เจ้าแม่กวนอิม (คำสอนพระอาจารย์ธรรมบาล 10 สิงหาคม 2558 )







เจ้าหญิงเมี่ยวซ่าน เป็นชนชาติไทย เกิดในปี พุทธศักราช 582 ในเมืองกิมหลิน อาณาจักรอาฬวี ทรงเป็นอริยะบุคคลชั้นอานาคามี เปี่ยมด้วยเมตตา ปัจจุบันทั่วโลกเรียกท่านว่า "เจ้าแม่กวนอิม"

ท่านเป็นศิษย์ของพระนาคารชุน ได้ส่งพระเถระอี้จิงมาคัดคัมภีร์ "วิมุติมรรค" ในเมืองศรีโคตมะ อาณาจักรสุวรรณภูมิ ไปเผยแผ่ ตราบเท่าปัจจุบัน

น้องสาวของท่านได้เป็นพระมเหษีของกษัตริย์ธิเบต จึงได้สร้างวังบัวขาว ขึ้นเป็นที่ระลึก ปัจจุบันเรียกว่า "พระราชวังโปตาลา" อันลือชื่อเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลก

ในยุครัตนโกสินทร์บาดหลวงปาเลอกัวส์ เมื่อได้ร่วมกับเจ้าฟ้ามงกุฏตั้ง"ธรรมยุติกาย" ขึ้น ได้ปรับแปลงแต่งคัมภีร์วิมุติมรรค เสียใหม่ชื่อว่า "วิสุทธิมรรค" ใช้เฉพาะประเทศไทย ทำให้การปฏิบัติผิดเพี้ยนไปตราบเท่าปัจจุบัน
พระสงฆ์ไทยจึงแบ่งเป็นฝักฝ่าย สองนิกาย ไม่อาจร่วมสังฆกรรมกันได้ ทางพุทธศาสนา ถือว่า "เป็นนานาสังวาส" ทำให้ปัจจุบันศาสนาในประเทศไทยเสื่อมโทรม มีอลัชชี เดียรรัจถีย์ปลอมเข้ามาบวช ทำลายพระศาสนา สร้างสัทธรรมปฏิรูป เพื่อลบ "พุทธพจน์" คำสั่งสอน และธรรมวินัยของพระพุทธองค์

    แผ่นดินไทย ชนชาติไทย จึงลำบากยากจน เพราะปราศจากพุทธานุภาพคุ้มครอง ปราศจากศีล ธรรม เป็นเครื่องยึดเหนี่ยว ทำให้ยากจนค่นแค้น ธรรมชาติผิดเพี้ยน ผู้คนทุกข์ยากทั่วแผ่นดิน เพราะนับถือแต่ "ดี" ไม่เข้าถึง "บุญ" ยอมรับนับถือ "คน" แต่เหยียบย่ำ "มนุษย์" 

เหลือเพียงแต่พวกสาธุชน สมาชิกปฏิสัมภิทา ที่จะสืบต่อพระพุทธศาสนา ด้วยการปฏิบัติชอบในแนวทางแห่ง "สติปัฏฐาน-ปฏิสัมภิทามรรค" เท่านั้น


 

 หลักฐานทางโบราณวัตถุ-โบราณคดี ของ อาณาจักรอาฬวี(อ้ายลาว)



 
                 ชุดเกราะ ทำจากหยก สมัยอาณาจักรอ้ายลาว

จากข้อมูลในพระไตรปิฏกบาลี ที่มีความถูกต้องแท้จริงทุกตัวอักษร(เพราะตรวจสอบโดยพระอรหันต์) ได้กล่าวถึงอาณาจักรอาฬวี ไว้ดังนี้

..... อาฬวี ได้ ชื่อมาจากเหตุเป็นที่อยู่พำนักอาศัยของชนชาติทยฺย ที่ร่างกายโตใหญ่ มีประเพณีกรีดเลือด นำมาดื่มสาบานกันเป็นพี่น้อง หรือรับรองคำมั่นสัญญา จึงถูกเรียกว่าพวก " ยักษ์ " (เพราะมีร่างกายกำยำ ล่ำสัน ใหญ่โต จึงมีคำพังเพยโบราณ ที่พูดกันติดปากว่า ไทยเล็ก.. เจ๊กดำ..ไม่มี ความหมายคือ คนไทยต้องตัวโตสูงใหญ่ที่เรียกว่าคนแปดศอกนั่นแหละ) กฏหมายที่ใช้ในการลงโทษ หรือสังหารศัตรูด้วยการตัดคอให้เลือดขึ้นฟ้าเพื่อบูชาพญาแถน (ยังใช้ต่อเนื่องมาจนสมัยรัตนโกสินทร์ เลิกเมื่อปี2475) หรือ ลงโทษด้วยการเฉือนเนื้อทีละชิ้นแล้วเอาเกลือทา(ปรากฏอยู่ในบทพระธรรมนูญ กฏหมายตรา3 ดวงของไทย) ด้วยความเป็นนักรบเก่งกล้า เหี้ยมหาญของชาวอาฬวี จึงเป็นที่หวาดกลัวของอริราชศัตรู ประชาชน และอาณาจักรทั้งหลาย

.... อาฬวี มีเพชรพลอยหินมีค่าและทองคำ อันใช้เป็นเครื่องประดับ ชนอาฬวีใช้ทองคำเป็นเงินตราแลกเปลี่ยนสินค้าและการซื้อขาย ทั้งเพชรพลอย ทองคำ และหินมีค่ามีมากมายเกลื่อนไปในธารน้ำและภูเขา ประชาชนอาฬวีจึงนำมาใช้ประดับกันโดยทั่วไป (ปรากฏหลักฐานทางโบราณคดีและประวัติศาสตร์ยืนยันว่า ก่อนพุทธกาล ๑,๕๐๐ ปี ชาวอ้ายลาว มีการทำเหมืองทองคำ และผลิตเป็นเครื่องประดับส่งขายไปยังแถบประเทศลุ่มแม่น้ำไทกรส ยูเฟติส)

ในเอกสารพระไตรปิฏก มีพระบาลี กล่าวถึงอาณาจักรอาฬวี ไว้ว่า 

" ... อลํ วิภูสนเมตฺถาติ = อาฬวี , ชื่อว่า อาฬวี เพราะมีเครื่องประดับมาก

คนในอาณาจักรอาฬวีเป็นชนชาติทยฺย เรียกตนเองว่าชาว " อลํ ( อ่านว่า อะ ลัง) อันเป็นคำย่อของภาษาทยฺย ว่า " อ้ายลาว" เมื่อเขียนตามหลักบาลีไวยากรณ์ คำว่า " อลํ " จะแปลง ล (ล.ลิง) เป็น ฬ ( ฬ.จุฬา) แล้ว ทีฆะ(ทำเสียงให้ยาว) จาก สระอะ เป็น สระอา จึงสำเร็จเป็นคำว่า อาฬ..(อาละ..หรือ อ้ายลาว) คำว่า วี แปลว่า แคว้น รวมสำเร็จเป็นคำว่า " อาฬวี " (ภายหลังพุทธกาลเปลี่ยนเป็น เชียงรุ้ง ...เชียง แปลว่า เมือง คำว่า รุ้ง เป็นความหมายของแสงประกายแห่งอัญญมณี, ทองคำ, และ ความเจริญรุ่งเรือง)

( อัญมณีมากจริงหรือไม่ ดูก็แล้วกันขนาดเอาหยกมาทำชุดเสื้อเกราะ และร้อยทุกชิ้นด้วยเส้นทองคำ ตามภาพข้างบน)
             
อาณาจักรอาฬวีนอกจากจะอุดมสมบูรณ์ไปด้วย ทองคำและอัญมณีแล้ว ยังมีป่าสมุนไพรอันหายากยิ่งและราคาแพง คือ " อบเชยสีทอง" ดังนั้นพ่อค้าวาณิชที่ทำการค้ากับอาณาจักอาฬวีหรืออ้ายลาว จึงพร้อมกันขนานนามอาณาจักรนี้ว่า กิมหลิน(กิม แปลว่า ทอง หลิน แปลว่า อบเชย ) ปรากฏอยู่ในบันทึกภาษาจีน พ.ศ.๖๐๘

ในพระไตรปิฏกพุทธ ส่วนพระวินัย ได้กล่าวถึงความสำคัญแห่งอาณาจักรอาฬวี ในพระบาลีกล่าวถึง พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงเสด็จไปปราบ " อาฬวกยักษ์"(คราวนี้คงจะรวมความหมายแปลชื่อนี้ได้แล้วนะ) ในส่วน ของพระวินัยปิฏก ได้ระบุไว้ชัดเจนว่า ...พระพุทธองค์เป็นพระญาติ กับกษัตริย์แคว้นอาฬวีนี้ พระองค์ได้ทรงเสด็จไปแสดงธรรมกำหราบทิษฐิยักษ์และทรงจำพรรษาอยู่ในแคว้นอาฬ วีถึง ๒ พรรษา และ ณ ที่อาณาจักรอาฬวี พระองค์ได้ทรงบัญญัติวินัยสิกขาบท หมวดปราชิก สาเหตุเนื่องจากพระสงฆ์ที่ขึ้นไปก่อสร้างวิหาร ทำขวานหล่นใส่เพื่อนพระด้วยกันตาย (รายละเอียดจะนำมากล่าวครั้งต่อไป)

..... เนื่องจากการก่อสร้างของชนชาติทยฺย ปราสาท วัด วิหาร นิยมทำเป็นหอสูงสองชั้นโดยสร้างจากไม้ ) ลักษณะหอสูง หรือเรียกว่าปราสาท ยังปรากฏอยู่ในปัจจุบันเช่นเนปาล ภูฐาน บังคลาเทศ(เดิมเรียกว่า แคว้นอัสสัม หรือ ไทอัสสัม) ในส่วนที่เห็นชัดไปอีกก็คือวัดพม่า ซึ่งนักประวัติศาสตร์อังกฤษ(ที่เพิ่งจะรู้จักพม่าตอนล่าเมืองขึ้น เขียนเป็นตุเป็นตะว่าศิลปะพม่า นักโบราณคดีไทยก็เชื่อตามนั้น ...)

ที่จริงแล้วเรียกว่า ศิลปอาฬวี เรียกให้ทันสมัยลงมาหน่อยก็คือ ศิลปเชียงรุ้ง แล้วพัฒนาเป็นศิลปล้านนา นักโบราณคดีไทยใจฝรั่งก็ไปเขียนตำรามาหลอกคนไทยด้วยกันว่า ที่ล้านนาใช้ศิลปเช่น "ซุ้มโขง" น่ะ เพราะไทยเป็นเมืองขึ้นพม่า มอญ ซึ่งไม่ตรงตามประวัติศาสตร์ เนื่องจากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ยืนยันชัดเจนว่าศิลปดังกล่าวนั้น ได้ถูกสร้างขึ้นในกรุงหงสาวดีหลังจากที่กษัตริย์มอญได้ยึดกรุงศรีฯครั้งที่ ๑ ( ไทยเสียกรุงให้กับมอญ ไม่ใช่พม่าเพราะบุเรงนองเป็นมอญเดิมชื่อจะเด็ด มอญมีเมืองหลวงชื่อหงสาวดี ส่วนพม่ามีเมืองหลวงชื่อกรุงอังวะ พม่าขณะนั้นเป็นเมืองขึ้นมอญ) บุเรงนองได้กวาดต้อนช่างฝีมือชาวไทย นักรบ ชายไททั้งหมดไปหงสาวดีไม่เหลือไว้เลย( โปรดศึกษาประวัติศาสตร์เสียกรุงศรีฯ ครั้งที่ ๑) ศิลปการก่อสร้างดังกล่าวพม่าเองยังยอมรับว่าเป็นศิลปของไทย โดยเรียกว่า "ศิลปโยเดีย(โยเดีย=อยุธยา) "

ในระยะเวลา ๒ พรรษา(2 ปี) ที่พระพุทธองค์ทรงจำพรรษาในอาณาจักอาฬวี ได้ทรงเผยแผ่ธรรมะแก่ชาวทยฺยให้ละทิษฐิ และหันมาสร้างกุศล ปฏิบัติธรรม ทั้งกษัตริย์และประชาชนทยฺย ต่างตั้งอกตั้งใจในการทำบุญจนเป็นตัวอย่างแก่พุทธศาสนิกชนในยุคนั้น และเป็นที่มาของคำว่า " ทยฺยทาน แปลว่า ทานแบบชนชาติไท " ปรากฏในพระบาลีสืบมาจนถึงปัจจุบัน นับว่าการรับพระพุทธศาสนาของชาวอาณาจักอาฬวีเป็นการรับจากพระโอษฐ์ของพระ พุทธองค์โดยตรง มีผู้บรรลุมรรคผลเป็นพระอริยบุคคลมากมาย

                                            
ที่ สำคัญที่สุด ที่ชาวพุทธควรทราบ คือ อาณาจักรกิมหลิน (อ้ายลาว - อาฬวี) เป็นที่กำเนิดของแม่สาน หรือ เมี่ยวซาน ที่ทั่วโลกรู้จักในนามของ เจ้าแม่กวนอิม ซึ่งปรากฏในบันทึกว่า พ.ศ.๖๔๗ เมี่ยวซาน ได้ส่งสมณทูตมาคัดคัมภีร์พุทธชื่อ " วิมุติมรรค " จากอาณาจักรศรีโคตม(นักประวัติศาสตร์ไทยเรียกศรีโคตรบูร) ทุกวันนี้คัมภีร์ดังกล่าวได้ถูกแปลไปหลายสิบภาษาทั่วโลก
                         
อ้ายลาว หรือ อาฬวี สำหรับชาวกวางตุ้ง จะออกเสียง หรือเรียกคำว่า " อ้าย " เป็น " อิ๊ด "

แต่ สำหรับชาวแต้จิ๋ว จะออกสำเนียงตรงเลย เป็น " อ้ายลาว " หรือ " อ้ายเหลา " หรือ ลาว - เล่า - เหลา ซึ่งแปลว่า ชนที่มีมาแต่ดั้งเดิมแต่ครั้งสร้างโลก

ใน ส่วนของชาวแต้จิ๋ว นี่ต้องคุยกันนิดหนึ่ง เพราะอันที่จริงแล้วคนที่ไม่ทราบเส้นทางการสืบทอดทางประวัติศาสตร์ก็จะไขว้ เขวไป คิดว่าชาวแต้จิ๋วนี้ เป็นชาวจีน ที่จริงไม่ใช่

ชาวจีนน่ะ จริง ๆ แล้วเรียกว่า " ชนเผ่าตง " หรือ " พวกตงหนู " พวกนี้ไม่มีความเจริญปล้นเขากิน มีอาชีพเลี้ยงม้า(ขโมยม้า) อาศัยอยู่แถบริมทะเลสาปแคสเปี้ยน ต่อมาก็อพยพเข้ามาหางานทำในแผ่นดินที่ชนชาติทยฺย ปกครองอยู่ (เหมือนพวกกะเหรี่ยง มอญ ที่หลบหนีเข้าเมืองมารับจ้างทำงานในเมืองไทยปัจจุบันนี้(2554) ตัวอย่างของความป่าเถื่อนที่สืบทอดของพวกตง อันเป็นหลักฐานร่วมสมัย ก็คือ เหมาเจ๋อ ตง นี่คือ ชาวตง ไม่มีประวัติศาสตร์ วัฒนธรรมของชนชาติตน ด้วยความอับอาย ในที่สืบสายเลือดมาจากชนเผ่าที่ไร้อารยธรรม เกิดความเก็บกด ทำอะไรไม่เป็น พูดเป็นอย่างเดียว ก็ปลุกระดมจนคนทั้งประเทศหลงเชื่อ เมื่อขึ้นเป็นใหญ่ ก็เผาทำลายล้าง ศิลป วัฒนธรรม ศาสนา อันเป็นประวัติศาสตร์ทั้งหลาย เพราะความที่มีปมด้อย แล้วเขียนประวัติศาสตร์ขึ้นใหม่ ใครไม่เห็นด้วยเอาไปฆ่าทิ้ง แม้กระทั่งเมียของตัวเอง ... แต่แล้ว เป็นไง...ในที่สุด..ปัจจุบัน(พ.ศ.2557) รัฐบาลจีนใหม่เมื่อสิ้นเหมาเจอตุง บุรุษผู้ทำลายล้างไปแล้ว ก็ต้องกลับมายอมรับศาสนา ฟื้นฟู ศิลป วัฒนธรรม แต่ที่ทำลายไปแล้ว ไม่รู้เท่าไร วิทยาการโบราณ การแพทย์จีนที่ถูกทำลายทิ้ง อ้างว่าขัดต่อหลักคอมมิวนิสต์ ที่มันคิดขึ้นเอง แม้แต่คาลมาร์ค ก็ไม่มี สุดท้ายฉิบหายเพียงเพื่อความสะใจของคนกลุ่มเดียว ที่มีปมด้อย และ ไม่อาจนำกลับคืนมาเป็นสมบัติของมวลมนุษยชาติได้อีกเลย นี่คือความชั่วร้าย ไร้วัฒนธรรม ที่สืบต่อทาง DNA ของ ชนเผ่าตง อันตกทอดมีมาแต่บรรพกาล

ชาว ตง ที่ซื่อสัตย์ก็ไปอยู่เมืองฉิน ไม่ลักไม่ขโมยไว้ใจได้ และตายแทนเจ้านายได้ จึงเป็นที่มาของคำว่า " ตงฉิน " หมายถึง ต้องมีความจงรักภักดี และซื่อสัตย์ต่อเจ้านาย เหมือนชาวตงที่เมืองฉิน นี่คือที่มาอันเราท่านทั้งหลายควรทราบ ชุมชนใหญ่ของชาวตงอยู่ที่เมืองง้วน ซึ่งเราจะพบในหนังสือกำลังภายในกล่าวถึงบ่อยว่า " ตงง้วน" ก็หมายถึงคนพวกนี้แหละ

สำหรับชาวแต้จิ๋ว จริง ๆ ต้องเรียกว่า ไทเมืองจิว เพราะต้นตระกูลของแต้จิ๋ว คือราชวงศ์จิว เป็นชนชาติไท แต่เพราะแผ่นดินกว้างใหญ่ไพศาลในยุคบรรพกาล ภาษาพูดจึงผิดเพี้ยน คำว่า ทยฺย เป็นภาษาดั้งเดิม และเป็นคำว่า ไท - ไต๋ - ใป๋ - ปา - ต้า - แต้ เป็นต้น ชนชาติไทจะเอาโคตรตระกูลนำหน้า (แซ่นำหน้า...เหมือนในสมัยพุทธกาลก็ใช้โคตรตระกูลนำหน้าชื่อเช่นกัน) ดังนั้น คนแต้จิ๋ว ก็คือ คนไทเมืองจิว แต่สำเนียงที่เพี้ยนไปด้วยกาลเวลาเนิ่นนานนั่นเอง (โปรดศึกษาประวัติศาสตร์ราชวงศ์จิว ประกอบ)

อย่างกับสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ก็เป็นชนชาติไทเมืองจิว ท่านแซ่แต้ เป็นไทแต้จิ๋ว จึงไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมพระองค์จึงกู้กรุงศรีฯ ก็เพราะท่านมีสายเลือดไท สิ่งเหล่านี้หากไม่เล่าให้รุ่นหลังฟัง ก็จะเลือนหายไป ปล่อยให้คนไร้สายเลือดบางจำพวกที่แอบขโมยอากาศของชนชาติไทยในแผ่นดินยังชีพ แล้วก็โพนทะนาด่าคนเจ้าของประเทศ สายเลือดไทที่ภูมิใจในความเป็นชาติไทว่าคลั่งชาติ แต่คนที่พูดอย่างนั้น คงไม่มีชาติของตัวเองเพราะสิ้นชาติไปแล้ว น่าอนาถจริง ๆ

                                                         
 ที่มาบทความ :  rustanyou.com



27 มีนาคม 

วันนี้เป็นวันพระราชสมภพของ เจ้าหญิงไทนามว่า "แม่สาน" หรือ เมี่ยวซ่าน ที่ชาวโลกรู้จักกันในนามของ "เจ้าแม่กวนอิม เทพแห่งความเมตตา" ท่านเป็นศิษย์ของพระนาคารชุน ได้ปฏิบัติธรรมตามพุทธวิถี จนสำเร็จเป็นพระอริยบุคคลขั้นอานาคามี น้องสาวของท่านได้เป็นมเหษีกษัตริย์แห่ง "ศัมพารา"(ธิเบต) น้องสาวท่านได้สร้างพระราชวังดอกบัวบานถวายพี่สาว ปัจจุบันคือ "พระราชวังโปตาลา" ทำให้เจ้าหญิงเมี่ยวซาน(เจ้าแม่กวนอิม) ได้รับการนับถือว่าเป็นพระโพธิสัตย์ของพระพุทธศาสนา และจัดประเพณีรำลึกถึงวันพระราชสมภพคือ วันที่ 27 มีนาคม นี้สืบมา จนปัจจุบัน

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS