราช ลงไปจรดปัตนานี ปีนัง ตรังกานู บรูไน มะละกา สิงหล ล้วนมัก ก่อเหตุเพศภัย กระทำให้เดือดร้อนแก่ประชาราษฏร์ ไม่สุขสงบได้
สมเด็จพระนเรศวรจึงทรงปรึกษาต่อ สมเด็จพระพนรัตน์วัดป่าแก้ว เพื่อขอขรัวครู ผู้ทรงวิทยาอาคม แตกฉานในการธรรม ให้ติดตามกองทัพเพื่อเป็นขวัญกำลังใจ ในการนำไพร่พลสู่ใต้ในครั้งนั้น
สมเด็จพระพนรัตน์ วัดป่าแก้ว จึงส่งพระครูเวทวิทยาคุณ ศิษย์เอกของท่านเป็นหัวหน้า พร้อมพระสงฆ์ตามขบวนอีก ๔ รูป รวมเป็น ๕ ครบองค์สงฆ์ ร่วมไปเป็นขรัวครูในกองทัพที่จักลงใต้นับแต่นั้น
ครั้นเมื่อกองทัพอยุธยามุ่งลงใต้ เลยผ่านเมืองนครเข้าสู่ป่าใหญ่ ทะลุออกอีกด้านกลายเป็นทุ่งกว้างสุดลูกหูลูกตา แต่กลางทุ่งมีควน(เขาเล็ก ๆ) พุ่งอยู่กลางเป็นที่อัศจรรย์ ท่านพระครูเวทฯ เห็นเป็นมงคลยิ่งดั่งในตำรามหายุทธ จึงบอกให้ให้ยั้งทัพ ตั้งค่าย ที่เหลือก็ตัดไม้มาปักทำเสาตะลุง(คอกช้าง) จึงเป็นที่มาของชื่อจังหวัดว่า "พัทลุง" มาจากคำว่า "ปักตลุง" คือ ปักเสาตะลุงช้าง)
ท่านพระครูเวทฯ นำพระอีก ๔ รูป เดินไปสำรวจเชิงควนที่ล้อมรอบไปด้วยต้นอ้อต้นแขมหนาแน่น เมื่อถางต้นอ้อเข้าไป จึงเห็นว่าเป็นถ้ำใหญ่ พอที่จะใช้ทำสังฆกรรมตามพระวินัยได้ จึงกำหนดเขตสงฆ์ ณ ตรงนั้นให้เป็นที่จำพรรษา และปฏิบัติธรรม (ต่อมาคือ ควนอ้อ หรือ เขาอ้อ ในปัจจุบัน)
วันหนึ่งท่านพระครูเวทฯ ได้พบกับพระอาคันตุกะอันมาแต่วัดใหญ่ เมืองนครศรีฯ เอาสามเณรน้อย มีนามว่า "ปู" อายุประมาณ ๑๒ ปี มาฝากเพื่อให้ไปเรียนต่อที่กรุงศรีอยุธยา ด้วยว่าเณรน้อยนี้ฉลาดหนักหนา แม้อายุน้อยก็ท่องตำรา ศึกษาบาลี รู้แจ้งได้ถ้วนทั่ว จนหมดภูมิอาจารย์ทั้งหลายที่วัดใหญ่จะถ่ายทอดได้ จึงฝากให้พระครูเวทฯ ช่วยส่งเสริมให้สามเณรน้อยได้เข้าไปศึกษาในกรุงศรีอยุธยา ด้วยเถิด
พระครูเวทฯ เห็นลักษณะท่าทางสามเณร "ปู" ดูผิวพรรณ วรรณะ ดุจดั่งผู้มีบุญ สมควรสนับสนุน จึงส่งสามเณรน้อยไปพร้อมกับ ทหารที่ต้องขึ้นล่องส่งรายงานถึงกรุงศรีฯ พร้อมกับจดหมายฝากฝังสามเณร "ปู" ให้ไปอยู่ที่วัดแคเพื่อศึกษาบาลี และระเบียบปฏิบัติที่จะรับใช้ เป็นศิษย์ สมเด็จพระพนรัตน์วัดป่าแก้ว ต่อไป
สามเณร "ปู" เมื่อเข้ามาในกรุงศรีฯ พำนักที่วัดแค เพื่อศึกษาระเบียบวัตรปฏิบัตร พร้อมกับไปศึกษาบาลีที่วัดลุมพลีนาวาส สามเณรปูขยันศึกษาหาความรู้ จนเชี่ยวชาญทางบาลี หาตัวจับมิได้ในอยุธยา
