อัครมหาเศรษฐีจันทรา ผู้เปลี่ยนชีวิตด้วยพลังพุทธานุภาพ







อนุสนธิจากการบรรยายธรรม ในวันสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา มีสาธุชนหลายท่านเกิดข้อสงสัยคล้ายคลึงกันว่า "ปฏิบัติสมาธิ ตามพุทธวิถี สติปัฏฐาน-ปฏิสัมภิทามรรค จะสามารถเปลี่ยนชีวิต เปลี่ยนฐานะ จากเดิมให้ดีขึ้น จริงหรือ ?

       ต้องขอบคุณสาธุชน สำหรับคำถาม ทำให้ผู้ที่มีคำถามคาใจ ยังไม่กล้าปฏิบัติ เพราะคิดว่าเป็นเรื่องเหลวไหล เป็นไปไม่ได้ ที่จะสามารถเปลี่ยนชีวิต เปลี่ยนพันธุกรรม(เปลี่ยนDNA…ซึ่งเป็นวิทยาศาสตร์) ด้วยอำนาจของพลังสมาธิ จึงต้องนำหลักฐาน พยานบุคคล ที่ปฏิบัติใช้พลังสมาธิ พร้อมศรัทธาในพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เปลี่ยนชีวิตจากคนที่เรียนไม่จบ ไร้อนาคต เป็นหนี้สินล้นพ้นตัว กลายเป็นอัครมหาเศรษฐี ของโลก มาให้ศึกษากัน

        มหาเศรษฐีชาวอินเดียวัย 61 ปีนาม “สุภัช จันทรา” ผู้มีสินทรัพย์ ในครอบครองราว 160,000 ล้านบาท เจ้าของกิจการเครือข่ายโทรทัศน์ Zee TV ที่มีผู้ชม 500 ล้านคนต่อวัน และเจ้าของ Esselworld and Water Kingdom สวนสนุกและสวนน้ำที่ใหญ่ที่สุดของอินเดีย ได้ทุ่มทุน 750 ล้านรูปี (ราว 500 ล้านบาท) เพื่อสร้างศูนย์วิปัสสนาที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งมีชื่อว่า เจดีย์วิปัสนาสากล (Global Vipassana Pagoda) ซึ่งเป็นเจดีย์สีทองขนาดมหึมา ตั้งโดดเด่น เป็นสง่าท่ามกลางแมกไม้ในหมู่บ้านโกไร เมืองมุมไบ ประเทศอินเดีย

จันทราเกิดและเติบโตในครอบครัวที่มีเครือญาติช่วยกันทำการค้า ภายในหมู่บ้านเล็กๆแห่งหนึ่งทางตอนเหนือของอินเดีย ต่อมาครอบครัวของเขาค้าขายขาดทุน เกิดภาระหนี้สินล้นพ้นตัว  จึงต้องแยกย้ายกันไป จันทราต้องออกจากมหาวิทยาลัยกลางคัน เพราะไม่มีเงินเรียน  เวลานั้นเขาเหลือเงินติดกระเป๋าไม่ถึง 30 บาท ขณะมุ่งหน้าสู่กรุงนิวเดลีเพื่อทำงานหาเงินมาช่วยใช้หนี้ ให้ครอบครัวซึ่งขณะนั้นอยูษในฐานะยากจน เขาใช้ชีวิตไม่มีจุดหมาย ไร้อนาคต






     ที่นิวดลลี จันทราได้พบลามะ(พระธิเบต) ได้ถ่ายทอดการปฏิบัติสมาธิ การกำหนดภาพชีวิต และธุรกิจ ทำให้เขาเริ่มจับงานด้านธุรกิจ และไม่นานเขาก็สามารถ หาเงินก้อนใหญ่ได้จากการค้าข้าว เขาจึงย้ายไป ที่เมืองมุมไบ เพื่อตั้งโรงงานเล็กๆผลิตหลอดลามิเนทบรรจุผลิตภัณฑ์ ต่อมาในช่วงสงครามอ่าวเปอร์เซีย จันทราได้เปิดสถานีโทรทัศน์ซีทีวี (Zee TV) ซึ่งเป็นโทรทัศน์ดาวเทียมแห่งแรกของอินเดียในปี 1992 ตอนนั้นครอบครัวของเขากังวลว่า เขาจะต้องสูญเสียธุรกิจเดิมที่สร้างมากับมือไป แต่สำหรับจันทรา เขามั่นใจในพุทธานุภาพ เขากล่าวกับเพื่อนอย่างมั่นใจว่า "เขามีเทวดาประจำตัว เทวดาจะไม่ทิ้งผู้ปฏิบัติชอบ และพระพุทธเจ้าจะนำเขาไปสู่ความสำเร็จ"






อโศก คูเรียน เพื่อนผู้ร่วมก่อตั้งซีทีวี เล่าว่า มันเหมือนการเดินเข้าสู่หุบเขาแห่งความตาย ยุคนั้นยังไม่มีสถานีโทรทัศน์ของเอกชน เพราะทางการไม่ให้ใบอนุญาต ดังนั้น จันทราจึงไปเปิดสถานีที่ฮ่องกงแทน รัฐบาลอินเดียได้เรียกตัวเขาไปสอบสวนหลายครั้ง และให้ปิดสถานี แต่จันทราปฏิเสธ แม้ในช่วงเริ่มต้นเขาต้องสูญเงินเดือนละ 180 ล้านบาทก็ตาม






  ในตอนนั้น จันทราได้รับการแนะนำให้รู้จักอาจารย์ผู้สอนสมาธิชาวอินเดีย ซึ่งได้ชักชวนให้จันทราเข้าปฏิบัติสมาธิ ซึ่งเป็นแนววิทยาศาสตร์เป็นครั้งแรก “สุชีลา” ผู้เป็นภรรยาได้สนับสนุนให้สามีลองปฏิบัติสมาธิเพื่อล้างพิษจากความเครียดที่มีอยู่ จันทราได้เข้าปฏิบัติต่อยอดจากที่เขาได้ เรียนรู้และปฏิบัติอยู่เดิม

