Crack RNA Code By Meditation / 10 (คำสอนพระอาจารย์ธรรมบาล 30 มิถุนายน 2558)


ขอยกตัวอย่างการทดลองทางวิทยาศาสตร์ฟิสิกส์-การแพทย์ เกี่ยวกับเสียงสวดมนต์ของพุทธศาสนา บทขึ้นต้น คือ นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุท ธัสสะ ฯ ว่าส่งผลกับมนุษย์ในส่วนไหนบ้าง


ในทางปฏิบัติ การที่ให้เริ่มตั้งต้นที่ปถวีธาตุ จีนเรียกจุดตั่งชั้ง ทางวิทยาศาสตร์การแพทย์ ยอมรับว่าส่วนปลายสุดของกระดูกสันหลัง เป็นส่วนของจุดรวมประสาท ที่จะส่งขึ้นสู่สมอง ดังนั้น การเริ่มต้นให้คลื่นเสียงกำเนิด ณ จุดดังกล่าว กระบวนการทางชีวภาคของ RNA จึงส่งสัญญานไฟฟ้าไปยังเส้นประสาทในไขสันหลัง ขึ้นสู่สมองได้โดยตรง ไม่ต้องใช้ข้อมูลทางพันธุกรรมจากDNA มาแปลรหัส เรียกว่า Bypass ข้ามขั้นตอนปกติไปเลย โดยอาศัยคลื่นความถี่ของเสียงระดับต่ำกว่า Delta ซึ่งเป็นเสียงของPlasma(ใจ) จึงมีพลังสูงยิ่ง 

.....ดูภาพจากการค้นคว้าทดลอง คลื่นเสียงนะโม... ประกอบ


จากการค้นคว้าทดลอง ได้ผลว่า ในขณะที่ความถี่คลื่นเสียง นะโม... เคลื่อนที่ขึ้นสู่สมองนั้น ความสั่นสะเทือนของคลื่นเสียงส่วนหนึ่ง ได้กระตุ้นเซลล์ประสาทของหัวใจ ทำให้กล้ามเนื้อหัวใจ และลิ้นหัวใจทำงานได้ดียิ่งขึ้น จึงจะเห็นได้ว่า ผู้ที่สวดมนต์อย่างถูกวิธีจึงปราศจากอาการของโรคหัวใจ หรือที่เคยเป็นอยู่ก็จะทุเลาเบาบางและหายไปในที่สุด นี่คืออานิสงค์ในการ "ปริกมฺมฺ" หรือ สวดมนต์ จึงมีร่างกายแข็งแรง กว่าผู้ที่ไม่สวดมนต์ หรือสวดมนต์แบบผิดวิธี


ที่กล่าวมานั้นเป็นส่วนของวิทยาศาสตร์การแพทย์ ทีนี้มาดูข้อมูลในทางพระพุทธศาสนา เรื่องของคลื่นความถี่เสียง นะโม.... ส่งผลอย่างไร ต่อมนุษย์บ้าง (ต้องย้ำว่า นี่เป็นวิทยาการทางอายุรเวช-ฟิสิกส์ เมื่อ 2500กว่าปีก่อน ที่ถ่ายทอดสั่งสอนพุทธบริษัทให้ปฏิบัติ) 


อักขระที่ทำให้เกิดคลื่นเสียง นะโม ตัสสะ... ทั้งหมดมี 18 ตัว ความถี่ของอักขระแต่ละตัว จะทำหน้าที่กระตุ้นโปรตีน สารชีว ภายในซึ่งประกอบเป็นเซลล์ร่างกายเรียกภาษาอภิธรรมว่า "ธาตุ" ทั้งหมด 18 ธาตุ ซึ่งธาตุเหล่านี้จะทำหน้าที่ควบคุม ประสาทรับรู้ ไม่ว่า ตา หู จมูก ลิ้น สัมผัส ต่าง ๆ คือกระตุ้นเซลล์ ให้ทำงานด้วยคลื่นความถี่ของเสียงระดับต่ำกว่าDelta 

ดังนั้นผู้ปฏิบัติชอบ ในแนวทางแห่งสติปัฏฐาน - ปฏิสัมภิทามรรค จะไม่ต้องใส่แว่น ไม่ต้องใส่หูฟัง ไม่หลงลืมง่าย เพราะสัญญาณBio-Electromagnetic ได้ถูกกระตุ้นให้ทำงาน ข้ามจากขั้นตอนปกติ ซึ่งตามอายุจะต้องแก่ หง่อม สั่นแหง่ก ๆ ก็แข็งแรง สมบูรณ์ จึงจะเห็นได้ว่าผู้ปฏิบัติชอบ หากเป็นหญิง(จะเห็นชัด) คือ สวย งามสง่า กว่าเดิม ชายไม่แก่ เกินวัย เพราะเซลล์ทั้งหมดได้รับการกระตุ้น ด้วยความถี่ของคลื่นเสียง นะโม...ทั้ง 18 ตัว ทางปฏิบัติคือไปกระตุ้นธาตุ 18 เรียกว่า "อัฏฐารสธาตุ) อ่านว่า อัด-ถา-ระ-สะ แปลว่า สิบแปด 



ซึ่งการปฏิบัติที่ถูกทางเช่นนี้ ได้สืบทอดกันมาแต่พุทธกาล ปรากฏเป็นหลักในแผ่นดินไทย ครั้งสมัยสุโขทัยเป็นราชธานี บ้านเมืองยุคนั้นจึงเจริญรุ่งเรือง ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว ปราศจากศึกสงคราม ประชาชนมีความสุขกันถ้วนหน้า เข้าวัดถือศีลปฏิบัติชอบ กันทุกวันอุโบสถ เพราะของจริง ปฏิบัติแล้วได้ผลจริง โบราณจึงกล่าวติดปากกันมาว่า แค่ นะโมตัสสะ คุณพระก็คุ้มครอง ช่วยให้ขีวิตอยู่รอดได้แล้ว 


สำหรับผู้ที่เพิ่งได้อ่านข้อมูลนี้เป็นครั้งแรก หรืออ่านแล้ว เกิดกุศลจิตคิดอยากจะลองทำดูแต่ไม่รู้จะตั้งต้นตรงไหน เพราะไปสำนักไหน ถามอาจารย์เจ้าสำนักว่า "อาจารย์คะ ..."ใจ" อยู่ตรงไหนคะ ?"  นอกจากจะไม่ได้คำตอบจากเจ้าสำนักปฏิบัติแล้ว อาจมีของแถมที่ไม่พึงปรารถนาตามมาอีกตะหาก จริงแล้วคำตอบน่ะง่าย ๆ เพราะของจริง น่ะไม่ยาก อย่างที่คิด 

เราลืมกันไปหรือเปล่า ? ว่า ทำไม พระพุทธองค์ จึงทรงให้ใช้ "ลม" ในการทำสมาธิ ลมเข้าทางจมูกเรียกว่า "อัสสาสะ " ลมออกทางจมูก เรียกว่า "ปัสสาสะ" คำตอบคือ "ลม มีไว้สำหรับ หาใจ"(ไม่ใช่ "ลมหายใจ" คำนี้เป็นผลพวงแห่งการวิบัติทางภาษา) 


ดังนั้น จึงใช้ "ลม" เป็นตัวหาใจ พระพุทธองค์เรียกว่า "อาปานัสสติ" ใช้ในการหา "ที่ตั้งของใจ" เพื่อให้รู้ว่า "ใจอยู่ตรงไหน" เพราะหากไม่รู้ที่ตั้งของใจ ก็ไม่อาจปฏิบัติขึ้นสู่สมาธิขั้นสูงคือ "อัปปนาสมาธิ" เนื่องจากอัปปนาสมาธิจะเกิดขึ้นได้โดย "ใจเป็นสมาธิ" ซึ่งเป็นมิติของใจโดยเฉพาะ เรียกว่า "มโนทวารวิถี"(บาลีเรียก ใจ ว่า มโน) พระพุทธองค์จึงทรงตรัสยืนยันไว้ชัดเจนว่า "สิ่งทั้งหลาย มีใจเป็นใหญ่ มีใจเป็นประธาน สิ่งทั้งหลาย สำเร็จได้ด้วยใจ" ดังนั้น ถ้าหากหาใจไม่พบ ก็อย่าหวังเลยว่า จะประสบความสำเร็จได้ดั่งปรารถนา แล้วจะรู้ได้ไง ว่า ใจอยู่ตรงไหน คำตอบ ดูภาพละกัน



สรุปรวมความในส่วนของการสร้างระดับคลื่นความถี่ของเสียง ก็เพื่อปรับระบบการทำงานของRNA ให้ข้ามกระบวนการทางพันธุกรรม ที่สืบทอด หรือรับมาเก็บข้อมูลไว้ในDNA รวมทั้งปรับเปลี่ยนข้อมูลของDNA เสียใหม่ไม่เป็นไปตามนั้น ยกตัวอย่างง่าย ๆ เหมือนมะม่วงปลูกด้วยเมล็ด 3ปี ออกลูก แต่นักเกษตรที่เชี่ยวชาญเฉพาะ สามารถทำให้มะม่วงออกลูกก่อนเวลา และข้ามฤดูได้ ฉันใดก็ฉันนั้น เพียงแต่รู้วิธีที่ถูกต้อง คือรู้จริง นั่นก็คือการปฏิบัติชอบ ปฏิบัติถูกทางที่พระพุทธองค์ทรงสอนไว้ว่า "ทางอื่นนอกจากสติปัฏฐาน นั้นไม่มี " หากเราไม่เชื่อพระพุทธเจ้า แล้วเราจะมานับถือพุทธศาสนาทำไม ? จริงไม๊!!


