ความภาคภูมิใจ ที่ได้เป็นชาวพุทธ ที่ได้ศึกษาวิทยาการอันล้ำหน้ากว่าวิทยาศาสตร์-เทคโนโลยีปัจจุบัน เกือบ 3,000ปี แม้แต่ "ไอน์ สไตน์". ยังศึกษาพระอภิธรรมจากคำภีร์พุทธ ปรากฏหลักฐาน นำไปบัญญัติศัพท์ทางฟิสิกส์ใหม่เป็นของตน เช่นคำว่า "อะตอม (atom). มาจากภาษาบาลีว่า "อัตตา(Atta)". และจากการที่ไอน์ สไตน์ ได้ศึกษาเชิงลึกจากคัมภีร์พุทธ ในเรื่องของ "กฏแห่งกรรม-ภพภูมิ-นรกสวรรค์" กลายเป็นแรงจูงใจให้เขาสร้างทฤษฏี "กาล-อวกาศ(Time &Space)" ขึ้น โด่งดังเป็นนักวิทยาศาสตร์ฟิสิกส์ระดับหนึ่งของโลก และได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์.
....... เรื่องน่าทึ่งของพระพุทธเจ้า...
ก่อนที่วิทยาศาสตร์ จะค้นพบว่า อะตอมเป็นสิ่งที่เล็กที่สุดในโลก
เชื่อหรือไม่ว่า พระพุทธเจ้าทรงเคย อธิบายเรื่องของปรมาณูไว้ โดยได้กล่าวไว้ว่า
1ธัญญามาตร (ขนาดเล็กของเมล็ดข้าว)
ประกอบด้วย 7อูกา (ศรีษะของตัวเล็น)
1อูกา ประกอบด้วย 7สิกขา (รอยขีดเล็กๆ)
1สิกขา ประกอบด้วย 37รถเรณู (ละอองเกสรดอกไม้)
1รถเรณู ประกอบด้วย 36ตัชชารี (ละอองรังสีในแสงแดด)
1ตัชชารี ประกอบด้วย 36อนู (อนุภาคขนาดเล็ก)
1อณู ประกอบด้วย 36ปรมาณู
1ปรมาณู แบ่งแยกไม่ได้อีก
เพราะหากแยกต่อไป จะหมดสภาพของสารนั้น
นักวิทยาศาสตร์เพิ่งจะรู้ว่าโลกกลม
มีแผ่นดินเพียง 1 ใน 4 นอกนั้นคือผืนน้ำ และลอยอยู่ ในห้วงอวกาศ เมื่อตอนที่ส่งดาวเทียมขึ้นไปสำรวจ เพียงไม่นานมานี้
แต่พระพุทธเจ้าเคยตรัสไว้ในพรหมชาลสูตร เมื่อนานนับพันปีมาแล้วว่า
"โลกนี้กลมเหมือนผลมะขามป้อม"
แถมยังอธิบายถึงการมีอยู่ของโลกไว้ ผ่านการสนทนากับพราหมณ์ มีใจความตอนหนึ่งว่า..
"โลกตั้งบนสิ่งใด?" (คำถามของพรามณ์)
"บนแผ่นน้ำ" (พระพุทธเจ้า ทรงตอบ)
"แผ่นน้ำตั้งอยู่บนสิ่งใด?" (คำถามของพรามณ์)
"บนลม" (พระพุทธเจ้าทรงตอบ)
"และลมตั้งอยู่บนสิ่งใด?" (คำถามของพราหมณ์)
"บนอวกาศ" (พระพุทธเจ้าทรงตอบ)
"และอวกาศตั้งอยู่บนสิ่งใด?"(คำถามของพราหมณ์)
"มากเกินไปเสียแล้ว พรามณ์เอ๋ย อวกาศมิได้ตั้งอยู่ บนสิ่งใดทั้งสิ้น ไม่มีสิ่งใด ค้ำอวกาศไว้เลย" (พระพุทธเจ้าทรงตอบ)
แต่สิ่งที่ทำให้ไอน์สไตน์ และนักวิทยาศาสตร์ทั่วโลก ต้องอึ้ง ทึ่ง งง ก็คือ
สิ่งที่พระพุทธเจ้า กล่าวเอาไว้ว่า