       เนื่องจากเขามีพื้นฐานการปฏิบัติสมาธิจากลามะธิเบตมาก่อนแล้ว ทำให้เขาก้าวหน้าในการปฏิบัติเร็วขึ้น คอร์สแรกสำหรับเขาใช้เวลาเพีง 10 วัน ให้ผลดีมากกว่าแค่การขจัดความเครียด เพราะเมื่อจันทรากลับไปทำงาน เพื่อนร่วมงาน สังเกตได้ถึงความคิดของเขาว่า “แหลมคมเหมือนใบมีด” และเมื่อเรื่องงานทำให้เขารู้สึกเครียดมากขึ้น เขาก็ยังคงไปเข้าคอร์สปฏิบัติสมาธิอยู่เสมอ และแม้จะมีเรื่องงานมากมายให้สะสาง ที่ทำให้เขาไม่อาจหยุดได้ เขาก็จะพักงานไว้ก่อน และเลือกที่จะปฏิบัติ

 “บ่อยครั้งที่มีเรื่องทำให้ผมไปเข้าคอร์สปฏิบัติสมาธิไม่ได้ แต่ผมก็ยังไป” จันทราพูด อโศก คูเรียน เล่าว่า ช่วงปีแรกๆของการก่อตั้งซีทีวี เขารับไม่ได้กับการหายตัวไปของจันทราบ่อยครั้ง เรามักมีปัญหาที่ไม่ซ้ำกัน 40 เรื่องประดังเข้ามาพร้อมๆกัน แล้วจันทราก็หายตัวไปขณะที่เรายุ่งกับการแก้ปัญหา แต่แล้วเขาก็จะกลับมาในสภาพที่ได้ไปเติมพลังชาร์จแบตมาอย่างดี          

กว่า 20 ปีที่มหาเศรษฐี ชาวอินเดียได้เรียน การทำสมาธิสอนให้ผมมีจิตใจสงบนิ่งในทุกๆสถานการณ์ของชีวิต ซึ่งช่วยผมเป็นอย่างมากในเรื่องธุรกิจ โดยเฉพาะในยามวิกฤต ผมค้นพบว่า การทำสมาธิแบบนี้ เป็นไปตามหลักทางวิทยาศาสตร์ พิสูจน์ได้ และผมรู้สึกว่า มันเป็นหนทางที่เหมาะสำหรับผม

จันทราบอกว่า การทำสมาธิ ช่วยให้เขาประสบความสำเร็จ ทางธุรกิจจนร่ำรวยมหาศาล เขาจึงพยายามชักชวนคนในครอบครัวไปเข้าคอร์สปฏิบัติสมาธิแบบวิทยาศาสตร์ และยังสนับสนุนให้พนักงานซีทีวี ลางานโดยได้รับเงินเดือน เพื่อไปเข้าคอร์สวิปัสสนา แต่มีไม่ถึง 15% ที่ลางานไป มหาเศรษฐีใหญ่พูดอย่างอารมณ์ดีว่า “มันไม่ได้อยู่ในชะตาลิขิต แต่เราสามารถกำหนดชีวิตของเราเองได้”






ในปี 1997 จันทราได้ยกที่ดินราว 33 ไร่ มูลค่า 150 ล้านบาท เพื่อก่อสร้างศูนย์ปฏิบัติสมาธิที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยจำลองแบบมาจากมหาเจดีย์ชเวดากองของพม่า






“ผมได้รับประโยชน์มากมายจากการทำสมาธิ จึงอยากให้คนอื่นๆได้มีโอกาสเข้าร่วมในประสบการณ์นี้เช่นกัน” จันทรากล่าวขณะนั่งในห้องทำงานที่สำนักงานใหญ่ของเอซเซิล เขามีท่าทีสงบนิ่งเช่นเดียวกับภาพวาดองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่แขวนอยู่ด้านหลังโต๊ะทำงานของเขาจันทราเข้ามาดูแลการก่อสร้างเจดีย์ดังกล่าวทุกขั้นตอน เขาขับรถนาน 2 ชมจากที่ทำงานไปยังเขตก่อสร้างเพื่อตรวจสอบ ความคืบหน้าสัปดาห์ละ 2 ครั้ง “นี่เป็นสิ่งก่อสร้างที่มีลักษณะเฉพาะ เพื่อให้อยู่ได้นานถึง 2,000 ปี” จันทราบอก






เมื่อเจดีย์สร้างเสร็จสมบูรณ์ในปีค.ศ. 2008 มหาเศรษฐีหนุ่มใหญ่ ก็ได้จัดพิธีเฉลิมฉลอง โดยอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ ไปประดิษฐาน ณ ยอดโดมที่ใหญ่ที่สุด หลังการเฉลิมฉลองเจดีย์วิปัสสนาแล้ว จันทราได้ส่งมอบการบริหารกิจการทั้งหมดให้บุตรชายคนโต และในปีถัดมา เขาได้ก้าวลงจากตำแหน่ง ประธานมูลนิธิวิปัสสนาสากล แต่ยังคงเป็นผู้ดูแลทรัพย์สินและปฏิบัติสมาธิเป็นประจำทุกวัน เขาบอกว่า  “ผมสามารถทำสมาธิได้ทุกที่ ทุกเวลา แม้ขณะกำลังพูดคุยอยู่กับคุณ เพราะสมาธิ ก็คือลมหายใจของคุณเอง”