การสร้างระดับคลื่นความถี่เสียง ด้วย นะโมตัสสะ... ก็เพื่อปรับให้สภาวะRNA พร้อม และเคยชินกับคำสั่ง(คลื่นเสียงของใจ) คือปรับสภาวะภายใน และร่างกายภายนอก ทั้งนี้เพื่อที่จะขึ้นสู่ระดับสูง คือการควบคุมสภาวะ ภายนอก อันได้แก่ เหตุการณ์ ธรรมชาติ วัตถุ สรรพสิ่ง ด้วยระดับคลื่นความถี่ที่มีพลังยิ่งไปกว่านั้น นั่นคือการเข้าสู่พลังแห่งพุทธานุภาพ ซึ่งเป็นพลังที่มองไม่เห็น เหนือธรรมชาติ แม้แต่นักวิทยาศาสตร์ปัจจุบันก็ยอมรับว่า พลังที่อธิบายไม่ได้ มองไม่เห็น มีอยู่ ทุกอณู และบรรยากาศ มีพลังมากขนาดผลักให้จักรวาลทั้งจักรวาลเคลื่อนที่ไปได้ คิดว่าเมื่อ คุณ และ/หรือ ผู้ปฏิบัติชอบทั้งหลาย สามารถเชื่อมประสาน(สัมปยุต) พลังดังกล่าวนี้ และสามารถนำมาใช้ได้ตามปรารถนา ก็จะปราศจากข้อกังขา ในการทำอิทธิฤทธิ์ ปาฏิหารย์ เหนือธรรมชาติทั้งปวง อันปรากฏตามจารึกไว้ในพระไตรปิฏก 


เพื่อไม่ให้เกิดข้อสงสัย และผู้ใคร่ศึกษา จะได้ค้นคว้าข้อมูลได้ยิ่งขึ้นไปในส่วนที่ขาด จึงนำหลักฐานDocument การค้นคว้าของนักวิทยาศาสตร์Quantum Phics เกี่ยวกับพลังที่มองไม่เห็น มาประกอบไว้ เป็นแนวทาง ตามLink นี้      http://youtu.be/Y64zNA8xImw


ด้วยพลังแห่งพุทธาภาพ ขอความผาสุข สวัสดี มีโชคชัย ก้าวหน้าในชีวิต กิจการงาน และการปฏิบัติธรรม ถ้วนทั่วกัน ทุกท่านเทอญ

.....ทาชิ  เดเล

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

Crack RNA Code By Meditation / 9 (คำสอนพระอาจารย์ธรรมบาล 29 มิถุนายน 2558)





  คำสวด หรือ "ปริต" ได้ถูกกำหนดระดับความถี่เฉพาะไว้สำหรับควบคุมPlasma(ทางอภิธรรมเรียกว่า "กายในกาย" เพราะแต่ละตัวอักษร ที่เราเปล่งออกมา กว่าจะเปล่งเป็นเสียงจะต้องผ่านกระบวนการทางชีวภาค ให้สร้างสัญญาณไฟฟ้า ไปสั่งสมองให้ปากขยับ ยังไม่พอ เพราะระดับคลื่นความถี่เสียงนั้นยังต้องส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลง เพิ่มหรือลด ปฏิกริยาเคมีทางชีวภาค ให้ดูดซึม หรือ ผลักไส พลังอื่นๆ ที่ไม่เป็นประโยชน์ หรือ ต่างไปจากเป้าหมายที่ต้องการออกไปด้วย(ดังนั้นเราจะเห็นได้ว่า มนต์ที่สวด จึงมีท่วงทำนอง อักขระ เสียง ที่ให้ความรู้สึกแตกต่างกัน)


ความสำคัญของการสวด หรือ "ปริต" ไม่ได้อยู่ที่คำแปล ความหมาย แต่อยู่ที่ระดับคลื่นความถี่ของอวัยวะอันทำให้เกิดเสียง(ปาก) ซึ่งเราควบคุมได้ง่าย เพราะเป็นร่างกายภายนอก(mass) จะต้องเป็นระดับเดียวกับความถี่ของคลื่นเสียงที่ต่ำกว่า Delta คือต่ำกว่า 0 ให้ได้ด้วย
ในทางปฏิบัติ เรียกการสร้างย่านความถี่คลื่นเสียงนี้ว่า "อุคหโกศล" เพราะว่าเสียงที่เราพูดหรือเปล่งออกมาจากปากนั้นเราได้ยิน แต่เสียงในใจ ให้ตะโกนอย่างไร(ในใจ) ก็ไม่ได้ยิน วัดความถี่ไม่ได้เพราะระดับต่ำกว่า0 ไม่รู้ว่าลบเท่าไร แต่เราได้ยิน 

เป้าประสงค์ของการปฏิบัติอุคหโกศล ก็คือ การควบคุม บังคับ ระดับคลื่นความถี่ของเสียงได้ตามต้องการ เพื่อเข้าสู่สมาธิขั้นสูงอันเป็นมิติของ "ใจ" โดยเฉพาะ อันเรียกว่า "มโนทวารวิถี" ขั้นในทางปฏิบัติการสวดปริต หรือสวดมนต์ก็ทำให้เกิดสมาธิขั้นต้นแล้วเรียกว่า "อุปจารสมาธิ" คือสมาธิแบบแว็บวับ คือเกิดสมาธิแป๊บเดียว แล้วหายไป ไม่คงทน คือไม่แนบแน่นเป็นหนึ่งเดียวกับใจ 




เพราะส่วนใหญ่สวดมนต์ปากว่าไป  ใจไปเชียงใหม่ ใจปลิวไปกับสภาพแวดล้อมภายนอก ไม่ได้เปล่งเสียงตามปาก สมาธิจึงเกิดเป็นพัก ๆ ไม่ต่อเนื่อง อารมณ์แบบนี้เรียกว่า "ปริตตารมย์" คืออารมณ์สั้นๆ ยังไม่สามารถนำมาใช้งาน สร้างความถี่คลื่นเสียงระดับต่ำตามเป้าประสงค์ได้ 

เบื้องต้นจะต้องใช้เสียงจาก "ปาก" ซึ่งอยู่ภายนอก เป็นตัวนำ อันเรียกว่า วจสา(อ่านว่า วะจะสา) นำเสียงภายในซึ่งเรียกว่า "ใจ" ต้องเป็นเสียงเดียวกัน=แนบแน่น เป็นหนึ่งเดียว=อัปปนา ซึ่ง อ้ปปนาจะเกิดได้ทางมโนทวารวิถีเท่านั้น คือ สมาธิที่รวมเป็นหนึ่งเดียวอันแนบแน่น ถาวรจะเกิดได้จากทาง "ใจ" เท่านั้นเรียกว่าอัปปนาสมาธิ... ทางอื่นทำให้เกิดอัปนาสมาธิไม่ได้) คลื่นความถี่ระดับต้องการจะเกิดขึ้นได้ เมื่อเข้าสู่สมาธิระดับอัปปนา เท่านั้น




ในบทสวดปริตของพระพุทธศาสนา ที่ใช้สืบมาจนปัจจุบัน "บทแรก" ของทั้งหมด ซึ่งสาธุชนชาวพุทธต้องรู้จักและสวดกันได้ทุกท่าน นั่นคือ "นะโม ตัสสะ ภควะโต...." 