เมื่ออายุครบอุปสมบท สมเด็จพระพนรัตน์ทรงเป็นอุปฌายะ ได้ตั้งฉายา ว่า "ราโมธมฺมิโก" ในช่วงต้นแผ่นดินพระเอกาทศรศ
ลุ พ.ศ. ๒๑๔๙ ตรงกับรัชสมัยของสมเด็จพระเอกาทศรถ ประเทศสิงหล(ศรีลังกา ปัจจุบัน) เคยเป็นเมืองขึ้นของอยุธยา คิดแก้มือด้วยการทำพนันในการแปลธรรมะ (คัมภีร์) จึงส่งราชทูตมาท้าพนันกินเมือง กับ อาณาจักรอยุธยาเมืองแม่
คราวนั้นพระราโมธมฺมิโก(พระปู) แห่งวัดป่าแก้ว สามารถทำการแปลธรรมะ (คัมภีร์) ได้สำเร็จถูกต้องทุกประการ จนได้รับชัยชนะ
พราหมณ์ราชฑูต ราชฑูต ทั้ง ๗ ของสิงหหล(ศรีลังกา ปัจจุบัน)จึงยอมแพ้ สมเด็จพระเอกาทศรถทรงพระกรุณาโปรดเกล้าแต่งตั้งสมณศักดิ์ ให้กับพระราโมธมฺมิโก(พระปู) เป็นที่ “สมเด็จพระราชมุนีสามีรามคุณูปมาจารย์) พระเอกาทศรศ ได้ถวายเครื่องราชบรรณาการของกษัตริย์ประเทศลังกาให้แก่ท่านแต่ท่านไม่ยอมรับ และถวายคืนแก่พระสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระเอกาทศรถ เพื่อให้ทรงประกาศเป็นเครื่องหมายแห่งชัยชนะของชนชาติไทย
ต่อมา กลางรัชกาลพระเอกาทศรส ได้เกิดกบฏพระพิมลธรรม ยึดอำนาจในกรุงศรีอยุธยา เจ้านายสายสมเด็จพระนเรศวร (ราชวงศ์พระร่วง) รวมทั้งขุนศึก เหล่าทหารที่กอบกู้เอกราชให้กับชนชาติไทย ล้วนถูกกำจัดสิ้น ไพร่ฟ้าเดือดร้อนทั้งแผ่นดิน ไม่เว้นแม้วัดป่าแก้ว ก็ถูกกวาดล้าง พระสงฆ์ทั้งหลายในวัดต่างหลึกเร้นสู่ป่าเขาอรัญประเทศ กระจัดกระจายไป
สมเด็จพระราชมุนีสามีรามคุณูปมาจารย์ จึงอาศัยสำเภากลับสู่แดนเกิด เพื่อเผยแผ่พระธรรมคำสั่งสอนของพระบรมศาสดา สืบต่อพระพุทธศาสนา ในดินแดนภาคใต้ ผู้คนทั้งหลาย เรียกท่านว่า "สมเด็จพะโคะ" หรือ อึกนามหนึ่งว่า "หลวงปู่ทวด" นั่นเอง
เมื่ออ่านมาถึง อักษรวรรคสุดท้าย ท่านสาธุชนทั้งหลาย คงจะเข้าใจถึงความสำคัญในการเผยแผ่ธรรม ในภาคใต้นั้น มีความสำคัญต่อประเทศและประชาชนอย่างไร ท่านทั้งหลาย คือผู้ที่ถูกเลือก ให้เขียนประวัติศาสตร์ชนชาติไทยอีกครั้ง ในการรักษาผืนแผ่นดินไทยให้ร่มเย็นเป็นสุข ด้วยกระแสธรรม
ขออนุโมทนา กุศลจิตศรัทธาของทุกท่าน ที่ได้มีส่วนร่วม และเป็นกำลังใจ ในครั้งนี้ ขอบุญกุศล จงดลบันดาลให้ความเจริญ ก้าวหน้า สิ่งปรารถนาทั้งหลาย จงบังเกิดผลโดยทันตา เทอญ เจริญพร