การเปลี่ยนแปลงชีวิตของ "อัครมหาเศรษฐีจันทรา" นั้นมาจากการปฏิบัติสมาธิล้วนๆ เขาได้กำหนด“อาปานสติกมฺมฐาน”แห่งความสำเร็จ ให้ปรากฏอยู่ในใจ เขามีความมั่นคงและศรัทธาในพุทธานุภาพอย่างเชื่อมั่น ว่ามีพลังที่สามารถเปลี่ยนชีวิตของเขา ให้ก้าวขึ้นจากหุบเหวแห่งความยากจน จากหนี้สิน และความค่นแค้น สู่ความสุขอันเจิดจ้าล้อมรอบไปด้วยความสำเร็จ สิ่งต่าง ๆ ที่เขาได้สร้างขึ้นมาล้วนแล้วแต่สำเร็จด้วยพลังสมาธิ ที่เขาได้ผ่านบททดสอบ แต่ละเรื่อง แต่ละขั้นตอน แม้บางคราวต้องใช้ชีวิตแลกกับความสำเร็จ ทั้งนี้เพราะเขารู้บทสรุปได้ดีว่า ไม่มีพลังใดจะมีอำนาจเหนือกว่าพุทธานุภาพ เป็นพลังอันไร้ขีดจำกัด สามารถพิสูจน์ทดสอบ และนำมาใช้ได้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ไม่ใช่เป็นความงมงายไร้เหตุผล






  อัครมหาเศรษฐีจันทรา ได้พิสูจน์ให้ชาวโลกยุคปัจจุบันได้เห็นว่า "พลังพุทธานุภาพ มีอยู่จริง สามารถพิสูจน์ได้ทางวิทยาศาสตร์ สามารถกำจัดทุกข์ กำจัดภัย และความยากจนหนี้สิน เปลี่ยนชีวิตได้จริง และการเชื่อมต่อระหว่างมนุษย์กับพุทธานุภาพนั้น สามารถเชื่อมประสานได้ด้วย "สมาธิ" เท่านั้น











สาธุชนผู้ประกอบด้วยกุศลจิต มุ่งหาหนทางแห่งการปฏิบัติชอบ พร้อมหรือยังที่จะเปลี่ยนชีวิต และฐานะ จากความตรากตรำลำบาก ยากจน ทนทุกข์ ก้าวสู่ความสำเร็จที่เป็นรูปธรรม สามารถแตะต้องได้ ถามใจคุณดูซิว่า ยังยินดีพอใจ ในสภาพชีวิตเดิมอยู่อีกหรือ หากคุณเปลี่ยนมันได้……




  ด้วยพลังแห่งพุทธานุภาพ ขอความผาสุขสวัสดี สมปรารถนา เจริญก้าวหน้าในธรรมะ-ปฏิบัติ จงบังเกิดแก่ทุกท่านโดยพลัน ถ้วนทั่วกันเทอญ ฯ






  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

รักษา "มะเร็ง" หายขาด ? ด้วยการหายใจอาปานสติ


ในที่สุด การแพทย์ก็ต้องยอมรับว่า "มะเร็ง……หายได้จากการฝึกหายใจ ไม่ใช่ไปฉายรังสี หรือ ทำคีโม". ……เราพูดเรื่องนี้มาตั้งแต่ปี 1983 คนฟังกลับไม่เชื่อ เห่อพากันไปทำ "คีโม" ผลคือ ……ตายทุกราย……แล้วตอนนี้เป็นไง ? เพิ่งจะมายอมรับ 
    ที่จริงแล้ว พระพุทธองค์ท่านทรงตรัสสอนเผยแผ่ให้แก่พุทธศาสนิกชนมาเกือบ 3000ปี ว่าการปฏิบัติตามพุทธวิถี "สติปัฏฐาน-ปฏิสัมภิทามรรค" แค่ขั้นเริ่มต้น คือ "อาปานสติ" = ฝึกควบคุมลมหายใจเข้าออก ก็สามารถรักษาโรคภัยได้หลายร้อยชนิด เรียกว่า "ธรรมะโอสถ" (ธรรมะ=ตั้งไว้=ตั้งลม โอสถ=รักษา ……รวมความแปลว่า ตั้งลมรักษาโรค" ) 
     ดังนั้นวิธีรักษาโรคด้วยการหายใจนั้น ไม่ใช่ว่าหมอฝรั่งเพิ่งจะมาค้นพบ อาจจะไปลอกมาจากคัมภีร์พุทธ แล้วมาแผลง ว่านับ 1234 เพื่อเป็นวิทยานิพนธ์ผลงาน แต่ไม่อ้างที่มา นี่แหละน๊า ……
    เอาเป็นว่า ตอนนี้วงการแพทย์ทั่วโลกเค้ายอมรับกันแล้วว่า หมดปัญญารักษามะเร็ง ด้วยเครื่องมือ หรือการใช้ยา ต้องใช้การหายใจที่ถูกต้องเท่านั้น 
ก็เลยนำข้อมูลทางวิชาการที่ว่า มาให้สาธุชนได้อ่านศึกษา อย่างน้อยก็จะได้ภาคภูมิใจ ที่เราเป็นชาวพุทธได้ศึกษาปฏิบัติ วิทยาการที่ล้ำยุคกว่าในปัจจุบัน

………………………………………………………………………………………………

มะเร็งกับการหายใจ - Shafin de Zane presents: What is Cancer?