ข้อที่ชาวพุทธลืมสังเกตุ ::: เป็นเรื่องที่น่าแปลกหรือไม่ !?  ที่กลับไม่มีใครสงสัย หรือ สงสัยถามก็ไม่มีใครตอบอีกแหละ นั่นก็คือ คำถามว่า ทำไม บทนะโม ??
1. จึงต้องสวดก่อนบทอื่น
2.ทำไมจึงเรียกสืบมาว่า "ตั้งนะโม"  และ 
3.ทำไมต้องสวด บทนะโม ถึง 3 จบ  
นี่คือคำถามพื้น ๆ แต่ไม่มีใครตอบชนิดตรงเป้า(แบบว่า "โดน") ชนิดไม่ต้องมีความสงสัย ให้ตั้งคำถามอีกต่อไป !?


คำตอบข้อที่ 1 

คือ การที่ต้องสวดนะโม ตัสสะ...เป็นบทแรก นั้นมาจากขั้นตอนที่จะเปลี่ยนสถานะของมนุษย์อันเป็นปกติบุคคล ให้เป็นอริยะบุคคลนั้น
        บันไดขั้นแรก ของพระอริยะบุคคล(โสดาบัน) คือ ถึงพร้อมด้วยองค์สามใน พุทธานุภาพ ด้วยโอปกันนศัทธา ชนิดไม่ลังเลสงสัย จึงจะผ่านขั้นต้นยกขึ้นสู่สภาวะแห่งพระอริยบุคคลได้ ดังปรากฏหลักฐานในพระไตรปิฏกมหาวารสังยุตนิกาย อันพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสกับพระสารีบุตรอัครสาวกเบื้องขวา ดังนี้ว่า

   "สารีบุตร ผู้ใด มีความเลื่อมใสอย่างยิ่งในตถาคต ถึงที่สุดส่วนเดียว เขาย่อมไม่ลังเลสงสัย ไม่ลังเลในคำสอนของตถาคต สารีบุตร เขาย่อมเป็นผู้มีโอปกันนศัทธา...."




คำตอบข้อที่ 2 

การสวดนะโมตัสสะ ทำไมจึงเรียกว่า "ตั้งนะโม" ก็เพราะ "นะโม..." เป็นคาถาของเทวดาที่มีลักษณะทางชีวะผิดกับมนุษย์ คือไม่อาจสัมผัสหรือมองเห็นด้วยตามนุษย์ปกติได้(อนิทัสสนสัปติ) ลักษณะเป็นPlasma ในรูปของ Energy ซึ่งมีลักษณะชีวะเดียวกับ "ใจ" การสวดบทนะโม....จึงต้องเริ่มด้วยการเปล่งคำนั้น ๆ เปล่งออกมาจากใจ(คือนำเสียงให้ออกมาจากที่ตั้งของใจ) พร้อมวาจา (วิธีปฏิบัติจะได้กล่าวในภายหน้า) เมื่อเรียกรวมกันก็เรียกว่า "ตั้งนะโม" ดังนี้




คำตอบข้อที่ 3 

คือ บทนะโมตัสสะ .... ตามประวัติแล้วเทวดา 5 องค์ เป็นผู้กล่าวถวายแด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เทวดากับมนุษย์อยู่ในภูมิเดียวกันแต่คนละมิติ(เปรียบเสมือนมนุษย์คือประชาชน อยู่นอกวัง เทวดาอยู่ในวัง) การใช้ภาษาในการสื่อสารกันได้ แต่ต้องอยู่ในอารมณ์เดียวกัน เสมอกัน ทั้งมนุษย์และเทวดา อักขระนะโม นั้น มี 18 คำ สวด 3 จบ=18X3=54 คือ ระดับความถี่ หรือจำนวนของกามาวจรจิต คือปรับอารมณ์ขณะที่สวดปริตนั้นให้เท่าอารมณ์เทวดา ดังนั้นการสวดนะโมจึงสวดสามจบ ให้เทวดารับรู้ 

ไหน ๆ ก็กล่าวถึง บทขึ้นต้นพระปริตร์คือ "นะโม..." แล้ว ก็จะขอนำข้อมูลมาฝากให้สาธุชนผู้ใฝ่ศึกษา-ปฏิบัติ ได้เก็บไว้ค้นคว้าส่วนอื่นต่อไป นั่นก็คือเรื่องของ บทพระปริตร์ "พุทธคุณ56" ซึ่งเรารู้จักในชื่อของ "อิติปิโส ภควา.." นั่นแหละ คำถามคือ ทำไม ? บทพุทธคุณ จึงต้องมี 56 ตัว มากกว่านั้นได้ไหม ? หรือน้อยกว่านั้นจะได้หรือเปล่า ?  (ลองนับดูเอง อิ=1 ติ=2 ปิ=3 ฯลฯ ไล่ไปจนถึง ภะ=53 คะ=54  วา=55 ติ=56 ไม่ขาด ไม่เกิน)

คำตอบคือ ::: 56 อักขระ มาจาก อุปปาทายรูป 8 คูณด้วย วิถีจิต 7 = 56 ความหมายของ 56 คือ จำนวนของวินาที ของในแต่ละราศีซึ่งมี 12 ราศีนักษัตร(ยุคโบราณไม่มีปฏิทิน จึงใช้การโคจรของดวงดาวในสุริยจักวาลมาคำนวณเวลา 

ซึ่งพระสงฆ์ก็ต้องใช้ ไม่งั้นเข้าพรรษาไม่ถูก ไม่รู้วันพระวันโกน....มายุครัตโกสินทร์ล้างสมอง บอกพระสงฆ์สมณะห้ามศึกษา โดยไม่ลืมตาหาค้น ข้อมูลโบราณ ว่าเขารู้วันพระ ขึ้นแรม เข้าพรรษา ออกพรรษา ตรงกันทั้งทวีปได้ไง ทั้งที่ไม่มีปฏิทิน การศึกษาดังกล่าวนี้ พระอัญญาโกทัญญะอรหันตเถร ปฐมสาวก ได้รับพุทธานุญาติให้ถ่ายทอดแก่พระสงฆ์มาแต่ครั้งพุทธกาล เรียกว่า "รัตตัญญุศาสตร์")

บทพระพุทธคุณ56 จึงมีความหมายในตัวเองทุกอักษรว่า "พุทธานุภาพ คุ้มครองผู้สวดพระปริตนี้ทุกวินาที และระดับคลื่นความถี่ของเสียงดังกล่าวสามารถเปลี่ยนแปลงสภาวะปกติของมนุษย์ให้เข้าถึง "พลังพิเศษ" ที่เรียกว่า "พุทธคุณ หรือ พุทธานุภาพ" ให้ปกป้องคุ้มครอง ภยันตราย คงทนต่ออาวุธ เหนือธรรมชาติ ดังเป็นที่ประจักษ์เป็นหลักฐาน สืบมาจวบจนปัจจุบัน ซึ่งเรียกว่า "พุทธาคม" นั่นเอง


จะเห็นว่า การรังสรรค์ บทสรรเสริญพุทธคุณ ที่ต้องให้มี สระ พยัญชนะ พยางค์ ที่ต้องสร้างระดับคลื่นความถี่ของเสียงให้ได้ตามกำหนดแล้ว ยังต้องสรรหาคำที่มีความหมายสอดคล้องกับพุทธคุณ รวมทั้งต้องลงตัวจบพอดีที่ ติฯ อันเป็นตัวสุดท้าย คือตัวที่ 56 ด้วย ไม่ธรรมดา และนี่คือความไม่ธรรมดา ของพระอริยเจ้า ชาวพุทธเราจึงถือกันนักหนา ปรากฏอยู่ในบทเชิญครู เชิญคุณ โองการทั้งหมด ในทุกสำนักนับแต่โบราณกาลสืบมา
     บูรพาคณาจารย์ หลวงปู่ หลวงพ่อ ท่านที่เป็นผู้ทรง "พุทธาคม" จึงสร้างสิ่งเคารพสักการะต่าง ๆ ให้พุทธศาสนิกชน "โดยเฉพาะอย่างยิ่งชัดเจน คือ ชนชาติไทย"
     ก็เพื่อเป็นนิมิต ให้ระลึก และ มีพุทธานุภาพเป็นที่พึ่ง ที่ระลึก ที่กำจัดภัยได้จริง ที่พึ่งอื่นไม่มี สมดั่งพระบาลีว่า

     นตฺถิเม สรณํ  อญฺญํ  พุทโธเม สรณํ วรํ ฯ ฉนี้

เราจึงเรียกติดปากกันมาว่า "พุทธคุณ หรือ คัณพระรักษา" ซึ่งตามพระคาถา มี56 ตัว ก็คือรักษาทุกวินาที ในทุกราศี ทุกทิศและ ทักภูมิประเทศ  ด้วยประการดังนี้


ด้วยพลังอำนาจแห่งพุทธคุณ ขอความผาสุข สวัสดี มีโชคชัย จงบังเกิดมีแด่ สาธุชนทั้งหลาย โดยทั่วกัน

ทาชิ  เดเล..