"เวลาในโลกมนุษย์ สวรรค์ นรก ไม่เท่ากัน"
ซึ่งวิทยาศาสตร์เพิ่งจะพิสูจน์ได้ โดย ทฤษฎีสัมพัทธภาพ ของ ไอน์สไตน์ ว่า เวลาในแต่ละที่ไม่เท่ากัน แม้กระทั่งบนยานอวกาศ และดาวแต่ละดวง
โดยเฉพาะในหลุมดำ (Black Hole) ที่มืดมิดที่สุด แสงโดนดูดจนหมดสิ้น จะมีเวลานานที่สุด
มีนักวิทยาศาสตร์ชาวพุทธคนนึง
ได้นำแผนที่ของหลุมดำ (Black Hole) ทุกๆที่ มาทาบกับ เรื่องราวของภพทั้งสาม คือ เขาพระสุเมรุ นรก สวรรค์ และ โลกมนุษย์
ผลจากการทาบแผนที่ พบว่า
ตำแหน่งของหลุมดำ (Black Hole) ตรงกับตำแหน่ง ของขุมนรกต่างๆพอดี
และตรงกับคำของ พระพุทธเจ้า ที่ตรัสไว้ว่า เวลาในนรก ยาวนานที่สุด (ซึ่งทำให้แสง เดินทางได้ช้าที่สุด ตามทฤษฎีสัมพัทธภาพ ของไอน์สไตน์)
นอกจากนี้ พระพุทธเจ้ายังรู้ ถึงการเกิด และอายุขัย ของมนุษย์ตั้งแต่เมื่อ 2,500ปีมาแล้ว
ก่อนที่ องค์การอนามัยโลก จะวิเคราะห์ไว้ว่า มนุษย์ยุคปัจจุบัน มีอายุเฉลี่ยเท่ากับ 75ปี
ก็ไม่น่าเชื่อว่า จะพ้องกับคำสอนของ พระพุทธเจ้า ที่ว่า
ทุกๆ 100ปี อายุมนุษย์จะลดลง 1ปี
ดังนั้น มนุษย์ผู้ซึ่งเคยมีอายุเฉลี่ย 100ปี เมื่อ 2,500ปี ที่แล้ว
ก็ค่อยๆลดอายุเฉลี่ยลง = 2,509/100 = 25 ปี จนเหลือ 75ปีในปัจจุบัน...
นี่คือส่วนหนึ่งของหลักฐานที่มา "Time & Space" ของไอส์ สไตน์ ที่ชาวพุทธ และชาวโลกควรต้องภาคภูมิใจและรับรู้
ข้อความที่นำมาประกอบ ไปอ่านได้สมบูรณ์ที่ https://www.facebook.com/442993079227558/photos/a.443004555893077.1073741828.442993079227558/516769218516610/?type=3
ด้วยพลังแห่งพุทธานุภาพ และ ปวงเทพยดาทุกชั้นฟ้า พร้อมด้วย"บุญ" อันสำเร็จด้วย "ใจ" ที่ได้ถวายธรรมทาน วิชชา "คัมภีร์มหาจักพรรดิราช -รัตตัญญุศาสตร์ แก่พระคุณเจ้า และนักศึกษา มหาวิยาลัยจุฬาลงกรณ์ ราชวิทยาลัย จงส่งเสริมศุภพรชัย ให้สาธุชนทุกท่าน เจริญก้าวหน้า ในขีวิต หน้าที่การงาน สุขสำราญด้วยลาภ โชค โภคทรัพย์ สมปรารถนาดั่งอธิษฐานอันเป็นกุศลทุกประการ ถ้วนทั่วกัน ทุกท่านเทอญ
วิชชาที่พระอาจารย์ธรรมบาลจะนำไปสอนให้กับนักศึกษาดุษฏีบัณฑิต มจร ขอนแก่น
12:08 |
Read User's Comments(0)
ว่าด้วย "ความสำคัญของ อารมณ์ปริตตะ"
11:28 |
"......จตุตถฌานที่เป็นไปในอิทธิวิธะ ย่อมมีอารมณ์เป็นปริตตะ และมหัคคตะ อย่างไร ?
คือว่า ในกาลใด พระโยคาวจรมีความประสงค์ทำกายให้อาศัยจิตแล้วไป(เหาะไป) ด้วยกายที่มองไม่เห็นก็ยังกายให้เปลี่ยนไปด้วยอำนาจแห่งอธิจิต ย่อมตั้งนิมิตอารมณ์ไว้ ณ ฐานที่ตั้งแห่งใจ ย่อมยกกายขึ้นในอารมณ์แห่งมหัคคตะ ในกาลนั้น อิทธิวิธะ อันพึงประสงค์นั้นก็ พึงสำเร็จด้วยมีอารมณ์เป็นปริตตะ เพราะ มีรูปกายเป็นอารมณ์
มีอรรถาธิบายว่า มีอารมณ์ที่พร้อมแล้วด้วยการประกอบวจีสังขาร แลมโนสังขารในกาลใด พระโยคาวจรทรงอารมณ์ไว้ ณ ฐานที่ตั้งแห่งใจ อาศัยกายมีความประสงค์จะไปด้วยกายที่มองเห็น ก็พึงบังคับจิตให้เปลี่ยนไปตามอำนาจแห่งกาย ย่อมตั้งอารมณ์ที่มีปิติเป็นบาทไว้ ณ ฐานที่ตั้งแห่งใจ คือย่อมยกขึ้นตั้งไว้ในรูปกาย ในกาลนั้น อิทธิวิธะนั้น ก็มีอารมณ์เป็นมหัคคตะ เพราะมีมหัคคจิตเป็นอารมณ์เพราะทำอรรถาธิบายว่า มีอารมณ์ที่ได้ด้วยการประกอบ จตุตถฌานที่เป็นไปด้วยทิพยโสต มีอารมณ์เป็นปริตตะอย่างเดียว เพราะปรารภเสียงเป็นไป
จตุตถฌานที่เป็นไปด้วยเจโตปริยญาณ มีอารมณ์เป็นปริตตะ เป็นมหัคคตะ และอัปปมาณะอย่างไร ?
คือว่า ในเวลาที่รู้จิตอันเป็นกามาพจรของชน แลโอปปาติกะเหล่าอื่น เจโตปริยญาณนั้นตั้องมีอารมณ์เป็นปริตตะ ในเวลาที่รู้รูปาวจรจิต และอรูปาวจรจิตของชน แลโอปปาติกะอื่น ก็มีอารมณ์เป็นมหัคคตะ ในเวลาที่รู้มรรคและผลของชนอื่น ก็มีอารมณ์เป็นอัปปมาณะ ในอธิการนี้ ปุถุชนย่อมไม่รู้จิตของพระโสดาบัน พระโสดาบันย่อมไม่รู้จิตของพระสกทาคามี ด้วยอาการอย่างนี้ พึงทราบจนถึงพระอรหันต์ แต่พระอรหันต์ย่อมรู้จิตของบุคคลทั้งหมด ก็อริยบุคคลอื่นอีกที่สูง ย่อมรู้จิตของบุคคลผู้ต่ำ พึงทราบความต่างกันดังกล่าวมานี้
จตุตถฌานที่เป็นไปในยถากัมมุปคญาณ ย่อมมีอารมณ์เป็นปริตตะในเวลาที่รู้กรรมที่เป็นกามาพจร มีอารมณ์เป็นมหัคคตะ ในเวลาที่รู้กรรมที่เป็นรูปาวจรและอรูปาวจร
จตุตถฌานที่เป็นไปในทิพยจักษุ มีอารมณ์เป็นปริตตะอย่างเดียวเพราะมีรูปเป็นอารมณ์...."
นี้เป็นข้อความอันยืนยัน ความสำคัญแห่งอารมณ์ปริตตะ ที่ปรากฏเป็นหลักฐานในพระไตรปิฏกบาลี ซึ่งในวันเสาร์-อาทิตย์นี้ จะได้ขยายความในรายละเอียด เพื่อเข้าสู่การปฏิบัติในส่วนแห่งมโนทวารวิถี อันมี "มนสิการ" เป็นประตูบานแรกที่จะผ่านเข้าไป สู่มิติแห่งใจ อันจะเป็นหนทางดำเนินไปสู่อัปปนาสมาธิ ดังพุทธพจน์กำหนดวิถีปฏิบัติไว้ชัดเจนว่า " อัปปนาสมาธิ จักเป็นไปมโนทวารวิถี เท่านั้น "
ขอความสำเร็จ ผาสุข สวัสดี สมปรารถนาก้าวหน้าในธรรมปฏิบัติ จงบังเกิดแก่ สาธุชนทุกท่านถ้วนทั่วกันเทอญ
สารบัญทั้งหมดอยู่ด้านขวามือของทุกหน้า(เวอร์ชั่นเว็บ)
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)