นี่คือ สิ่งที่คุณ ไม่เคยคาดคิด มาก่อนเลยว่า จะมีผู้ใดกล่าวว่า - มะเร็ง คือ ธรรมชาติ
(Cancer is Natural)
มะเร็ง คือ ธรรมชาติ ของการปรับตัว ของเซลล์ อันเนื่องมาจาก การที่เลือดของเรา กลายเป็นพิษ เกินกว่าที่ เซลล์จะมีชีวิต ต่อไปได้ ถ้าหาก เซลล์เหล่านั้น ไม่ปรับตัว เซลล์เหล่านั้น จะป่วย และตาย เซลล์เหล่านั้น จึงตอบสนอง อย่างเป็น ธรรมชาติ ด้วยการผ่าเหล่า เพราะเซลล์ ในร่างกายมนุษย์ มีความสามารถ ที่จะปรับตัว เพื่อรับมือกับ การเปลี่ยนแปลง การปรับตัว ของเซลล์ จึงเป็นสิ่ง ที่เป็นธรรมชาติ
เป็นที่ น่าเสียดายว่า คุณหมอทั่วโลก บอกกับเราว่า วิธีการรักษามะเร็ง คือ การบำบัดด้วย-คีโม หรือ การทำลาย เซลล์มะเร็ง ด้วยรังสี แต่สิ่งที่คุณหมอ ไม่ได้บอกเราคือ ทำไมเซลล์มะเร็ง จึงผ่าเหล่า
ตั้งแต่แรก? อย่างไรก็ตาม- เมื่อสภาพแวดล้อม เปลี่ยนไป เซลล์อีกจำนวนมาก ก็จะผ่าเหล่า- ต่อไปอีก-ไม่เร็วก็ช้า นั่นเป็นสาเหตุ ที่เราพบเห็น
ผู้ป่วยมะเร็ง ถูกให้คีโม ดีขึ้นเพียงชั่วคราว แล้วกลับทรุด ลงไปใหม่อีก
จากมุมมอง ของเซลล์ หากมัน ไม่ผ่าเหล่า-มันจะต้องตาย การผ่าเหล่า ของเซลล์ จึงเป็นธรรมชาติ 
มะเร็ง แท้จริงแล้ว คือ วิวัฒนาการ ของกลุ่มเซลล์ ที่พยายามรอดตาย จากสภาพแวดล้อม ที่เป็นพิษ แต่ทั้งหมดนี้ ก็กลายเป็นสิ่งที่ ควบคุมไม่ได้ เพราะเซลล์เหล่านั้น ลงเอยด้วยการ- ฆ่าร่างกาย แต่นั้น ไม่ใช่ประเด็น ที่แท้จริง

มะเร็ง คือ วิวัฒนาการ ของกลุ่มเซลล์ ที่พยายาม จะรอดตาย ในสภาพแวดล้อม ที่เป็นพิษอย่างสูง เราต้องพยายาม ทำความเข้าใจ ในประเด็นนี้ ให้ชัดเจน การพยายามฆ่า เซลล์เหล่านั้น -โดย ไม่ได้เปลี่ยนแปลง สภาพแวดล้อม เปรียบได้กับ การฆ่าแมลงวัน โดยไม่ได้พยายาม เอาขยะออกไป
เอาละ คุณจะลงมือ อย่างฉับพลัน- เพื่อปรับปรุง สภาพแวดล้อม ของคุณ อย่างรวดเร็ว ได้อย่างไร
มีวิธีการง่ายๆ ด้วยกัน 3 วิธีคือ:

👉วิธีที่ 1. หายใจลึกๆ - หายใจลึกๆ
สิ่งแรกที่กระตุ้น ให้เซลล์ผ่าเหล่า และ กลายเป็น เซลล์มะเร็ง คือ การขาดออกซิเจน
เซลล์มะเร็ง ปรับตัวเพื่อรอดชีวิต ในสภาพแวดล้อม ที่มีระดับ ออกซิเจนต่ำ ยิ่งมีออกซิเจน ต่ำเท่าไร เซลล์มะเร็ง ก็ยิ่งเติบโต ได้มากขึ้นเท่านั้น เพราะนี่คือ วิวัฒนาการ ของเซลล์ ที่ปกติต้องการ จะรอดชีวิต อยู่ได้ ในสภาพแวดล้อม ที่มีระดับ ออกซิเจนต่ำ - วิธีแก้ไขคือ หายใจลึกๆ ซึ่งเป็นการ ออกกำลังง่ายๆ ที่ทำได้ทุกเช้า เพื่อเพิ่ม ระดับออกซิเจน ให้กับเลือด
-- เดิน 5 นาที แล้วหายใจแบบนี้ คือ 
- หายใจเข้า 4ครั้ง ติดกัน กลั้นหายใจแล้วนับ 1 ถึง4
- หายใจออกช้าๆ 4 ครั้ง ติดกัน
ทำอย่างนี้ครับ
>>>> 1-2-3-4 <<<<
ทำอีกครั้งครับ
>>>> 1-2-3-4 <<<<
ผมหายใจเข้าทางจมูก >>>>
กลั้นใจแล้วนับ 1-2-3-4
หายใจออกทางปาก <<<<
หายใจ เข้าไปในท้อง ไม่ใช่หายใจ เข้าไปในอก นี่คือวิธีการหายใจ ที่ถูกต้อง ถ้าหากไม่มีที่เดิน ให้เดิน ในห้องนอน ของคุณ เพราะมันมีที่ พอสำหรับ
การออกกำลัง ของเราทุกวิธี

👉วิธีที่ 2 หยุดรับประทาน -กรด
สิ่งที่สอง ที่มากระตุ้นเซลล์ ให้ผ่าเหล่า กลายเป็น เซลล์มะเร็ง คือ สภาพแวดล้อม ที่เป็นกรด เพราะนั่นคือ การตอบสนอง ที่จะทำให้ เซลล์รอดชีวิตได้ ในสภาพแวดล้อม ที่เป็นกรด เซลล์ที่ผ่าเหล่า จะตาย ในสภาพแวดล้อม ที่เป็นด่าง และเติบโต ในสภาพแวดล้อม ที่เป็นกรด คุณจะทำ ให้ร่างกายของคุณ เป็นด่างได้ ก็ด้วยการ รับประทาน
อาหารที่เป็นด่าง มากขึ้น
- น้ำผัก น้ำผลไม้สด มีประสิทธิภาพ สูงมาก
- งดน้ำตาล โคคา-โคล่า เปปซึ่ และ น้ำอัดลมทุกชนิด กาแฟ เนื้อสัตว์ นม บุหรี่ และ แอลกอฮอล์
- รับประทาน ผักสดสีเขียว ผลไม้สด น้ำด่าง และ น้ำมะพร้าว หากคุณ ต้องการเห็น การเปลี่ยนแปลง ของสุขภาพ อย่างน่าอัศจรรย์ ในระยะเวลาอันสั้น ดื่มน้ำผักสดปั่น ทุกเช้า โดยไม่ต้อง รับประทาน อะไรอีกเลย จนกว่าจะถึง มื้อเที่ยง -นำผักใบเขียว หลากชนิด มะเขือเทศ แตงกวา ปั่นกับน้ำสะอาด แล้วดื่ม คุณอาจจะคิดว่า มันไม่น่าดื่มเลย แต่มันไม่เลวร้าย และออกจะอร่อย ด้วยซ้ำไป เมื่อคุณ คุ้นเคยกับมัน