ขอเพิ่มเติมข้อมูล เล็กน้อย เพื่อความสมบูรณ์ในเนื้อหา

สิ่งที่พึงสังเกตุอย่างยิ่ง ก็คือ ระดับความถี่ของคลื่นเสียง การสวดบทพุทธคุณ56( อิติปิโสภควา...) นั้น ใช้ความถี่ชนิดที่ส่งสัญญาณลงไปกระตุ้นถึงอุปปาทยรูป อันเรียกว่า เล็กมาก ๆ ระดับRNA คือระดับก่อนจะมีชีวิต(ตามอภิธรรม อุปาทายรูป 8 จะเกิดก่อน ชีวิตจึงจะเกิดได้) ที่ชัดเจนไปกว่านั้น แทบจะบอกได้เลยว่า คือการใช้คลื่นเสียงขับเคลื่อนโมเลกุลให้เกิดสัญญาณไฟฟ้าชีวภาคขึ้น
(นั่นคือ กำเนิดแห่งวิถีจิต7 เพราะจิตเร็วมาก มีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เป็นจังหวะ =สัญญาณคลื่นเสียงคือมี จังหวะหยุดแล้วเริ่มใหม่ =ขึ้นวิถีจิตใหม่ 

นี่คือการบังคับความถี่คลื่นเสียงให้สัมพันธ์เชื่อมต่อกับพลังพิเศษที่มองไม่เห็น นักวิทยาศาสตร์-ฟิสิกส์เรียกว่า Invisible Energy ที่ขับเคลื่อนจักรวาลอยู่93%  แต่นักวิทยาศาสตร์ปัจจุบันนำมาใช้ได้แค่ 7% เท่านั้น ซึ่งในทางปฏิบัติ สติปัฏฐาน-ปฏิสัมภิทามรรค สามารถนำพลังนี้ออกมาใช้ได้ถึง 100% สิ่งที่มนุษย์ปกติทั่วไปเห็น จึงเป็นเรื่องเหนือธรรมชาติ หรือ ปาฏิหารย์ นั่นเอง



เจริญพร






Crack RNA Code By Meditation / 10






สารบัญทั้งหมดจะอยู่ทางด้านขวามือของหน้า (ทุกหน้า) 

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

Crack RNA Code By Meditation / 8 (คำสอนพระอาจารย์ธรรมบาล 25 มิถุนายน 2558)






เราได้ทราบถึงการการค้นคว้าของนักวิทยาศาสตร์ เรื่อง “คลื่นความถี่ของเสียง” เพื่อใช้ใน “ด้านทำลาย” มาแล้ว
เมื่อมีดีก็มีชั่ว เมื่อมีมืด ก็มีสว่าง เป็นเรื่องปกติธรรมชาติของมนุษยโลก จึงมีนักวิทยาศาสตร์-การแพทย์อีกพวกหนึ่ง ที่มองเห็นความสำคัญของคลื่นเสียง ที่สามารถใช้เป็นประโยชน์ของมนุษย์ได้  

จึงพยามพัฒนาเพื่อปรับเปลี่ยนรูปแบบของคลื่นเสียง ให้เข้ากันได้กับการทำงานของสมอง เพราะจากการค้นคว้าทดลองพบว่า สมองของเรานั้นสามารถพัฒนาให้อยู่ในระดับที่ดีขึ้นได้จริงๆ จากการใช้คลื่นเสียง ซึ่งแต่เดิมอาจจะเข้าใจว่าการพัฒนาของสมองจะเกิดขึ้น โดยอิทธิพลมาจากการถ่ายทอดทางพันธุกรรม(DNA) แต่อย่างเดียว 


การทำงานของสมอง คือการรับส่งข้อมูลเป็นสัญญาณไฟฟ้า และการเคลื่อนไหวของพลังงานเหล่านี้ ทำให้เกิดคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า หรือที่เราเรียกกันว่าคลื่นสมอง (brainwave) ซึ่งเราสามารถตรวจดูคลื่นสมองโดยใช้เครื่องมือที่เรียกว่า อีอีจี (EEG) หรือ Electroencephalogram โดยที่เครื่องมือชนิดนี้จะจับภาพสัญญาณไฟฟ้าบริเวณสมอง แปรผลออกมาเป็นรูปแบบของคลื่นต่างๆ จะกล่าวถึงในทางวิทยาศาสตร์การแพทย์ก่อน ซึ่งได้แบ่งคลื่นความถี่ของเสียงออกได้เป็น 4 กลุ่ม คือ 





กลุ่มที่ 1 คือ คลื่นเบต้า Beta Brainwave (ความถี่ระหว่าง 14 - 30 Hz)

เป็นคลื่นที่เร็วที่สุด และยังเป็นส่วนของสมองที่ควบคุมจิตใต้สำนึก เกี่ยวข้องในเรื่องการใช้สมองเปิดรับข้อมูลพร้อมๆ กับการใช้ระบบประสาทสัมผัสทุกด้าน เช่น การทำกิจกรรมต่างๆ และรับผิดชอบเรื่องของความทรงจำระยะสั้น


กลุ่มที่ 2 คือ คลื่นอัลฟ่า Alpha Brainwave (ความถี่ระหว่าง 8 - 13.9 Hz ) 

เกิดขึ้นในขณะที่เรามีการพักผ่อน และมีความสงบ (relaxation) แต่ยังอยู่ในภาวะที่รู้สึกตัว สภาวะเช่นนี้จะทำให้รับข้อมูลได้ดีที่สุด สามารถเรียนรู้ได้ดีมาก ในปัจจุบันมักเรียกว่า Super Learning พูดได้เลยว่า คลื่นระดับนี้ทำให้เราเข้าถึงสิ่งที่สนใจ มีความสุข และผู้ใหญ่ที่มีจิตสมดุล รวมถึงผู้ที่นั่งสมาธิเป็นประจำ ยังมักพบในขณะร่างกายและจิตใจผ่อนคลายมากๆ เช่น สภาวะก่อนนอนหลับ ในทางการแพทย์ คลื่นระดับนี้เหมาะกับการสะกดจิตเพื่อบำบัดโรค ถือเป็นช่วงที่ดีที่สุดในการป้อนข้อมูลให้แก่จิตใต้สำนึก เพราะสมองสามารถเปิดรับข้อมูลได้อย่างเต็มที่และเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว มีความคิดสร้างสรรค์ เป็นสภาวะที่จิตมีประสิทธิภาพสูง เด็กที่ฉลาดเรียนรู้ไวรวมถึงคนเรียนเก่งก็จะมีคลื่นนี้เด่นมาก 


ภาพการทดสอบวัดคลื่นสมอง ลามะธิเบต ขณะทำสมาธิ




ภาพผลด้านซ้าย จะเห็นสัญญาน ไฟฟ้า=อารมณ์ภายนอกรบกวน



กลุ่มที่ 3 คือ คลื่นธีต้า Theta Brainwave (ความถี่ระหว่าง 4 - 7.9 Hz) 

เป็นความถี่ที่พบได้ในขณะที่มีการผ่อนคลายระดับลึก ความคิดสร้างสรรค์เป็นคลื่นที่เราสามารถดึงข้อมูลจากจิตใต้สำนึกได้ (subconscious mind) เกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหาโดยไม่รู้ตัว ถือได้ว่าเป็นคลื่นในชนิดเดียวกันกับสมาธิระดับลึก สามารถเรียกความทรงจำระยะยาวได้ดี สภาวะนี้จะมีความสุข ลืมความทุกข์ มีแต่ความปิติยินดี เป็นคลื่นสมองที่สะท้อนการทำงานของจิตใต้สำนึก มักพบในกลุ่มผู้ทรงศีลหรือผู้ถือกรรมฐานเป็นต้น 


กลุ่มที่4 คือ คลื่นเดลต้า Delta Brainwave (ความถี่ระหว่าง 0.1 - 3.9 Hz)

เป็นคลื่นสมองที่ช้าที่สุด เกิดขึ้นในขณะนอนหลับสมองทำงานตามความจำเป็นเท่านั้น แต่กระบวนการของจิตใต้สำนึกจะจัดและเก็บข้อมูลอย่างต่อเนื่อง เป็นช่วงที่ร่างกายอยู่ในภาวะที่กำลังพักผ่อนอย่างเต็มที่ หลับลึกโดยไม่มีความฝัน จะรู้สึกสดชื่นเป็นพิเศษเมื่อยามตื่นแล้ว




