ในยุคปัจจุบัน ทั่วโลกยอมรับกันโดยดุษฏีว่าเป็นยุคที่ก้าวหน้าทางเทคโนโลยีสารพัดรูปแบบ คนธรรมดา ตั้งแต่ระดับเศรษฐีถึงขอทาน สามารถติดต่อสื่อสารผ่านSmart Phone ข้ามซีกโลกได้ในเวลาไม่กี่วินาที
ในด้านวิทยาศาสตร์ดาราศาสตร์ฟิสิกส์ ก็ไม่มีโครงการไหนที่จะล้ำหน้าไปกว่า"โครงการCERN" ที่ลงทุนแบบโคตะระมหาอภิโปรเจ็ค ที่ทุ่มเม็ดเงินมหาศาล ที่จะให้ประชากรประเทศยากจนซื้ออาหารกินทั้งประเทศได้3มื้อไปพันปี เพียงเพื่อให้บรรลุเป้าหมายเป้าของโครงการคือ
"ย้อนเวลาสู่อดีตเมื่อโลกแรกเกิด(Big Bang)"
การย้อนเวลาหรือทะลุมิตินี้เรียกว่า "Time Travel" โครงการCERN ผ่านไปเกือบ 10 ปี อย่าว่าแต่ย้อนเวลาไปตอนกำเนิดโลก เอาแค่ว่าย้อนเวลากลับไปตอนสงครามโลกครั้งที่2 เมื่อ50ปีที่ผ่านมา ก็ยังทำไม่สำเร็จ
แต่ในทางพระพุทธาศาสนา พระพุทธองค์ทรงสอนและถ่ายทอดให้กับพุทธบริษัท สามารถปฏิบัติ ท่องเที่ยวไปในมิติต่างๆ ที่มีเวลาแตกต่างกัน(Time Travel) ได้เป็นเรื่องปกติ แม้ในพระไตรปิฏกยังปรากฏจารึกไว้ว่า "...พระพุทธองค์เอง ยังทรงพาพุทธสาวกทะลุมิติ ข้ามเวลาไปยังสวรรค์ชั้นต่าง ๆให้เห็น ว่าสวยขนาดไหน ไล่ขึ้นไปทุกชั้นฟ้าที่มีสนามเวลาต่างกัน ที่เทวดาอยู่ความสวยต่างกัน เสร็จแล้วทรงนำกลับลงมา นางฟ้าที่ชั้นล่างเวลาสั้นก็ตายไปแล้วเหลือแต่โครงกระดูก พุทธสาวกเกิดความสลดใจเห็นสัจจธรรมความไม่เที่ยงแห่งสรรพสิ่ง จึงเข้าสู่การปฏิบัติ "สติปัฏฐาน-ปฏิสัมภิมามรรค" บรรลุธรรมในที่สุด. จะเห็นได้ว่า พุทธศาสนาก้าวหน้ากว่าวิทยาศาสตร์ฟิสิกส์ยุคปัจจุบันกว่า3,000ปี
โดยตามความเป็นจริงของสภาวะสิ่งมีชีวิตอันว่าด้วยอภิธรรม เทพดา โอปปาติกะ และมนุษย์นั้นอยู่ร่วมภูมิเดียวกันสามารถติดต่อสื่อสารกันได้โดยปกติ เรียกว่า "กามาวจรภูมิ" แต่จะต้องเรียนรู้วิธีและปฏิบัติอย่างถูกต้องที่พระพุทธองค์ทรงกำหนดไว้ คือสติปัฏฐาน ๔เท่านั้นไม่มีหนทางอื่น และถือว่าการเสวนากับเทพยดา บังบด หรือ โอปปาติกะเป็นขั้นต้น ๆ ที่ผู้ปฏิบัติอย่างถูกทางทุกคนต้องผ่านขั้นตอนนี้เป็นปกติ
การเรียนรู้และปฏิบัติ คือ การเรียนรู้ภาษาเทพยดา(เรียกง่าย ๆ คือ ภาษาใจ) เป็นภาษากลางที่ใช้ระหว่างสิ่งมีชีวิตเหล่าที่ ๔ อันอยู่ในสภาพของพลังงาน เป็นสิ่งที่มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น แต่รู้ว่ามีอยู่ (ปรากฏตามพระไตรปิฏกมหาสมัยสูตร)ยืนยันชัดเจนว่าเทวดาชื่อไรมั่ง ไปอ่านดู หรือ ในพุทธประวัติว่าด้วย "พุทธกิจ ที่ต้องทรงเทศนาโปรดเทพยดาทุกคืน"