👉วิธีที่ 3 ดูแลร่างกายของคุณ
ความเครียด ทำให้ ระบบภูมิคุ้มกัน อ่อนแอ
ความเครียด คือ ฆาตกรเบอร์หนึ่ง และเป็นต้นเหตุ ที่ก่อให้เกิดโรค -ทุกโรค ความเครียด เพิ่มกรด และ ส่งผลกระทบ ต่อทุกสิ่งทุกอย่าง ในร่างกาย มันจึงเป็นสิ่ง ที่สำคัญมาก ที่เราจะต้อง ทำจิตใจ ให้แข็งแรง เบิกบานอยู่เสมอ
คุณจะทำเช่นนั้น ได้อย่างไร ?
- ทำสมาธิ ดูหนังตลก ละเว้นจากการดู ข่าวร้าย
และ เรื่องเลวร้าย อ่านหนังสือดีๆ ที่ทำให้เกิด แรงบันดาลใจ หาสัตว์มาเลี้ยง พบเพื่อนใหม่ๆ สัมพันธภาพใหม่ๆ ปลดความทุกข์ ความสลดใจเก่าๆ และสิ่งเลวร้ายต่างๆ ที่ผ่านไปแล้ว 

👏และแชร์ข้อมูลนี้ ให้กับผู้อื่นต่อไป ให้มากที่สุด ที่คุณจะทำได้
ความเจ็บปวด และ ความเสียหาย ที่เกิดจากการ บำบัดด้วยคีโม เลยเถิดไปอย่าง เหนือคำบรรยาย
ช่วยให้ผู้อื่น ตื่นจากฝันร้าย ที่เกิดจาก โฆษณาชวนเชื่อ ของผู้ผลิตยา กันเสียที การป้องกัน และ รักษาตนเอง ให้หายจากมะเร็ง เป็นสิ่งที่ง่ายดาย เสียจนแทบ จะเป็นเรื่องตลก อย่างเหลือเชื่อ
ใช้ความคิด ให้ถูกต้อง
จงเปลี่ยนน้ำ ในบ่อปลา เมื่อปลาป่วย เพราะ การทำลายบ่อปลา ไม่ใช่ทางออก ที่ถูกต้อง
มาช่วยกัน ทำให้โลกของเรา ในวันนี้- น่าอยู่ขึ้น

………………………………………

หมายเหตุ :::

      ตามวิธีที่หมอฝรั่ง (ข้างบน) เขาบอกมาว่า ให้หายใจ 1-2-3-4 เพื่อรักษามะเร็งน่ะ บอกได้เลยว่า รักษามะเร็งไม่หายขาด เพียงแค่บรรเทา หรือ หยุดการเจริญเติบโตของเซลมะเร็งไประยะหนึ่ง (เหมือนเอาเนื้อสดไปแช่แข็งไม่ให้เน่า). อันนี้กล้าพูดเพราะพิสูจน์กันมาแล้ว ถ้าหายใจแบบที่ว่า แค่ผ่อน ยืดเวลาตายออกไป.เท่านั้น !!
      
      แต่ถ้าจะให้หายขาด จะต้องหายใจด้วย วิธี อาปานสติ ซึ่งมีวิธีเฉพาะ ไม่ใช่มักง่าย หรือกระโดดตบมือเหย็ง ๆ นับ 1-2-3-4 อย่างที่ว่า เพราะการปฏิบัติอาปานสติที่ถูกวิธี แล้วสามารถวัดการเพิ่มของเกล็ดเลือดวัดผลได้ ทันที เพราะถุงลมในปอดจะถูกล้าง จึงใช้งานและเพิ่มอ๊อกซิเจนเต็มที่ มะเร็งจึงหาย "เพราะมะเร็งไม่อาจอยู่ได้ในพื้นที่ ๆ มีอ๊อกซิเจน". ตัวอย่างที่มีชีวิตของผู้ปฏิบัติอาปานสติที่ถูกต้อง อายุเกือบ 90 ปี เดินข้ามเขาเกือบร้อยลูก ได้อย่างสบายๆ และไม่เคยป่วย ไม่เคยเข้าโรงพยาบาล จะหาหมอ นอกจากไปถอนฟัน………จิตใจที่เข้มแข็ง จะอยู่ภายใต้ร่างกายที่สมบูรณ์ 

       ขอความผาสุขสวัสดี เจริญก้าวหน้าในธรรมะปฏิบัติ ตามพุทธวิถี "สติปัฏฐาน-ปฏิสัมภิทามรรค" จงบังเกิดมีแด่ทุกท่าน โดยพลัน ถ้วนทั่วกันเทอญ ฯ

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

อธิษฐาน คือ หัวใจของพระพุทธศาสนา




" อธิษฐาน" ไม่ผิดอะไรกับการออกแบบบ้าน ผู้ออกแบบต้องเรียนรู้และฝึกฝน จนเป็นสถาปนิกผู้ชำนาญการ และแน่นอนที่สุด อย่างปฏิเสธไม่ได้ก็คือ  แบบบ้าน(Blue Print) ที่สถาปนิกออกแบบมานั้น ได้เสร็จสมบูรณ์ " เป็นภาพในใจ" ก่อนที่เขาจะจับปากการ๊อตติ้ง ไม้บรรทัด มาขีดเขียนไปบนกระดาษเสียอีก นี่คือธรรมชาติที่เราทุกรูปนามมีอยู่ แต่ไม่ได้ฝึก ไม่ได้ใช้ แล้วก็คิดเอง เออ เอง ว่าบ้านหรือตึก สิ่งปลูกสร้าง ใครก็ทำได้ของง่าย ๆ เอาแค่ตอกตะปู โบกปูน ถ้าไม่ผ่านงาน ไม่ฝึกหัดก็ลองดูหน่อยเป็นไร ว่าจะเป็นบ้านให้ผู้คนอยู่อาศัย หรือ เป็นได้แค่ "เพิงหมาแหงน"
    การอธิษฐานก็เช่นกัน ไม่ใช่เรื่องของการนึกฝัน คิดเอาเอง พอตัวเองทำไม่ได้ ก็เลยกลายเป็นว่า "อธิษฐาน คือ การอ้อนวอนของคนหมดหนทาง "   อืม !!…… นะ