เราจะเห็นว่า หากเราทำให้คลื่นสมองมีความถี่ต่ำๆ เช่นคลื่นสมองที่อยู่ในระดับ Alpha Brainwave (ความถี่ระหว่าง 8 - 13.9 Hz) ซึ่งอย่างที่ทราบแล้วคลื่นนี้จะ เป็นคลื่นทำให้เป็นคนจิตใจสงบ เยือกเย็น สุขุม มีอารมณ์ดี เบิกบาน ความคิดสร้างสรรค์สูง มีสมาธิและความจำดี มีสติปัญญาฉลาด ไหวพริบปฏิภาณเป็นเลิศ และมีพลังความคิดด้านบวกสูง มองโลกในแง่ดี โดยมากก็จะพบในกลุ่มของนักบวช พระสงฆ์ ผู้ปฏิบัติธรรม ผู้ที่กำลังมีความสุข โดยเฉพาะผู้ที่กำลังสวดมนต์


วิธีปรับคลื่นสมองเพื่อให้มีความถี่ดังกล่าวนั้น สิ่งแรกเราต้องอยู่ในสภาวะแวดล้อม ที่ค่อนข้างเงียบสงบ ห่างจากสนามแม่เหล็กไฟฟ้า เช่น เตาไมโครเวฟ สายไฟฟ้า หม้อแปลง คอมพิวเตอร์ เพราะจากงานวิจัยพบว่าสนามแม่เหล็กจากคลื่นรบกวนพวกนี้จะทำลายคลื่นสมอง เช่นโทรศัพท์มือถือ เป็นต้น





    ในทางพระพุทธศาสนา ความเจริญก้าวหน้าทาง วิทยาศาสตร์การแพทย์ สาขาอายุรเวชวิทยา ก้าวหน้ากว่าปัจจุปันมาก นอกจากจะ สามารถ เข้าถึงความแก่นแกนความลับของเสียงแล้ว ยังสามารถควบคุม ปรับระดับความถี่ของคลื่นเสียงที่ต่ำกว่า 0 (ศูนย์) คือระดับที่เครื่องมือใด ๆก็ไม่อาจวัดระดับความถี่นั้น เพื่อควบคุมการทำงานของเซล์ลในร่างกายได้ รวมทั้งเปลี่ยนแปลงธรรมชาติ หรือเหตุการณ์ได้ตามประสงค์ โดยผู้ปฏิบัติสามารถพิสูจน์ผลเชิงประจักษ์ได้ด้วย

พระพุทธองค์ได้ทรงถ่ายทอดวิทยาการนี้แก่พุทธบริษัทให้นำไปประพฤติ-ปฏิบัติ นั่นเมื่อกว่า2558ปีมาแล้ว ก่อนที่โลกจะให้กำเนิดอคีมีดีสซะอีก

การใช้ "ความถี่ของคลื่นเสียง" ในพระพุทธศาสนา ปรากฏอยู่ในคัมภีร์ปฏิสัมภิทามรรค ที่พระสารีบุตรอรหันตเถรเจ้าบันทึกไว้ ซึ่งมีขั้นตอนหลายระดับ ซึ่งได้กล่าวไปแล้วว่า จะแยกออกเป็น 2 หมวดใหญ่ๆ คือ ปริกรรม กับ ภาวนา


ในชั้นแรกจะกล่าวถึงหมวดแรกก่อน คือ

ปริกรรม(ปริกมฺม) มาจากคำว่าปริต หมายถึงสวด หรือ เสียง กรรม หมายถึง การกระทำ รวมความแปลว่า ทำให้เกิดเสียง(เป็นที่มาของคำว่าปาก คือ ป ปลา มาจากคำว่า ปริต ใส่สระอา เป็น ปา ตัว ก ไก่ มาจากคำว่า กรรม รวมเป็นคำคือ ปาก แปลว่าอวัยวะอันทำให้เกิดเสียง)

การทำสมาธิให้เกิดโดยอาศัยคลื่นความถี่เสียงนั้น ในทางปฏิบัติเรียกว่า "อัปปนาโกศล" (หมายความว่า วิธีเข้าถึงสมาธิอันแนบแน่นหนึ่งเดียว) จัดอยู่เป็นข้อแรก คือ "วจสา(อ่านว่า วะจะสา) คือใช้วาจาเป็นตัวนำ ถามว่า นำไปไหน คำตอบคือ นำไปสู่ "เส้นทางของใจ" และให้อยู่บนเส้นทางแห่งใจ ตามคัมภีร์เรียกว่า "มโนทวารวิถี"





ซึ่งระดับความถี่คลื่นเสียงของใจ ไม่อาจวัดด้วยเครื่องใด ๆ ได้ แต่เราได้ยิน ยกตัวอย่างง่าย ๆ เราร้องเพลงในใจ หรือสวดมนต์ในใจ จะตะโกนในใจ ดังแค่ไหนก็ตาม ให้ใครเอาหูมาแนบอก ก็ไม่ได้ยิน เอาเครื่องมาวัดก็ไม่มีสัญญาณ แต่เราได้ยินเสียง...หวังว่าคงเข้าใจตรงกันนะ


ซึ่งความเป็นสมาธิอย่างแนบแน่น อันเรียกว่า "อัปนาสมาธิ" จะเกิดไม่ได้ ถ้าไม่ฝึกฝน หรือ ฝึกไม่ถูกวิธี(นี่แหละที่เรียกว่า ปฏิบัติชอบ=ปฏิบัติถูกทาง คือ ทางอื่นไม่มี ทำไม่ได้ เพราะวิธีทำท่านกำหนดไว้ให้แล้ว) เพราะความสำคัญของการเป็นหนึ่งเดียว ของ วาจา และใจ อย่างแนบแน่น (เรียกว่าอัปนาวิถี) ย่อมก่อให้เกิด อัปปนาจิต ในขณะนั้นทันที 67 ดวง





และตรงนี้แหละ ที่สัญญานคลื่นความถี่ใหม่ ที่ป้อนเข้าไปสู่RNA จะBypass ไม่เอาข้อมูล(รหัสพันธุกรรม)จาก DNA ทะลุผ่านไปเลย เรียกว่า "พ้นกรรม" ในทางปฏิบัติเรียกว่า "โลกุตรจิต) ซึ่งจะถูกบันทึกถาวรใน DNA ทับของเก่า ไม่ว่ากรรมอะไร ก็ไม่ต้องรับอีก การบันทึกนี้ เรียกทางอภิธรรมว่า "อัปปนาชวนะ(อัปปนา=แนบแน่น ชว=บันทึก  น =ไม่แปรเปลี่ยน=ถาวร) ดังนั้นจึงเรียกว่า "หลุดพ้น" หรือพ้นจากโลก=โลกุตร


ก็ ยาวไปนิด ที่จริงอยากจะต่อนะ เอาไว้ติดตามพรุ่งนี้ ละกัน
ขอพลังแห่งพุทธานุภาพ จงดลบันดาลความผาสุขสวัสดี สมปรารถนา ก้าวหน้าในการปฏิบัติ จงบังเกิดแด่สาธุชนทุกท่านทั่วกัน เทอญ
เจริญพร







Crack RNA Code By Meditation / 9









สารบัญทั้งหมดจะอยู่ทางด้านขวามือของหน้า (ทุกหน้า)


  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

Crack RNA Code-Appendix II. (คำสอนพระอาจารย์ธรรมบาล 22 มิถุนายน 2558)






เมื่อกล่าวถึงการทะลุเวลา-ข้ามมิติ เป็นเรื่องเหลวไหล เป็นไปไม่ได้ มีแต่ในนิยายหลอกเด็กพวกSci-Fi  หากทำได้จริง ทำไมนักวิทยาศาสตร์เก่ง ๆ ของโลกปัจจุบันซึ่งเจริญทางเทคโนโลยีมีSmart Phone ใช้แล้ว ยังทำไม่ได้
          แต่นักวิทยาศาสตร์-ฟิสิกส์ยุคปัจจุบัน ก็ไม่ได้บอกว่า "เป็นไปไม่ได้" ส่วนใหญ่เป็นฝรั่งตะวันตกทั้งนั้น 99.99% เพราะอะไร นักวิทยาศาสตร์เหล่านี้จึงบอกว่า "ยาก" ก็เพราะใน DNA ของเขาเหล่านั้น ไม่ได้บรรจุข้อมูลใด ๆ ทางพันธุกรรมจากบรรพบุรุษ นับตั้งแต่เริ่มเป็นสัตว์เซลเดียวเป็นต้นมา 