ด้วยเหตุดังนี้การเข้าถึงวิทยาการ ฯลฯ อันจริงแท้ จึงต้องเข้าถึงผู้ที่รู้จริง มีประสบการณ์จริงและอยู่ในยุคสมัย กาลเวลานั้น ๆ มาบอก มาสอน ถ่ายทอดให้เราเข้าใจในที่นี้ขอย้ำคำว่า " เข้าใจ " เมื่อ "เข้าใจ"ก็ไม่ต้องอธิบาย ทำได้เลย รู้เลย รู้ทันที นั่นที่เราเรียกว่า " อ๋อ"
ดังนั้นการจะให้ "เข้าไปในใจ" จึงต้อง "รู้ภาษาใจ"และ"รู้ที่ตั้งของใจ " เพื่อเป็นกุญแจรหัสไขเข้าไปสู่ วิหารแห่งปัญญา ที่มีสรรพศาสตร์ และเต็มไปด้วยเทพยดาระดับเหนือกว่าดอกเตอร์ หรือ โปรเฟสเซ่อร์บนมนุษย์โลก พร้อมที่จะถ่ายทอดแก่ผู้เข้าถึง ที่เรียกว่า แหล่งรวมความรู้แห่งจักรวาล Universal Library
ดังที่พระพุทธองค์ให้ทรงเรียนรู้ด้วยตนเองจากการปฏิบัติ นั้น ก็เพื่อเข้าสู่จุดนี้เป็นบันใดขั้นต้น ในภาษาปฏิบัติเรียกว่า "ผู้หยั่งรู้" เพื่อก้าวไปสู่ศาสตร์ขั้นสูงสุด คือ "ปัญญาวิมุติ" ที่จะใช้เพื่อการหลุดพ้น นั้นเอง
ตอนนี้ถึง ..บางอ้อ..แล้วซินะว่าทำไมถึงต้องหาที่ตั้งของใจ ทำไมต้องออกเสียงให้มาจากใจและทำไมต้องให้เสียงปากกับใจพร้อมกัน เพราะเราต้องใช้ภาษาใจนั้น เสวนา ถามสิ่งที่ต้องการรู้ ต่าง ๆ กับ ท่านทั้งหลายที่อยู่ในอีกมิติหนึ่ง เรียกว่ามิติของ"ใจ"
สำหรับในทางปฏิบัติจะเข้าถึงมิตินี้ได้ทางเดียวคือทางใจ เรียกว่า" มโนทวารวิถี " เท่านั้น แม้ไปนิพพาน ก็ต้องไปทาง มโนทวาร...ไม่มีทางอื่นเส้นทางของใจ เรียกว่า "มโนทวารวิถึ" ท่านผู้รู้ที่มีชีวิตอยู่ก่อน หรือ ร่วมสมัยพุทธกาลนั้นมีอยู่มากมาย พร้อมและรอคอยที่จะถ่ายทอดสั่งสอนวิทยาการ แก่ผู้ปฏิบัติชอบ เป็นวิชาบริสุทธิ์ที่มอบให้เราด้วยใจ เพราะเราเข้าไปด้วยใจอันบริสุทธิ์ เรียกว่า "สุทธมโนทวารวิถี"
(การที่จะใช้ส่วนนี้อย่างเต็มพิกัด ได้ต้องเข้าสู่อัปนาวิถี โดยทางกสิณ เพื่ออธิษฐานกำหนดตำแหน่ง หรือ กาล(ยุค) ที่เราปรารถนา จะใช้สมาธิอย่างอื่นย่อมไม่อาจเกิดผล ซึ่งตรงนี้แหละที่พระอริยบุคคล ใช้ตรวจบุญบาปของตนในอดึตชาติ เรียกว่า “อตีตังสญาณ” และไปตรวจดูว่า “บุญที่สร้างในปัจจุบันจะให้ผลอะไรในอนาคต”
นั่นก็คือ อนาคตังสญาณ ซึ่งถ้าไม่ผ่านการปฏิบัติโดยวิถีแห่งธาตุกสิณ คือ ผ่านการเป็น “ธาตุกุศลตาบุคคล” หมายถึง สามารถอธิษฐานสมมุติสิ่งต่าง ๆ จากการสัมปยุตธาตุได้แล้ว จึงจะเลื่อนขึ้นสู่ญานทั้งสองดังกล่าวแล้วนั้นได้)...... ซึ่งเรื่องของกสิณจะกล่าวอธิบายโดยเฉพาะในโอกาสหน้าที่อำนวย
พระบรมศาสดา สัมมาสัมพุทธเจ้าทรงปรินิพพานไปเพียงแค่ ๒๕ วัน บ่าย ๆ ของเวลาเทวดา(๑วันเทวดา = ๑๐๐ปีมนุษย์) ท่านผู้รู้ศาสตร์ต่าง ๆ ในยุคพุทธกาล ที่ท่านได้จากโลกนี้ไป ท่านยังเป็นเทวดาไม่ถึงเดือนเสียด้วยซ้ำ และไม่ได้หมายความว่าภิกษุในยุคพุทธกาลท่านจะเป็นอรหันต์ทั้งหมด ท่านที่ยังไม่บรรลุก็มากมายแต่ท่านก็เป็นพหูสูตร มีความรู้มหาศาลที่เราท่านไม่เคยได้รับรู้รับเรียนในมิติของเรา
อีกทั้ง นักวิทยาศาสตร์นักเศรษฐศาสตร์ โหราศาสตร์ เวทย์มนต์อาคม หรือนักการค้า มหาเศรษฐี ก็มีอยู่มากมายเราสามารถเลือกรับรู้ รับเรียนได้ตามที่ " ใจ "ปรารถนานี่ไม่ใช่เพ้อเจ้อนะ พระพุทธองค์ทรงรับรองไว้ชัดเจนว่า ให้ศึกษาจากกายในกายให้ทิ้งตำรา อาจารย์ ให้แสวงหาเรือนว่างและโคนไม้
ปฏิบัติตามวิถีแห่งสติปัฏฐาน-ปฏิสัมภิทามรรค อันเป็นทางเดียวเท่านั้นที่จะเข้าถึงกายในกาย เพื่อก้าวเข้าถึง วิชชา...จรณ
ใครที่อยากเป็นอภิมหาเศรษฐี เอาแค่อนาถบิณฑิกะ รวยขนาดเอาทองคำปูเต็มเนื้อที่ ๑๐๐๐ไร่ คิดดูว่าทองคำราคาเท่าไร หรือ มหาเศรษฐีที่มีความสามารถบริหารเงินค่อนโลกเราถามได้ถึงวิธีต่าง ๆ
สิ่งหนึ่งที่เราควรต้องทราบ คือเวลาระหว่างมิติใจอันเป็นมิติแห่งPlasma กับ มิติที่เราทรงสภาพเป็นมนุษย์Mass นั้นต่างกันมาก ใหม่ ๆ จะตกใจเล็กน้อยเพราะเพียงแค่สัปปะหงกวูบเดียวเวลาผ่านไป ๒๔ ชั่วโมง หรือการเดินทางกรุงเทพ-เชียงใหม่ด้วยรถ ใช้เวลา ๓ ชั่วโมง ฯลฯ เหตุการณ์เหล่านี้จะเกิดขึ้น และจะเกิดบ่อย จนในที่สุดจะชินจนเป็นเรื่องปกติ
ด้วยเหตุนี้พระพุทธองค์จึงทรงห้ามมิให้เล่าเรื่องการ ปฏิบัติของตน กับผู้ที่ไม่ได้ปฏิบัติเพราะนอกจากอีกฝ่ายจะไม่รู้เรื่อง เขาก็จะหาว่า บ้า นี่คือข้อห้ามที่พึงสังวร
ตอนนี้มาถึงขั้นที่ว่าขั้นตอนการปฏิบัติ นั้น ทำอย่างไร ?
ก่อนอื่น หมายถึง ก่อนที่จะถึงขั้นนี้ต้องแน่ใจว่าตัวเองได้ผ่านขั้น
ถึงพร้อมด้วยทาน(มหาจาคะ = ถวายชีวิตและภพชาติของเรา เป็นพุทธบูชา = เพราะอาจจะหลงภพภูมิ กลับที่เดิมไม่ได้...อ้าวจริงนะไม่ใช่ล้อเล่น !!