      คำว่า “อธิษฐาน” ตามความเข้าใจของคนทั่วไปมักหมายถึงการอ้อนวอนร้องขอต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ตนเคารพนับถือ เช่นการไปกราบไหว้พระพุทธรูปที่ศักดิ์สิทธิ์ตามวัดต่าง ๆ  หรือไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ตามสถานที่ต่าง ๆ แล้วก็ขอให้ตนได้สิ่งนั้นสิ่งนี้ หรือเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ และมีการบนบานศาลกล่าวด้วยว่า ถ้าตนได้สมประสงค์ในสิ่งที่อ้อนวอนแล้ว ก็จะนำสิ่งของหรือจะทำสิ่งนั้นสิ่งนี้มาสักการะเพื่อเป็นการตอบแทน การอ้อนวอนจึงมักเกี่ยวโยงกับการบนบานศาลกล่าวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

พระพุทธโฆษาจารย์ (ป.อ. ปยุตฺโต)ได้กล่าวถึงความแตกต่างระหว่าง " อธิษฐาน กับ การอ้อนวอน " ไว้ว่า

เวลานี้ คนไทยทั่วไปก็เข้าใจเคลื่อนคลาดผิดพลาดไปในความหมายของ “อธิษฐาน” มักนึกถึงอธิษฐานในความหมายที่เป็นการอ้อนวอนปรารถนา เรื่องก็เลยกลายเป็นว่าอธิษฐานของคนไทย กับอธิษฐานของพระไม่เหมือนกัน พูดง่าย ๆ ว่า "คนไทยอธิษฐานเพื่อจะได้ แต่พระสอนให้อธิษฐานเพื่อจะทำ "(พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต), จาริกบุญ จาริกธรรม, (กรุงเทพฯ : พิมพ์สวย, ๒๕๔๑),หน้า ๓๓๑.

        การอธิษฐานบารมีตามหลักพระพุทธศาสนา เป็นการตั้งจุดมุ่งหมายหรือความปรารถนาต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง หรือเพื่อกระทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งโดยอาศัยการกระทำของตน

        กล่าวคือ เมื่อมีการตั้งความปรารถนาแล้วก็ดำเนินตามจุดมุ่งหมายที่วางไว้อย่างแน่วแน่ เช่น การตั้งความปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า หรือตั้งความปรารถนาเป็นพระสาวกเอตทัคคะด้านต่าง ๆ เป็นการตั้งจุดมุ่งหมายแล้วก็ปฏิบัติตนตามจุดมุ่งหมายนั้น ๆ มีหลักการและวิธีการปฏิบัติที่ชัดเจน
ซึ่งการตั้งจุดมุ่งหมายนี้จะเกิดขึ้นหลังจากที่ได้ทำบุญกุศลอย่างใดอย่างหนึ่งก่อนแล้วจึงอธิษฐานหรือตั้งความปรารถนา จากนั้นก็ทุ่มเทบำเพ็ญบารมีเพื่อให้ไปถึงจุดหมายนั้น เน้นการกระทำของตนเป็นสำคัญ ต่างจากการอ้อนวอนซึ่งหลังจากอ้อนวอนแล้วก็ไม่มีหลักการที่แน่นอนว่าตนเองจะทำอะไรให้ได้ในสิ่งที่อ้อนวอนนั้น ปล่อยให้เป็นไปตามอำนาจหน้าที่ของเทพเจ้าแล้วแต่จะดลบันดาลให้ อันเป็นลักษณะของศาสนาเทวนิยม ซึ่งไม่ตรงตามหลักคำสอนของพระพุทธศาสนา การอธิษฐานเป็นการทำเหตุให้ได้ในสิ่งที่ปรารถนาโดยตนเอง แต่การอ้อนวอนหวังผลจากสิ่งภายนอก หรืออาจกล่าวได้ว่าการอธิษฐานเน้นที่ผลสัมพันธ์กับเหตุ ส่วนการอ้อนวอนเน้นที่ผลไม่สนใจเหตุ...

อธิษฐาน ประกอบด้วยองค์ 3 คือ. สัจจะ จาคะ ธัมมะ

1. ถึงพร้อมด้วยสัจจะ คือ วาจา อันกล่าวมาจาก "ใจ" หรือ วาจากับใจเป็นหนึ่งเดียวกัน ต่างกับการพูดทั่วไป จึงต้องฝึกให้ วาจา กับ ใจ ออกเสียงพร้อมกัน

2. ถึงพร้อมด้วยจาคะ คือ ทาน ไม่มีทานใดจะยิ่งไปกว่าการให้ชีวิตของตน เพราะมนุษย์ สัตว์ทุกรูปนาม ย่อมรักชีวิตของตน ดังนั้น การกล่าวสัจจะวาจา ถวายชีวิตเป็นพุทธบูชา จึงมีความสำคัญยิ่งเป็นอันดับที่ ๒ จึงต้องฝึกกล่าวทุกวัน

3. ธัมมะ  ที่ตั้ง หมายถึงคำที่กล่าวเป็น วลี ออกมานั้นจะต้องออกมาจากฐานที่ตั้งของใจ จึงเรียกกันสืบมาว่า "ตั้งใจ" (แต่เอาเข้าจริง จะมีสักกี่คนที่จะรู้ว่า ณ เวลานั้น ๆ ใจอยู่ที่ไหน ? พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ชัดเจนว่า " สิ่งทั้งหลาย ย่อมสำเร็จได้ด้วยใจ" ดังนั้นเมื่อไม่รู้ที่ตั้งของใจ อะไรก็ไม่สำเร็จ