ดังนั้น ใน DNA จึงไม่มีข้อมูลให้ RNA ไปสืบค้น คือหายังไงก็ไม่มี เหมือนห้องสมุดที่ไม่มีหนังสือประเภทนั้น ด้วยเหตุดังนี้ชาวตะวันตก ส่วนใหญ่จึงเชื่อใน "วัตถุ" เพราะขาดพื้นฐาน ทั้ง ๆ ที่สมการคำนวณ ก็คิดขึ้นมาเอง ดังนั้น เมื่อ DNA ไม่มีข้อมูล จึงทำให้เกิด "ความคิด หรือภาพ ว่า ทำไม่ได้" เกิดอารมณ์ปฏิเสธที่จะทำสิ่งนั้น เพราะคำ ๆ เดียวว่า "ยาก"





ความยาก ง่าย ไม่ได้อยู่ที่สิ่งสำผัส เหตุการณ์ หรือการกระทำ ก่อนที่เขาจะเริ่มทำ เขาจะเห็นภาพนั้นจากภายใน โดยภาพ(image)ที่เขาสร้างมันขึ้นมา กระบวนการทำงานทางชีวะจะนำภาพนั้นไปเข้ารหัส จากนั้นจะถูกนำไปเทียบกับข้อมูลที่ถูกเก็บไว้ก่อน(ไม่ว่าจากยุคสมัย หรือ ภพชาติไหน ๆ) ภายใน DNA เป็นลักษณะของภาพเขิงซ้อนสามมิติ(Holographic) ว่าเคยมีสิ่งนี้หรือไม่ ทางพระพุทธศาสนาเรียกว่า "สัญญาเดิม" หากเคยมีสิ่งนั้นอยู่ คือซ้อนกันสนิท RNA(ไม่ว่าจะเคยทำได้ หรือ ไม่ได้ และ/หรือ ไม่เคยทำ) ก็จะนำพิมพ์เขียวต้นแบบออกมาสร้างสัญญานไฟฟ้าชีวภาค เริ่มกระบวนการให้ส่งสัญญานสั่งการไปยังสมอง ให้ออกมาเป็นความรู้สึก ตอบรับ ปฏิเสธ นี่แหละที่เราเรียกว่า "อารมณ์" ซึ่งมาจากภายใน ที่เรียกว่า "ใจ" 


แม้ว่าบางครั้ง สิ่งที่เข้ามากระทบ ให้ได้รับรู้ สัมผัส ในชีวิตของเขาชาตินี้ จะไม่เคยพบเห็นมาก่อน ไม่เคยเรียนรู้ จากที่กล่าวแล้ว โดย "สัญญาเดิม" จะทำให้เขาเรียนรู้ และสามารถเข้าใจ ทำได้รวดเร็ว เปรียบง่าย ๆ เหมือนเราเคยเรียนวิชานี้มาตอนมัธยม และทิ้งไปแล้ว ลืมไปแล้วเพราะไม่ได้ใช้นาน พอมาเรียนปริญญาเอก เจอเข้าอีกก็คลับคล้าคลับคลา ทบทวนนิดเดียวก็เข้าใจและทำได้ อย่างรวดเร็ว เพราะเคยเรียนและทำสิ่งนั้นมาก่อน


ทีนี้มาดูกันว่า ทางพระพุทธศาสนา ทะลุมิติ-ข้ามเวลาได้อย่างไร ดังนั้น การที่เราสวดมนต์จากใจ เราจะอยู่ในอีก Dimension หนึ่ง ที่แตกต่างไปจากที่เราอยู่
    ดังนั้น การทำสมาธิ คือการก้าวข้าม ภพ อันมาจากคำว่า ภว(อ่านว่า ภะวะ) จึงเรียกว่า "ภวนา" คำว่า นา มาจาก "มนัส" แปลว่า "ใจ"
     สรุปรวม ปฎิบัติ ภวนา คือการปฏิบัติ "เพื่อให้ใจข้ามภพภูมิ" ได้ ขณะที่ยังไม่ตาย


  ด้วยเหตุดังกล่าว เมื่อปฏิบัติได้ระดับหนึ่ง จึงเกิดอารมณ์ "เป็นสุข" นั่นเพราะเป็นอารมณ์ จากอีกภพภูมิ(Dimension) หนึ่ง ที่แตกต่างกัน แต่อารมณ์นั้นยังคงอยู่  เหมือนออกไปทานข้าวนอกบ้าน  อร่อย อิ่ม ความอร่อย และอิ่ม ก็ติดกลับมาถึงบ้านด้วย


ดังนั้น การฝึก "สติ"=ธรรมชาติระลึกรู้อารมณ์ คือ ต้องจำให้ได้ จึงสำคัญมาก ถ้าจำอารมณ์ไม่ได้ ก็เหมือนเดินทางไกล ไปไหนไม่รู้แต่หิวข้าวเลยลงไปทานข้าว อร่อยมาก ติดใจ  แต่ขึ้นรถขับต่อไป กลับลืมว่า ร้านไหน อยู่ตรงไหน ก็เหมือนการ "ระลึกอารมณ์ไม่ได้=ขาดสติ"


เพราะขาดสติ ก็ไปตามเวรตามกรรม เลือกภพภูมิเอาเอง กำหนดที่เกิด ที่ไปไม่ได้ จึงตกนรก ไง

    พอเกิดใหม่ ก่อนตาย ขาดสติ ก็ไปตามยถากรรม ตามเฮงตามซวย ทำกินไม่ขึ้น

     พระพุทธองค์จึงทรงตรัสว่า "สติ คือ ธรรมอันมีอุปการะยิ่ง"


แม้สุดท้ายก่อนปรินิพพาน ท่านยังย้ำในปัจฉิมโอวาท ถึงความสำคัญของสติ มิให้ประมาทในการระลึกว่า "อปฺมาเทน สมฺปาเทสา สิฯ ท่านทั้งหลาย จงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อม

นี่คือความสำคัญว่า ทำไมต้องมีมีสติทุกลมหายใจเข้าออก ที่ซ่อนอยู่ที่คนทั่วไปเข้าใจคือ สติที่รับอารมณ์ คนที่ตั้งลม(ระงับ อัสสาสะ-ปัสสาสะ)บ่อยบ่อย จนเป็นอัตโนมัติ RNAจะทำงานแบบbypass  ลอกรหัสตามคำสั่งที่ป้อนเข้าไปใหม่ ไม่เข้าไปCopyข้อมูลจากDNA ทำให้สามารถกำหนด เหตุการณ์และสถานที่ได้ตามปรารถนา


สำหรับผู้ฝึกสติ(สติปัฏฐาน-ปฏิสัมภิทามรรค) เป็นหนทางเดียว ....เอกมคฺโค ที่สามารถเลือกที่ไป ได้เลย ไม่ต้องรอตาย และรู้ด้วยว่า ตายจะไปไหน อยู่ที่ไหน และจะไม่ไปอยู่ที่ไหน อีกทั้งยังสามารถไปดูที่เราจะไปอยู่ใหม่ หรือเลือกที่ถูกใจได้ก่อนด้วย อันไหนไม่ถูกใจไม่เอา เหมือนเลือกบ้าน แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับ "ปัจจัย" (บุญ) หรือทางโลกก็คือเงิน ในอีกมิติหนึ่งนั้นเงินใช้ไม่ได้ ใช้ได้แต่"บุญ" ที่จะแลกมากับที่อยู่ใหม่ จะสวยงามขนาดไหน ขึ้นอยู่กับว่าเราทำบุญไว้มากน้อยแค่ไหน


พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ว่า "ไม่มีบุญใด ยิ่งใหญ่ไปกว่า การถึงพร้อมด้วย กาย วาจา ใจ ในวาระจิตเดียว...แม้ชั่วขณะอึดใจเดียว(ระยะตั้งลม) ก็มีค่ากว่าสร้างเจดีย์ทองคำจากมนุษย์ถึงพรหมโลก


    นี่คืออานิสงค์ของการฝึกสติปัฏฐาน วิธีอื่นทำไม่ได้ อย่างที่เขียนอยู่นี้ ก็เขียนด้วย "สติ" เอาความรู้มาจากใจ จากการปฏิบัติ เหมือนเราเคยไปกินร้านอร่อย แล้วจำได้ ว่าอยู่ตรงไหน ก็มาบอกคนอื่นให้ไปกินจะได้อร่อยด้วย คนบอกก็ดีใจ เมื่อคนไปกินเขามาว่าอร่อยจริง ๆ ไม่โกหก
     แต่บางจำพวกไม่เคยไปกิน จำเค้ามาบอก พอถามเข้าว่า ร้านไปทางไหน เลี้ยวซ้ายหรือขวา ใบ้ ไปไม่เป็น รู้แต่ชื่อร้าน  ยังงี้เยอะ !!