ถึงพร้อมด้วยศีล คือ สัจจะวาจา ที่เราเปล่งออกมาด้วยถ้อยคำ+อารมณ์ที่ต้องการเป็นเช่นนั้นจริง ๆ
ถึงพร้อมด้วยภาวนา คือ การกระทำด้วยใจ นั่นหมายถึง วาจาได้เปล่งเสียงออกมาพร้อมกันกับเสียงของ ใจจากฐานที่ตั้ง ของ"ใจ"
ถ้าทั้ง ๓ ส่วนนี้พร้อม เป็นอันใช้ได้เริ่มขั้นตอนต่อไปนี้เลย
เนื่องจากการปฏิบัติถึงขั้นไตรสิกขานี้ หมายถึงเราอยู่บน มรรคสัจจะ = เส้นทางแห่งความจริง ดังนั้นจึงให้เปล่งวาจาพร้อมกับใจ ว่า...
ข้าพเจ้า.(ชื่อ)...ต้องการที่จะพบครูบาอาจารย์ ฯลฯ เพื่อศึกษา(ว่าไปตามที่เราต้องการทางที่ดีเขียนซะก่อนแล้วท่องให้จำได้)
การกล่าววาจานี้ต้องให้เสียงออกมาจาก "ใจ"และเป็น เสียงเดียวกัน นี่คือข้อ ๑ในขณะที่กล่าวอย่าหลับตา(ทำสมาธิห้ามหลับตาพระพุทธองค์ห้ามคนตาบอดบวช เพราะคนตาบอดปฏิบัติไม่ได้และไม่มีวันสำเร็จโดยเด็ดขาด) ให้ลืมตา และกล่าวช้า ๆ ที่เราต้องการนั้น ๓ ครั้ง
ระหว่างครั้งที่ ๒ ต่อ ครั้งที่ ๓ จะมีความรู้สึกเหมือนกับเรานั่งรถขึ้นสะพานสูง ๆ แล้วลงหรือ ก็เหมือนเครื่องบินตกหลุมอากาศ อาการเป็นลักษณะคล้ายอย่างนั้น อย่าตกใจปล่อยความรู้สึก "อยากรู้" ตามลงไป
สิ่งที่เกิดขึ้นก็จะเป็นไปตามที่เราปรารถนา แตกต่างกันไปตามภูมิ ของแต่ละท่านและบุญเดิมที่สร้างไว้ ว่าเทพยดาท่านใด ที่เคยเป็นครูบาอาจารย์ ร่วมบุญกันมาก่อน(เป็นเวไนย กัน หากไม่เคยเป็น ยังไงก็ไม่พบ) ก็จะมาสอน หรือ เสวนาในสิ่งที่เราต้องการ
เมื่อเสวนา หรือ รับรู้รับเรียนสิ่งต่าง ๆ จาก "โอปปาติกะ" เสร็จแล้ว ให้สวดยาเทวตา(ปริต=ปากใจพร้อมกัน) ขอบคุณเทวดาอันนี้ทิ้งไม่ได้ ..
ขอนำตัวอย่างเล็ก ๆ เรื่องจริง สามารถพิสูจน์ได้ และ ปรากฏเป็นหลักฐานที่สัมผัสแตะต้องได้ นั่นคือการค้นพบอาณาจักรโบราณที่สูญหายไปแต่ครั้งพุทธกาล
จากการเสวนา พร้อมคำชี้แนะของ โอปปาติกะ ซึ่งผู้ครองนครสุวรรณโคมคำ(จุฬนีนคร) ในยุคก่อนพุทธกาล ซึ่งได้บอกเล่าถึงวิชาความรู้ รวมทั้ง บอกตำแหน่งที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ ว่าอยู่ตรงไหน มีประวัติความเป็นมาอย่างไร พร้อมมอบแผนที่ไว้ให้ด้วย
จากนั้นจึงได้นำเรื่องราวดังกล่าวที่ได้รับ มาตรวจสอบทางเอกสารประวัติศาสตร์ ว่ามีอยู่จริงหรือไม่ ปรากฏจารึกที่ใดบ้าง ปรากฏว่ามีหลักฐานอยู่จริง ๆ เป็นเอกสารโบราณ ชื่อว่า "ตำนานสุวรรณโคมคำ" ที่จัดพิมพ์โดยกรมศิลปากรฯ ประเทศไทย
เหตุการณ์นี้เปิดเผยนำพิมพ์เป็นเอกสารประกอบการศึกษาเฉพาะ ของสถาบัน(ขอสงวนนาม) เมื่อปี พ.ศ.๒๕๔๘
( แผนที่โบราณจากนิมิต อันได้นำมาแสดงต่อสาธารณะเป็นครั้งแรกในปี พ.ศ.๒๕๔๘)
และเมื่อข้อมูลที่ได้รับมานั้น ถูกนำออกไปเผยแพร่แก่สาธารณะ กลับถูกนักโบราณคดี และนักประวัติศาสตร์ รวมทั้งผู้(สู่)รู้ ในประเทศไทย โจมตีอย่างไม่มีข้อหักล้าง ว่า "เป็นไปไม่ได้ มันเป็นเพียงนิยายและไม่มีอยู่จริง"
แต่แล้วหลังจาก 5 ปี ผ่านไปทางรัฐบาลลาว ได้รับข้อมูลจากเอกสารที่นักศึกษาลาว ซึ่งเดินทางเข้ามาศึกษาอบรมได้รับไป ซึ่งในเอกสารดังกล่าว ประกอบไปด้วยข้อมูลประวัติ แผนที่ ตำแหน่ง สถานที่ พิกัด ของอาณาจักรสุวรรณโคมคำ อย่างละเอียด
รัฐบาลลาวให้ความสนใจอย่างยิ่ง จึงได้อนุมัติงบประมาณ และตั้งโครงการให้ทำการขุดค้น ในจุด พิกัด และตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ตามเอกสารดังกล่าว ก็ได้พบ "อาณาจักรสุวรรณโคมคำ" ที่สาปสูญไป จริงทุกประการ
ต่อมาข่าวการค้นพบได้ข้ามแม่น้ำโขงแพร่สู่ประเทศไทย ทำให้ทางรัฐบาลไทย(กระทรวงการท่องเที่ยว) ผ่านผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ได้ร่วมกับรัฐบาลลาว ผลักดันให้ยกฐานนะสุวรรณโคมคำเป็นมรดกโลกปรากฏตามหลักฐานภาพ และ ข่าวสาร ในสื่อมวลชนทุกแขนง เช่น URL นี้
http://goo.gl/p1umMO
นี่คือความจริง และเบื้องหลังการค้นพบอาณาจักรสุวรรณโคมคำอันสาปสูญไปแล้วเกือบสามพันปี ที่โลกไม่เคยรับรู้
นี่คือหลักฐานเรื่องหนึ่ง ในอีกหลายร้อยเรื่องจากปรากฏการณ์ที่ได้รับและพิสูจน์ได้อย่างเป็นรูปธรรม จากผลแห่งการปฏิบัติสติปัฏฐาน-ปฏิสัมภิทามรรค ที่สามารถเจาะทะลุมิติแห่งเวลา เข้าสู่วิหารแห่งปัญญา Universe Library ได้จริงแท้
จึงบันทึกไว้เป็นหลักฐานเพื่อมิให้ข้อมูล ความจริง ต้องสูญหายไปกับกาลเวลา
ขอให้ท่านสาธุชนผู้มีใจใฝ่กุศล พยายามฝึกทำแล้วจะสนุกชีวิตจะไม่น่าเบื่อเพราะเรามีกัลยาณมิตรที่แท้จริง ที่จริงใจ ที่ให้สิ่งที่เราปรารถนา พร้อมทั้งคอยติดตามปกป้องคุ้มครองให้เราเดินในเส้นทางที่ท่านได้ชี้ให้เรา อย่างเหนือกว่าชีวิตที่เราเคยเป็น ปรากฏการณ์ต่างๆ จะแปลกต่างกันไป ขึ้นกับบุญกุศลที่เราได้สร้างสมไว้ ....
ในวิถีแห่งการปฏิบัติแห่งสติปัฏฐาน-ปฏิสัมภิทามรรค ซึ่งมีมากว่า ๒๕๐๐ ปี ที่พระพุทธองค์ทรงสั่งสอนและนำมาเผยแผ่แก่พุทธบริษัท นั้น มีอะไร ๆ ที่น่าสนใจให้เราได้ค้นคว้า ปฏิบัติ เพื่อหาประสบการณ์อันทำได้จริง พิสูจน์ได้จริง ได้ผลจริง
...ข้อสำคัญที่ว่า จะปฏิบัติได้ผลหรือไม่ ...อยู่ตรงที่ตัวของคุณ "มีความจริงใจ ต่อตัวเอง" ที่จะทำ "จริง" หรือเปล่าเท่านั้น...!!!
สารบัญ หัวข้อหลักที่ควรทราบ