           ด้วยเหตุดั่งนี้ ท่านจึงให้ฝึก "หาที่ตั้งของใจ โดยใช้ลม" เรียกว่า "ลมหาใจ" (สมัยต่อมาเพี้ยนเป็น "ลมหายใจ") การฝึกนี้เป็นขั้นต้น ในพระบาลีเรียกว่า "อาปานสติ" แยกคำออกเป็นส่วนๆ ได้ดังนี้ คือ
อา=ลมที่เราสูดเข้าไปทางจมูก.
ปา=ลมที่ออกมาทางจมูก
สติ=ระลึกรู้ลมที่เข้าออกนั้น

หมายเหตุ :::
เมื่อเวลาผ่านมานับพันๆ ปี ภาษาที่ใช้ก็เพี้ยนไป การคัดลอกคัมภีร์สืบต่อ ก็พลอยผิดไป เนื่องจากการถ่ายทอดการปฏิบัติ จะใช้แบบมุขปาฐะ เฉพาะศิษย์ที่ใกล้ชิด ทั้งนี้เพื่อป้องกันกัน มิให้เกิดเหตุเดียรัจถีย์ปลอมบวช(ดั่งเช่น ศังการพราหมณ์) ได้ความลับของการปฏิบัติในพระพุทธศาสนาไป และนำไปใช้ในทางอกุศล ดังนั้นการถ่ายทอดด้วยเสียงพูด(มุขปาฐะ) ทำให้ผู้ฟังเข้าใจผิดเพี้ยนไป

     โดยเฉพาะ องค์แห่งการอธิษฐานที่ 3 คือ ธมฺม (อ่านว่า ทำ มะ……แปลว่า ทรงไว้ ตั้งไว้ รักษาไว้) เป็น ธ. ธง ผู้ฟังก็ได้ยินเป็น ท.ทหาร จึงบันทึกเป็น ทมะ (อ่านว่า ทะ มะ แปลว่า. ทมะการรู้จักข่มจิตข่มใจตนเอง ทมะ หมายถึง ความรักในการฝึกฝนตนเอง ... ทันต่อกิเลส หมายถึง รู้เท่าทันกิเลสภายใน ตัวของเรา รู้ว่าอะไร คือสิ่งที่จำเป็นสำหรับชีวิต อะไรคือสิ่งฟุ่มเฟือย สิ่งไร้สาระ ไม่เกิดประโยชน์) ซึ่งก็ใกล้ความจริงในความหมาย แต่มันไม่ใช่ เหมือน วัวกับควาย ใช้ไถนาได้ ดูคล้ายกัน แต่ไม่เหมือนกัน ดังนั้น เมื่อความผิดเพี้ยนทางภาษาเกิดขึ้น เวลาผ่านไป หาผู้รู้จริงจากการปฏิบัติไม่ได้ จึงยึดตำรา และเมื่อนำตำรามาเป็นแนวทาง การปฏิบัติ "อธิษฐาน" ซึ่งเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา จึงไม่เกิดผลเป็นที่ประจักษ์ จึงพากันกล่าวเบี่ยงเบนไปว่า การอธิษฐานคือ "ความโลภ…อยากได้ หรือ เป็นพุทธต้อง ลด ละ เลิก จะอธิษฐานไปทำไม ผิดทางที่พระพุทธเจ้าสอน ……เอาพระพุทธเจ้ามาปิดปากคนที่ถามอยากปฏิบัติ. (ซึ่งถ้าผู้ที่กล่าวเช่นนั้นเป็นภิกษุก็ต้องครุกาบัติ(อาบัติหนักที่ปลงไม่ได้ ฐานกล่าวตู่พุทธพจน์ที่ไม่มีอยู่จริง) เพราะทุกระดับชั้นในการปฏิบัติ ไมว่าปฐมฌาน ไปจนถึงขั้น สัมโพธิญาณ ต้องอาศัยการอธิษฐานทั้งสิ้น ยกตัวอย่างง่ายๆ พระพุทธองค์ในอดีตชาติยังทรงอธิษฐานเป็นพระพุทธเจ้า แม้ก่อนจะบรรลุอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ ยังทรงอธิษฐานลอยถาด แม้ว่าทรงตรัสรู้แล้วในการเผยแผ่พระพุทธองค์ก็ทรงอธิษฐาน และทรงสั่งสอนถ่ายทอดให้กับพุทธบริษัท เพราะอธิษฐาน คือ "หัวใจของพระพุทธศาสนา"

ด้วยพลังแห่งพุทธานุภาพ ความเจริญก้าวหน้า ในธรรมะ-ปฏิบัติ ตามพุทธวิถี "สติปัฏฐาน-ปฏิสัมภิทามรรค" ความสมบูรณ์ด้วยลาภ โชค โภคทรัพย์ สมปรารถนาในสิ่งอันเป็นกุศล จงบังเกิดผลโดยพลัน แก่สาธุชนทุกท่าน ดั่ง "ใจอธิษฐาน" ทุกประการ เทอญ

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

ใช้ภาพ -เสียง ทำสมาธิ มีตรงไหน ในพระไตรปิฎก Part III

   



ดังที่ได้กล่าวไปแล้วว่า "เสียง ที่เราได้ยิน และไม่ได้ยินนั้น เกิดจากการคลื่นเสียงที่ผลักให้เกิดการเคลื่อนตัวของ โมเลกุล"  ทั้งนี้หมายรวมไปถึง เสียงที่เราเปล่งออกมาด้วยเช่นกัน ซึ่งสมองจะทำหน้าที่เสมือนเครื่องส่งและเครื่องรับสัญญาณคลื่น การเคลื่อนที่ของโมเลกุลที่เกิดจากคลื่นเสียงนั้น ก็จะทำให้เกิดการเคลื่อนตัวของโมเลกุลในสมองมนุษย์ด้วย 





