ตาม
ความเป็นจริงแล้ว คำถามยอดฮิต ที่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปกี่ปี กี่ทศวรรษ
ก็จะได้รับคำถามเดิมเหมือน ๆ กันคือ " ทำยังไง ถึงจะอธิษฐานให้ได้ผลจริง ๆ
เร็วๆ ทันใจ แบบเปิดปุ๊บ ติดปั๊บ อะไรทำนองนั้น ?"
ซึ่งเป็นเรื่องปกติของคนที่ ทำไม่ได้ หรือขาดไปบางจุด บางทีก็โดข้ามไป บางคนก็สนใจเพราะคิดว่าเป็นปาฏิ หารย์
แต่พอลงมือทำเข้าจริง ก็ทิ้งไป เพราะส่วนใหญ่เป็นธรรมชาติ ปกติคนทั่วไปคือ
"อยากได้ อยากดี อยากมี อยากเป็น แต่ ไม่อยากทำ"
พอเห็นสาธุชนท่านอื่นทำได้ก็เริ ่มลองอีกครั้ง หลังจากทิ้งไปเป็นปีๆ แต่เหมือนนักวิ่งที่ไม่ได้ฟิตซ้ อม สรุปตะคริวกิน = เลิกปฏิบัติ ยังงี้เยอะมั่ก !
ความจริงอาจเป็นเพราะว่า คำอธิบายถ่ายทอดตลอดมา อาจจะใช้ศัพท์ที่สูงเกินไปสำหรั บมิติปัจจุบัน จึงยากที่จะเข้าใจ และเมื่อไม่เข้าใจ ก็ทำให้ปฏิบัติได้ผลยาก
เอาละ...วันนี้เพื่อเป็นกุ ศลแด่สาธุชนทั้งหลาย ที่ยังปฏิบัติไม่ได้ เพราะไม่ค่อยเข้าใจก็จะอธิ บาย
แบบง่ายที่สุด แบบคติประจำใจ ที่ว่า "โง่ ๆ ง่าย ๆ ใช้ได้ก็แล้วกัน
ฝรั่งว่า Simple stupid made it anyway, Get smart get lose !! นั่นแหละ
อันดับแรก :: คำว่า "อธิษฐาน" ต้องใช้ "เสียง" หรือ "วาจา" ที่ออกมาจากปาก เหมือนกินข้าว ก็ต้องรู้ว่า "ปากอยู่ตรงไหน ?" นี่ข้อนึง
อันดับสอง :: กินเพราะเราอยากจะกิน คือ กินตอนที่หิวถึงจะอร่อย เช่นเดินป่าเหนื่อย
หิว ข้าวกับเกลือยังอร่อยได้ ในที่นี้เปรียบให้เห็นว่า "ความต้องการกิน"
เกิดขึ้นจริงหรือเปล่า ? คือ สิ่งที่อธิษฐาน นั่นน่ะ ต้องการจริง ๆ หรือ ?
เอาให้ชัดว่า "ที่จะอธิษฐานน่ะ ต้องการจริง ๆ
หรือว่า เพียงทดลอง" (เหมือนกับลองชิมอาหารดูทั้งที่ ไม่หิว) เราเสียเงินมาเยอะ ในสิ่งที่ไม่ปราถนาซื้อมาเต็มบ้ านไม่ได้ใช้ หมดเปลืองเปล่า ในที่สุดก็ไร้ค่าทิ้งไป ไม่ผิดอะไรกับไม่หิวแล้วกิ นอาหาร จะหารสชาติอะไรไม่ได้ เพียงช่วยให้อยู่รอดไม่ตาย เท่านั้น...ใช่... เท่านั้นจริง ๆ. เหมือนที่ทำสมาธิปฏิบัติกั นมาเป็นยี่สิบสามสิบปี ยังอธิษฐานไม่เป็นนั่นแหละ
ดังนั้น อารมณ์ ความรู้สึก จะประกอบไปด้วยภาพ คล้ายกับอาการของคนหิวข้ าวบนยอดเขา ความต้องการนั้นเกิดจริง ต้องการจริง หิวจริง ความอร่อยจึงเกิดขึ้นแม้แต่กิ นข้าวกับเกลือดังกล่าวแล้ว
ดังนั้น ภาพ และความรู้สึกจึงออกมาจากภายใน เราเรียกว่า "ใจ" นี่แหละที่เราฝึกให้ปากกั บใจตรงกัน ออกเสียงพร้อมกัน ไม่ว่าจะโดยการสวดมนต์ หรือ นะโมตัสสะ... ก็เพื่อให้เกิดความพร้อมตรงนี้ ง่ายๆ คือ หิวรึยัง ?
"อาการ
ถึงพร้อม" จะมีลักษณะแปลกไปจากปกติธรรมดาทางสายปฏิบัติเรียกว่า "ปิติ" ไม่ว่าจะขนลุก ฯลฯ
ให้หยุดสวดมนต์ต่อ ..แต่ให้กล่าวถวายชีวิตเป็นพุทธบูชา ....อิมาหัง ภัณเต ภควา....
ต่อท้ายด้วยสิ่งที่เราต้ องการให้เป็น ให้เกิดขึ้นคืออะไร พูดออกมาด้วยปากพร้อมใจ และสิ่งที่ขาดไม่ได้ คือภาพของสิ่งที่เราต้องการ ทันที ....(ไม่ต้องรอสวดมนต์เสร็จก่อน แล้วมาอธิษฐาน เพราะ อารมณ์"ปิติ" จะหายไปแล้ว ซึ่งจะไม่ได้ผลเลย)
นี่คือข้อสำคัญ ต้องให้เห็นภาพที่เราต้องการ ตั้งแต่เริ่มหาใจ รักษาภาพไว้ ค่อยๆ เอาลมหาใจพร้อมภาพไปตั้งที่ปถวี ธาตุ ตั้งไว้เท่าระยะขนนก จากนั้นค่อยๆเลื่อนขึ้นมา พอจะสุดลมตรงปลายจมูก ให้เห็นภาพ เรารับสิ่งนั้นเป็นของเรา จึงจะได้ผล
เปรียบง่าย ๆ ตอนเริ่มต้น เหมือนเราตักอาหารจากถ้วย หายใจเข้าคตเปรียบเหมือนรั กษาอาหารไว้ในช้อนไม่ให้หก ตอนตั้งลมที่ปถวีธาตุเปรียบเสมื อนการบรรจงเอาอาหารเข้าให้ ตรงปาก(ตอนเริ่มทำใหม่ๆ จะเหมือนเด็กตักข้าว-อาหารกิ นเอง
ใส่ปากไม่ถูก เปรอะเปื้อนหน้าตาไปหมด อาหารหกเต็ม ... ใหม่ๆ
ตอนเริ่มทำภาพที่เราปราถนา ก็จะหายไปเพราะไม่นิ่ง ยังว่อกแว่ก จึงต้องฝึก)
ตอนภาพหายใจออก ก็เปรียบเสมือนอาหารที่ใส่เข้ าปากแล้ว จะรู้รส เปรี้ยว หวาน มัน เค็ม ซึ่งจะประกอบด้วยอารมณ์คือ "อร่อย"
เช่นเดียวกัน ตอนหายใจออก ภาพที่เราปราถนานั้น จะต้องประกอบด้วยอารมณ์ ชื่นชอบสิ่งที่ได้(เหมือนตอนที่ เราเอื้มมือรับปริญญา). ถ้าเราจำอารมณ์นี้ได้ ก็นำมาใช้ประกอบภาพที่ปราถนาได้ ทุกครั้ง ก็จะไม่พลาด
การระลึกรู้อารมณ์เรียกว่า "สติ=ธรรมชาติระลึกรู้อารมณ์"
การนำไปตั้งไว้ = ฐาน
ปถวีธาตุ = ปถ
รวมคำทั้งหมดคือ "สติปัฏฐาน"
ขอความก้าวหน้าในการปฏิบัติ จงบังเกิดมีแด่สาธุชนทุกท่าน สมดั่ง "ใจ" ปราถนา เทอญ