ในการเดินทางทะลุเวลาข้ามมิติ (Time Travel) นักวิทยาศาสตร์ยุคปัจจุบัน(พศ.2558) บอกว่า "มันเป็นเรื่องยากมาก" เพราะยังทำไม่ได้ (แต่ยอมรับว่าเป็นไปได้) ซึ่งหากเราย้อนหลังดูในแนวทางของพระพุทธศาสนา เมื่อ 2558 ปีมาแล้ว จะเห็นได้ว่า พระพุทธองค์ไม่ใช่ทรงตรัสรู้เท่านั้น พระพุทธองค์ยังทรงเดินทางข้ามมิติ เด็จไปเทศโปรดพุทธมารดาบนดาวดึงสวรรค์ 

สวรรค์นั่นน่ะอยู่คนละมิติ(คนละภพภูมิกับมนุษย์) คือไปอยู่มิติอื่นถึง 9,000ปี(ตามเวลามนุษย์ เมื่อเทียบกับเวลาสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ 100ปีมนุษย์=1วันสวรรค์) เพียงแต่เมื่อทรงเสด็จกลับยังโลกมนุษย์พระองค์ได้ทรงย้อนเวลา ให้กลับมาเป็นเวลามนุษย์ปกติ (เพราะตามหลักแห่งฟิสิกส์ เวลาจริงReality Time ไม่มี ตรงกับพระพุทธองค์ทรงตรัสว่า เวลาเป็นสมมุติ) ปรากฏการจารึกบันทีกไว้ในพระไตรปิฏกที่ชาวพุทธเรียกว่า "พระพุทธเจ้าเปิดโลก" นั่นเอง


นอกจากพระพุทธองค์ได้ทรงกระทำปาฏิหารย์ทะลุมิติ ข้ามกาลเวลา(time Travel) ด้วยพระองค์เองแล้ว ยังทรงสั่งสอนถ่ายทอดวิชชาการ และวิธีปฏิบัตินี้ ให้กับพุทธบริษัทประพฤติปฏิบัติได้เช่นพระองค์ด้วย โดยพระสารีบุตรอรหันตเถรเจ้า ได้จารึกไว้ปรากฏในพระสุตันตปิฏกชื่อว่า "คัมภีร์ปฏิสัมภิทามรรค" ซึ่งจะปฏิบัติควบคู่ไปกับ "สติปัฏฐาน" จึงเรียกว่า "สติปัฏฐาน-ปฏิสัมภิทามรรค" ที่สาธุชนผู้ใฝ่ในกุศลได้เรียนรู้ สืบทอดและปฏิบัติอยู่ในขณะนี้


การเดินทางทะลุมิติ หรือท่องเที่ยวไปในจักรวาลอื่น ๆ ที่พระพุทธองค์ทรงถ่ายทอดให้พุทธบริษัทนั้นปรากฏหลักฐานในพระไตรปิฏกว่า พระภิกษุในพระพุทธศาสนามากมายหลายร้อยรูป ที่ยังไม่ได้เป็นพระอรหันต์ ก็ได้ท่องจักรวาลไปถึงพรหมโลก
 
ยกตัวอย่างพระโมคคัลลานะ ครั้งปฏิบัติสำเร็จใหม่ ๆ ได้เข้าฌานทะลุเวลา ข้ามมิติ(Time Travel) จนหลงจักรวาล ไปยังจักรวาลของพระโพธิสัตว์ โดย ไปคลานไต่อยู่ปากบาตรพระโพธิสัตว์องค์หนึ่ง(คล้ายมด...คุณคิดว่าในมิตินั้นผู้คนตัวใหญ่ขนาดไหน) พระโพธิสัตว์รูปนั้นจึงหยิบพระโมคคัลลานะขึ้นมาแล้วถามว่า ท่านมาจากไหน พระโมคคัลลาตอบว่ามาจากโลกมนุษย์ แต่ตอนนี้หลงกลับไม่ถูก พระโพธิสัตว์รูปนั้นจึงส่งพระโมคคัลลานะกลับโลกมนุษย์ให้ดังเดิม....และเรื่องของพระโมคคัลลานะนี้ ทำให้โลกมนุษย์ได้รู้จักพระโพธิสัตว์รูปนั้น ที่มีนามว่า พระอวโลกิเตศวร ปรากฏในคัมภีร์ของจีนและธิเบตมาแต่พุทธกาล ตราบเท่าปัจจุบัน




แนวทางการปฏิบัติเพื่อทะลุเวลา ข้ามมิติ(Time Travel) แทบจะเรียกได้ว่า "เป็นหลักสูตรบังคับ" ของโยคาวจรผู้ที่มุ่งสู่พระนิพพานจะต้องผ่านขั้นตอนนี้ ไม่มีข้อยกเว้น(เหมือนกับหน่วยกิตที่ต้องลง สอบไม่ผ่านไม่จบ นั่นแหละ) ขั้นตอน แนวทางการปฏิบัติเพื่อทะลุเวลา ข้ามมิติ พอสรุปได้ โดยสังเขป คือ


           1. รวมวาจาใจ เป็นหนึ่ง ต้องระลึกรู้อารมณ์ขณะรวมเป็นหนึ่งนั้นได้ เรียกว่า "สติ"

           2. รวมวาจา-ใจ ให้เป็นหนึ่งกับ กาย ให้เป็นหนึ่งเดียวกัน(เพื่อให้มีความเร็วเท่ากัน =คนขับรถ อยู่ในรถ จะมีความเร็วเท่ากับรถที่วิ่งไป) รวม Mass กับ Plasma ให้เป็นหนึ่งเดียวกัน ความเร็วของกายเท่ากับใจ (ไม่มีสิ่งใดเร็ว หรือ ไกล เกินกว่าใจจะไปถึง)





           3. ฝึก-รู้จักสร้าง แสงสว่าง ในลักษณะต่าง ๆ (กสิณ = เครื่องยังให้เกิดแสงสว่าง) เพราะในจักรวาลบางจุดมืดมิด 

           4. ฝึกการใช้แสงสว่าง และเพิ่มพลังแสงให้ได้สูงสุด(อัปปมัญญา)

            5. ฝึกสลายมวล(mass+plasma to Energy) เรียกว่า Transformation ในทางพระพุทธศาสนาเรียกว่า "ติโลกภาพ" ตอนแรกจะฝึกเดินทะลุกำแพง แทรกแผ่นดินก่อนในโลกมนุษย์ก่อน ทำได้แล้ว ผ่านแล้ว ชำนาญแล้วจึงจะข้ามมิติได้


การไปสู่โลกอนาคต ทางพระพุทธศาสนาเรียกว่า "อนาคตังสญาณ"  การย้อนเวลาสู่อดีตเรียกว่า "อตีตังสญาณ" ซึ่งที่กล่าวมานี้ เป็นบทเรียน หรือหน่วยกิต ที่โยคาวจรในพระพุทธศาสนา อันมีเป้าหมายมุ่งสู่พระนิพพาน จะต้องผ่าน และต้องทำให้ได้อีกด้วย (รายละเอียด การปฏิบัติโปรดศึกษาในพระสุตันตปิฏก ปฏิสัมภิทามรรค)


ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ จะเห็นได้ในเชิงเปรียบเทียบว่า ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์Quantum Phisic ของพระพุทธศาสนา ก้าวหน้าล้ำยุคกว่าในปัจจุบันมากมายหลายล้านเท่า จนไม่รู้จะเอาอะไรมาเปรียบ

เป็นเรื่องของความโชคดีชนิดบรมโชค ที่สาธุชนอย่างพวกเราเกิดมาเป็นชนชาติไทย มี DNA ที่บรรพบุรุษไทย อันมีใจใฝ่กุศลปฏิบัติ ได้ฝังข้อมูลพันธุกรรมให้แก่พวกเราไว้ เมื่อเราได้ศึกษา ฟังธรรม และปฏิบัติ ก็สามารถแยกแยะได้ว่า สิ่งไหนจริง สิ่งไหนเท็จ สิ่งไหนหลอกลวง เพราะRNA จะเอาสัญญานไฟฟ้า(อายตนะภายนอก) ส่งเข้าไปค้นข้อมูลใน DNA ยังไงก็เจอ เพราะบรรพบุรุษไทยเราได้ประพฤติปฏิบัติมาแล้ว และไม่มีคำว่า "ยาก" สำหรับผู้ปฏิบัติชอบ โดยสิ้นเชิง ชนิดปราศจากข้อสงสัย




ขอความสวัสดีมีโชคชัย ปรารถนาสิ่งใดอันเป็นกุศล  จงสัมฤทธิผล ตามกาลที่ในปรารถนาเทอญ   เจริญพร



https://www.facebook.com/notes/930355117007948/







Crack RNA Code By Meditation / 8








สารบัญทั้งหมดจะอยู่ทางด้านขวามือของหน้า (ทุกหน้า)