ความมหัศจรย์ของสมองมีการสื่อสาร รับรู้และสั่งการได้อย่างรวดเร็ว โดยใช้เวลาไม่ถึงวินาทีิสำหรับคนที่ศึกษาทางด้านชีววิทยาที่เกี่ยวกับการทำงานของสมอง ถือว่าเป็นเรื่องที่น่าทึ่งมากๆ และก็เป็นโจทย์ที่ตั้งไว้สำหรับการวิจัยมาช่วงระยะเวลาหนึ่งแล้ว เพื่อที่ศึกษาและทำความเข้าใจถึงกลไกการทำงานและการสื่อสารระหว่างเซลล์สมองนับล้านๆ เซลล์





  ซึ่งสามารถกล่าวได้ว่า สมองซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ชั้นยอด อันจะหานวตกรรมใดๆ ในโลกยุคปัจจุบันเทียบได้ เพราะมันสามารถที่จะบรรจุข้อมูลต่างๆ ได้อย่างไม่จำกัด และประมวลผลข้อมูลเพื่อนำมาใช้ได้อย่างรวดเร็ว ตั้งแต่เรื่องที่ดูเหมือนจะง่ายที่สุดอย่างการควบคุมการหายใจไปจนถึงเรื่องที่ดูเหมือนจะยากที่สุด เช่น การแก้โจทย์ปัญหาต่างๆ ในการเรียนรู้ในชั้นเรียน อย่างไรก็ตามสมองก็สามารถเกิดความผิดปกติต่างๆ ได้เช่นเดียวกับคอมพิวเตอร์  ซึ่งแสดงออกในรูปแบบของการเป็นโรคเกี่ยวกับสมอง เช่น โรคพาร์กินสัน โรคความจำเสื่อมและอาการหลงๆ ลืมๆ เมื่อเข้าสู่วัยชรา เป็นต้น





ที่ผ่านมานักวิทยาศาสตร์จำนวนมากได้ศึกษาค้นคว้าและวิจัยสะสมองค์ความรู้ต่างๆ จนสามารถทำความเข้าใจกลไกการทำงานของสมองได้ในระดับหนึ่ง อย่างน้อยในขณะนี้ก็ทำให้เราทราบว่า เซลล์สมองมีการสื่อสารและส่งข้อมูลต่างๆ ผ่านโมเลกุลของสารที่อยู่ภายในร่างกายหรืออาจจะกล่าวได้ว่า เซลล์สมองมีการสื่อสารกันโดยใช้ “biochemical signal molecules” หรือที่เรียกว่า “สารสื่อประสาท”






ปัจจุบัน นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยโคเปนเฮเกน (University of Copenhagen) ประเทศเดนมาร์ก ได้อธิบายถึง ความสามารถในการส่งต่อกระแสประสาทของเซลล์ประสาทไว้ว่า การสื่อสารระหว่างเซลล์ประสาทเหล่านี้จะใช้สารสื่อประสาททั้งหมด 3 ชนิด คือ 1) โดปามีน (dopamine) ทำหน้าที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการคิดและความจำ  2) เซอโรโทนิน (serotonin) ทำหน้าที่ควบคุมสภาวะทางอารมณ์  และ 3)   นอร์อะดรีนาลีน (noradrenalin) ทำหน้าที่เกี่ยวกับสมาธิ ความตั้งใจ และการตื่นตัว






การที่เซลล์ประสาทสามารถส่งกระแสประสาทไปยังเซลล์ประสาทอื่นๆ ได้ต้องอาศัยการทำงานของ โปรตีนตัวรับ ที่เรียกว่า “Soluble N-ethylmaleimide-sensitive factor attachment protein receptor (SNARE) proteins” หรือเรียกชื่อย่อว่า SNARE ทีมนักวิจัยจากโคเปนเฮเกน พบว่า การส่งกระแสประสาทที่เกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็วนั้น เป็นผลมาจากการทำงานของ SNARE ที่ทำหน้าที่เชื่อมเวสิเคิล (vesicle ซึ่งบรรจุสารสื่อประสาท) เข้ากับเยื่อหุ้มเซลล์ประสาท โดยจะพบ SNARE อย่างน้อย 3 ชุดที่ทำหน้าที่ดังกล่าว และถ้ามี SNARE เพียงแค่ชุดเดียวก็จะทำให้การเชื่อมต่อกันของเยื่อหุ้มเซลล์ประสาทกับเวสิเคิลทำได้ช้าลง





โมเลกุลของสารตั้งต้นสำหรับการจับกันเพื่อเกิดเป็น SNARE complex (ตามภาพ) จะบรรจุอยู่ในเวสิเคิลก่อนที่ถุงเวสิเคิลนี้จะเดินทางมาถึงเยื่อหุ้มเซลล์ประสาทที่เป็นเป้าหมาย และการรวมตัวกันอย่างรวดเร็วของเยื่อหุ้มเวสิเคิลกับเยื่อหุ้มเซลล์ประสาทจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วด้วยการช่วยเหลือของ SNARE อย่างน้อย 3 ชุด แต่ถ้ามี SNARE เพียงแค่ชุดเดียวก็ยังคงสามารถที่จะทำงานได้ เพียงแต่จะใช้เวลามากขึ้นเท่านั้นเอง. ที่สำคัญคือ SNARE นี้จะเกิดขึ้น เคลื่อนไหว และแตกสลาย หายไป นั้นเกิดจากกระแสคลื่นสัญญาณไฟฟ้าชีวภาค ที่เข้ามากระทบ ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และความนึกคิด ทางพุทธศาสนา เรียกว่า "อารมณ์"(Bio-electromagnetic)" และนี่คือความสำคัญในการควบคุม สร้างเสริม SNARE ให้เพิ่มจำนวนมากขึ้น เพื่อให้เกิดการสื่อสาร และประมวลของสมองที่รวดเร็ว ก็จะเกิดจากสามารถควบคุมให้อารมณ์สงบได้ มาน้อย นาน ได้แค่ไหน ซึ่งภาษาทางปฏิบัติเรียกว่า "สมาธิ"











สารบัญทั้งหมดจะอยู่ทางด้านขวามือของหน้า  (ทุกหน้า)   เวอร์ชันสำหรับเว็บ



  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS