เหตุอัศจรรย์ในวันมาฆบูชา 4 ประการ
1. เป็นวันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำ ดวงจันทร์เสวยมาฆฤกษ์ (วันเพ็ญเดือน 3 )
2. พระภิกษุ 1,250 รูป มาประชุมโดยมิได้นัดหมาย
3.ภิกษุเหล่านั้นเป็นพระอรหันต์ผู้ได้อภิญญา 6 ทั้งหมด ไม่มีภิกษุผู้เป็นปุถุชนหรือพระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามีแม้สักรูปเดียวมาประชุมในครั้งนี้
4.พระภิกษุทั้งหมดเป็นผู้ที่ได้รับการบวชแบบเอหิภิกขุอุปสัมปทา ซึ่งพระบรมศาสดาทรงประทานการบวชให้
พระอรหันต์จำนวน 1,250 รูป ที่เข้าร่วมสันนิบาตในครั้งนี้ แบ่งเป็น 2 กลุ่มด้วยกัน คือ
กลุ่มที่ 1 คณะพระภิกษุอดีตชฏิล 3 พี่น้อง มีท่านอุรุเวลกัสสปะเป็นหัวหน้า และบริวารทั้งหมด 1,000 รูป
กลุ่มที่ 2 คณะที่เป็นบริวารของพระสารีบุตร และพระโมคคัลลานะ มีจำนวน 250 รูป
รวมทั้งปวงเทพเทวาเทวดาพรหม ทุกชั้นฟ้า มากมายหลายโกฐจนมิอาจนับจำนวน ต่างลงมาอำนวยอวยชัยสาธุการ แด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า และอรหันตเถรเจ้าผู้ทรงอภิญญาทั้งหลายนั้น
การที่มีพระภิกษุจำนวนถึง 1,250 รูปมาเป็นองค์ประชุมสันนิบาตในครั้งนี้ มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งต่อการปักหลักพระพุทธศาสนา โดยเริ่มจากแคว้นมคธ ซึ่งเป็นศูนย์กลางในการเผยแผ่ เพราะเป็นแคว้นใหญ่ที่สุดในอินเดียสมัยก่อน เป็นแหล่งรวมความเจริญในทุกด้าน และมีเจ้าลัทธิต่างๆ แข่งขันกันเรียกความศรัทธา ความเชื่อ จากประชาชนอยู่มากมาย การเผยแผ่พระพุทธศาสนาจึงต้องทำอย่างเต็มที่โดยอาศัยกำลังจากภิกษุผู้เป็นคนท้องถิ่นของแคว้นนี้เป็นหลักก่อน
นั่นก็คือ พระสารีบุตร ซึ่งเมื่อท่านได้บรรลุพระอรหันตผลแล้ว ถือได้ว่าพระธรรมเสนาบดีได้บังเกิดขึ้น ดุจขุนพลแก้วบังเกิดแล้วแก่พระเจ้าจักรพรรดิ โดยท่านจะมาเป็นหัวเรือใหญ่รับสนองนโยบายภารกิจนี้โดยตรง เมื่อการรอคอยของพุทธองค์บรรลุผล จึงทรงทำการประชุมสาวกสันนิบาตทันทีในวันเดียวกันนั้นเอง โดยไม่มีการนัดหมายล่วงหน้า เพราะทรงเห็นว่าถึงเวลาแล้วที่กองทัพธรรมจะต้องเร่งรุดขยายให้ได้กว้างไกลที่สุด ฉะนั้นจำต้องมียุทธศาสตร์ที่เป็นหนึ่งเดียวกัน จึงได้ทรงประทาน "โอวาทปาฏิโมกข์" เพื่อไว้ใช้เป็นแม่บทในการประกาศพระศาสนา
ที่กล่าวมานี้คือความสำคัญแห่งวัน "มาฆะบูชา". ที่พุทธสานิกชนได้ยึดเป็นวันสำคัญ และปฏิบัติสืบต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบันเป็นเวลาเกินกว่า 2,560 ปี. ด้วยความมหัศจรรย์อันศุภมหามงคลทั้งหลายได้มาประชุมเป็นหนึ่งเดียวกัน ณ วาระนี้ ดังนั้นจึงเหมาะอย่างยิ่งสาธุชนพึงทำวัตรสวดมนต์ เจริญภาวนา
วันนี้...โดยเฉพาะกับสาธุชนผู้ปฏิบัติชอบในพุทธวิถี "สติปัฏฐาน-ปฏิสัมภิทามรรค" นั้นสำคัญยิ่ง ให้พึงปฏิบัติเริ่มด้วยอานาปานัสติ เมื่อได้ "ปิติ" จึงกล่าวถวายชีวิตและภพชาติ(อิมาหังภัณเต ภควา...) แล้วจึงเริ่มอาปานัสสติ ปูรก(หายใจเข้า) นำไปตั้งไว้ ณ ปถวีธาตุ กำหนดสิ่งที่ปรารถนา เพื่อให้ความเป็นศิริมงคลมาบังเกิด แก่ชีวิต ครอบครัว ธุรกิจ การงาน และความเจริญสถาพรสืบไปทั้งในปัจจุบัน และอนาคตกาล และหลังจากถอยจากภาวนาสมาธิแล้ว ให้สวดขอบคุณเทวดา(เทวตานุสติ) จึงจะสมบูรณ์และได้ผล
ขออำนาจแห่งบุญกุศล อันสาธุชนได้ปฏิบัติชอบแล้วด้วย "ใจ" จงดลบันดาลให้สมปรารถนา ก้าวหน้าเจริญในธรรม ทั่วกันทุกท่านเทอญ