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

เริ่ม สร้าง-เสริม-บูรณะ วัดสุวรรณโคมคำ (วัดห้วยโผ) อำเภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน 19 มิถุนายน 2558



ศูนย์พลังอี้จิง


ข้อมูลวัดสุวรรณโคมคำ :: http://watsuwan.blogspot.com/2014/05/blog-post.html?spref=fb




แตะที่ภาพเพื่อดูขนาดภาพจริง











พระพุทธเจ้าเปิดโลก





อนุโมทนาคุณสันต์และทีมติดตั้งระบบไฟฟ้าทุกท่านค่ะ





creditภาพ(ยามค่ำคืน) :คุณสันต์







พระอาจารย์ธรรมบาล(Line)::ขอให้ทุกท่าน ร่วมกันอนุโมทนาบุญ กับ คุณสุขสันต์ Dr Ben Dr Kamolnate และคณะ ที่ได้มีกุศลเจตนา ประกอบด้วยวิริยะอุตสาหะ และทุนทรัพย์ สร้างทางเดินขึ้นนมัสการพระพุทธเจ้าเปิดโลก(ตลอดปากเหว เพื่อกันไม่ให้ผู้มาวัดพลัดตกลงไป)

       ขอปวงเทพเทวาทั้ง16 ชั้นฟ้าได้อนุโมทนา "บุญ" อันท่านทั้งหลายได้สำเร็จแล้วด้วย "ใจ" จงเป็นผลานิสงค์ส่งผลให้ เจริญก้าวหน้าในทุกสรรพสิ่ง ที่ปรารถนา  ด้วยเทอญ

       สำหรับผู้ที่ร่วมอนุโมทนา ย่อมได้รับ "กุศล" ที่สำเร็จแล้วนี้เช่นกัน




ขออนุโมทนา ท่านพระอาจารย์กมล และคณะที่ได้ขึ้นไปสร้างมหากุศล ปรับปรุง ตกแต่งมหาวิหาร วัดสุวรรณโคมคำ อ แม่สะเรียง จ แม่ฮ่องสอน
    ขอปวงเทพยดา ทั้ง16 ชั้นฟ้า ได้อนุโมทนา ให้ท่านอาจารย์กมล สมปรารถนา ในทุกสิ่งที่อธิษฐาน จงทุกประการเทอญ



สร้างลานพระพุทธเจ้าเปิดโลก

อนุโมทนาคุณชนะและผู้ร่วมบุญทุกท่านค่ะ



จุดชมวิว by; คุณสันต์


อนุโมทนา คุณจิตเกษม ณ ระนอง









ลานพระเปิดโลก












ขออนุโมทนา พระคุณเจ้าทุกรูปที่ขึ้นไปศึกษา-ปฏิบัติ ณ วัดสุวรรณโคมคำ เพื่อเป็น "พระทรงปาฏิโมกข์" สืบต่อพระพุทธศาสนา ได้ร่วมอุทิศแรงกาย แรงใจ ปลูกต้นไม้ ตั้งแต่เช้า เพื่อถวายเป็นพุทธบูชา 
ใส่วุ้น และปุ๋ยแบบไม่ต้องรดน้ำหน้าแล้ง ทุกต้น
ตอนนี้ปลูกไปแล้ว 100 กว่าต้น ทั้งหมดประมาณ 1500 ต้น
  ทั้งไม้หอม ไม้ดอก ไม้มีค่า





ขออนุโมทนา ท่าน ผวจ.นครนายก(คุณพ่อของToa+) ที่ส่งบุตรชาย มาประสานงาน กับป่าไม้แม่สะเรียงขอต้นพรรณไม้ต่างๆ และเข้าร่วมโครงการปลูกป่าเฉลิมพระเกียรติ รวมทั้งถวาย "วุ้น" สำหรับใส่ต้นไม้ 1000 กก.
  อีกทั้งขออนุโมทนา คุณจิตเกษม คุณLek คุณน้ำหวาน และคุณอั้ม ถวายต้นไม้หอม มาปลูกครั้งนี้
   ขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัย จงดลบันดาลให้บังเกิด ความร่มเย็น เป็นสุข สมปรารถนาดั่งอธิษฐาน ทุกประการ รวมทั้งทุกท่านที่อนุโมทนานี้ด้วยเทอญ
   เจริญพร



การปลูกต้นไม้ คือการสร้างที่อาศัยให้กับ "เทวดา" ที่เรียกว่า "รุกขเทวา" ด้วยเหตุนี้พระพุทธองค์จึงทรงบัญญัติไว้ในพระวินัย ห้ามภิกษุตัดต้นไม้ใหญ่ เพราะคือการทำลายที่อาศัยของเทวดา(ภุมเทวา) 
   ผู้ที่ปลูกต้นไม้ รักต้นไม้ รักป่า จึงมีแต่ความเจริญรุ่งเรือง เพราะเทพยดาอำนวยอวยชัยให้พร
   (ดูตัวอย่างที่เห็นง่าย เมืองไทยยุคหลัง 2500 ตัดไม้ทำลายป่า ผลปรากฏปัจจุบัน คนยากจนเกือบค่อนประเทศ นี่คือผล ทำลายวิมานเทวดา จึงหากินลำบาก เทวดาสาป จะเห็นชัดว่าพวกนายทุนตัดป่า ตายแบบไร้สภาพ ตระกูลก็สิ้นเนื้อประดาตัว ทุกคน
   



สิ่งที่สมาชิกควรสังเกตุ การปลูกต้นไม้ครั้งนี้ "เป็นการปลูก ความมั่งคั่ง ร่ำรวย แบบถาวร" เพราะ
1: วุ้นที่ใส่โคนต้น สีฟ้า="ซุ่ง" ตามหลักอี้จิง คือพลังแห่งโภคทรัพย์ โชคลาภ เป็นรากฐานมั่นคง
    2: น้ำ = คุง หมายถึง ระบบการเงิน

   1กับ2 รวมกัน เรียกว่า "บุษกรจันทร์" เป็น "บรมโชค"ที่นำมาซึ่งความมั่งคั่งร่ำรวย

  3: ต้นไม้ = "ลี่" หมายถึง คำพูด สัญญา การสื่อสาร 

เมื่อรวมกัน 1+2+3 = การพูดเป็นเงินเป็นทอง การทำสัญญา มีแต่ได้กำไร
   เมื่อปลูกต้นไม้ที่ตำแหน่งวัดสุวรรณโคมคำ อันเป็นศูนย์รวมพลังอี้จิง(ได้ลงรายละเอียดไปแล้วเมื่อวาน) 




   จึงส่งผลให้เกิดความเจริญ มั่งคั่ง ในทรัพย์สิน เงินทอง โชคลาภ นับวันเจริญขึ้นไม่ขาดสาย
   และจะส่งผลแก่ผู้ร่วมปลูก อนุโมทนา และสาธุชนทุกท่านผู้ย่างเหยียบเข้ามาปฏิบัติในที่นี้ ย่อมได้รับความเจริญ สมปรารถนาในชีวิต ธุรกิจ ครอบครัว
  นี่คือทั้งหมดแห่งที่มา ในการปลูกต้นไม้ ณ วัดสุวรรณโคมคำ(ห้วยโผ) อ.แม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน 





อนุโมทนาคุณเล็กคุณจิ้บคุณอ๋อยคุณจ๋าค่ะ(วิหารพระเปิดโลก)








*********************************



วันนี้เป็นวันศุภมงคลอาทิตย์มหาวัน. 27 กันยายน 2558 และเป็นวันทำพิธีอัญเชิญ พระศากยมุนีปฏิมาเปิดโลก ประดิษฐาน เป็นพระประธาน ณ อรัญญิกสีมาอุโบสถ เพื่อเป็นที่สักการะบูชาแก่พุทธศาสนิกชนสืบไป

 จึงขอเชิญสมาชิกปฏิสัมภิทา ที่ปรารถนาความเจริญรุ่งเรือง ผาสุขสวัสดีในชีวิต และ ธุรกิจ วงศ์ตระกูล จงตั้งจิตให้เป็นสมาธิ ตั้งลม ณ ปถวีธาตุ








บันไดสมปรารถนา








งานต้นไม้ต้องมา




ณ วันที่ 21 ตุลาคม 2558




ป้ายวัด












ภาพดอกไม้ฝีมือพระอาจารย์ 


ปักเขตรั้ววัดโดยทหาร
อนุโมทนาคุณสันต์ค่ะ







อนุโมทนาคุณรสาและคุณธิติรัตน์ค่ะ
ฟิล์มกรองแสง บริษัทโซลาร์ การ์ด




ปักรั้วรอบอาณาเขตวัด










เครดิตภาพ:คุณสันต์


























  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS